วันนี้เป็นวันที่เราวางแผนการเที่ยวไว้แล้วว่าจะไปไหนต่อไหนบ้าง ทุกคนรู้งานกันดีจึงพากันตื่นมาจัดการกับตัวเองให้เรียบร้อยทุกเรื่องเพื่อให้สามารถออกจากที่พักได้ตามเวลาที่ตกลงกันเอาไว้ แต่จะว่าไปการมาเที่ยวในฤดูนี้เราไม่ต้องอาศัยนาฬิกาปลุกเลย เพราะแสงสว่างที่ส่องเข้ามาที่หน้าต่างห้องตั้งแต่ตีสามกว่าๆ ก็ทำให้เราตื่นได้ทุกวันแบบอัตโนมัติ แม้อยากจะนอนต่อกันขนาดไหนก็ทำต่อไปไม่ได้นาน เพราะรู้สึกว่ามันแปลกๆ ที่จะนอนทั้งๆ ที่ฟ้าสว่างแล้ว
ที่หมายแรกวันนี้ก็คือการไปยัง St.Isaac’s Cathedral ที่เรายังไม่ได้เข้าชมเมื่อวานนี้ เพื่อรีบไปซื้อบัตรเข้าชมแต่เช้า เราออกเดินทางโดยการโดยสารรถไฟฟ้าใต้ดินจากสถานี Novocherkasskaya (Новочерка́сская) ไปลงยังสถานี Admiralteyskaya (Адмиралте́йская)
จากนั้นก็เดินต่อไปอีกไม่ไกล ก็จะเห็นมหาวิหารตั้งตระหง่านรอรับการมาเยือนของเราแล้วค่ะ เมื่อไปถึงให้เดินไปทางด้านข้างของมหาวิหารก่อนเลยค่ะ เพราะจุดจำหน่ายตั๋วจะอยู่บริเวณนั้น ไม่ได้จำหน่ายด้านหน้าค่ะ เป็นเพราะเราไปตั้งแต่มหาวิหารยังไม่เปิดต้องรออีกประมาณ 10 นาที ดังนั้น จึงต้องไปรอคิวซื้อตั๋วซึ่งยังไม่เริ่มเปิดจำหน่ายตั๋วเหมือนกัน แต่คิวยังไม่ยาวมากค่ะ และพอเปิดปุ๊บแถวก็ค่อยๆ สั้นลง ราคาตั๋วแบ่งเป็น 2 อย่าง เลือกเอาตามความต้องการ Ground 250 RUB และ Colonnaded 150 RUB พวกเราสมัครใจแค่ Ground กันค่ะ เพราะแดดร้อนก็เลยไม่ขึ้นด้านบนกัน
เมื่อมีตั๋วแล้วก็ไปต่อคิวเข้าชมกันได้เลย สำหรับการเข้าชมด้านในเมื่อขึ้นบันไดมหาวิหารแล้ว ให้เดินไปทางซ้ายค่ะ ส่วนการขึ้นไปชม Colonnaded ให้เดินไปทางขวา ถ้าเจอพวกทัวร์ที่มาเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ก็ส่งอาณัติสัญญาณให้เจ้าหน้าที่เขาทราบได้เลย เพราะเขาจะอำนวยความสะดวกพวกเราที่มากันแบบไม่กี่คนให้เข้าไปก่อน
เมื่อเข้าไปปุ๊บ เจ้าหน้าที่ด้านในจะแจ้งเราในทันทีว่า สามารถถ่ายภาพได้ แต่กรุณางดใช้แฟลชนักท่องเที่ยวทุกคนเมื่อก้าวเข้าไปต่างจะตะลึงพรึงเพริศกับความงดงาม ยิ่งใหญ่อลังการที่สองตาเห็น ภาพที่ถ่ายทอดมา ต้องบอกเลยว่า งดงามไม่ได้เสี้ยวกับสิ่งที่ปรากฏต่อสายตา ยิ่งเมื่อมาเดินอยู่ภายใน บรรยากาศแห่งความศักดิ์สิทธิ์ยิ่งทำให้ทุกสิ่งดูเหมือนเต็มไปด้วยจิตวิญญาณของผู้รังสรรค์ไว้
St.Isaac’s Cathedral เป็นมหาวิหารที่สร้างในสมัยพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 1 ใช้เวลาก่อสร้างในช่วงปีค.ศ.1818 - 1858 หรือพูดง่ายๆ ก็คือ 40 ปี มหาวิหารแห่งนี้มีการออกแบบด้วยสถาปัตยกรรมแบบเรอเนสซองส์ และบาโรก โดยมีการใช้เสาหินแกรนิตน้ำหนักต้นละ 114 ตัน จำนวน 48 ต้น เป็นเสาหินแกรนิตสีน้ำตาลทองท่อนเดียว สูงไม่ต่ำกว่า 20 เมตร
ตลอดระยะเวลา 40 ปีที่มีการก่อสร้าง ไอระเหยจากปรอทได้คร่าชีวิตกรรมกรไปเป็นจำนวนมาก เนื่องจากสูดไอระเหยของสารพิษจากปรอทขณะฉาบทองบนยอดโดม St. Isaac's Cathedral ใช้เงินในการก่อสร้างจำนวนมหาศาลถึง 23 ล้านรูเบิ้ล ใช้จำนวนคนงานก่อสร้างโบสถ์นี้ถึง 400,000 คน (ข้อมูลจาก National Geographic) ทำงานอย่างหนักหนาสาหัส งานตกแต่งภายนอกและภายในยิ่งมีความสวยงามวิจิตรพิสดาร ทั้งภาพประดับผนังเขียนสี โมเสก รูปปั้นต่างๆ ภาพบนกระจกสี ฐานโดยรอบมีรูปปั้นนางฟ้า 12 องค์อยู่รอบฐานภาพ ที่อย่าพลาดชมคือภาพไอคอนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ เป็นรูปเซนต์นิโคลาสเซนต์ปีเตอร์ ซึ่งการทำโมเสกนี้ใช้เวลานานมากถ้าหากคิดเป็นตารางเมตรเมตรหนึ่งใช้เวลาร่วมปี ใช้สีหมื่นกว่าสีเลยทีเดียว
ภาพไอคอนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ เป็นรูปเซนต์นิโคลาสเซนต์ปีเตอร์
วัสดุที่ใช้ในการตกแต่งก่อสร้างใช้หินจากหลายแห่งโดยเฉพาะหินอ่อนก็ปาเข้าไป 14 ชนิด ล้วนแล้วแต่เป็นของมีค่า หายาก และสวยงามมาก เช่น หินอ่อนสีขาวจาก Carrara อิตาลี หินอ่อนสีเทาจากฟินแลนด์ หินอ่อนสีเขียวจาก genoa หินอ่อนสีเหลืองจาก Siena อิตาลี และหินอ่อนสีแดงจากฝรั่งเศส ที่โดดเด่นมากคือเสาหินมาลาไคต์ (Malachiten) สีเขียวสดใสขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1.0 เมตรรวม 10 ต้น เป็นหินที่หายากมาจากเทือกเขาอูราลในเขตไซบีเรีย และยังมีเสาหินสีน้ำเงินอมม่วงอีกสองต้น ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 0.57 เมตร สูงเกือบ 5 เมตร ทำจากหินมีค่าเรียกว่า ลาพิส ลาซูลี (Lapis Lazuli) นำมาจากทะเลสาบไบคาลและอัฟกานิสถาน
โดยเสาหินที่ทำมาจากมาลาไคท์ (หินสีเขียว) จากเทือกเขาอูราลและลาพิส ลาซูลี (หินสีน้ำเงิน) จากทะเลสาบไบคาล ทำให้มหาวิหาร St. Isaac's Cathedral เป็นหนึ่งในมหาวิหารที่สวยที่สุดของรัสเซีย และยังเป็นมหาวิหารที่สวยที่สุดในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กที่ว่ากันว่ามีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 4 ของโลก และขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของรัสเซียรองจาก Cathedral of Christ the Saviourแต่ไม่รู้อันดับพวกนี้เปลี่ยนบ้างหรือยัง โดยเฉพาะอันดับโลกที่มีสิ่งก่อสร้างต่างๆ มากมาย ส่วนชื่อของมหาวิหารตั้งขึ้นตามชื่อของ Saint Isaac the Confessor ซึ่งเป็นนักบุญประจำพระองค์ของพระเจ้าปีเตอร์มหาราช เนื่องจากเกิดวันเดียวกับพระเจ้าปีเตอร์มหาราช
ถ้าแหงนหน้ามองขึ้นไปที่ใต้โดมจะเห็นนกพิราบสีขาวอยู่ตรงกลาง ซึ่งทำจากเงินแท้ ซึ่งสีขาวของนกพิราบเปรียบดังตัวแทนของวิญญาณอันบริสุทธิ์บนสรวงสวรรค์ ความกว้างจากปีกซ้ายถึงปีกขวาของนกพิราบมีความกว้างถึง 3 เมตร
นกพิราบสีขาวอยู่ตรงกลางใต้โดม
เราใช้เวลากับที่นี่ค่อนข้างนานค่ะ อยากตักตวงเวลาอันมีค่ากับสถานที่ที่สวยงามระดับโลกแบบนี้ เดินชมวนไปมากันหลายรอบ เสร็จแล้วก็นั่งมอง ค่อยๆ พิจารณาไปทีละจุด แล้วก็เดินชมใหม่ เพราะโอกาสที่จะได้มาชมแบบนี้คงไม่ได้มีบ่อยหรือบางทีอาจเป็นเพียงครั้งเดียวในชีวิตก็เป็นได้
หลังจากใช้เวลาดื่มด่ำกับความงามระดับโลกกันจนเต็มอิ่มในความรู้สึก โปรแกรมถัดไปเราเลือกที่จะนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินสายสีฟ้าไปยังสถานี Gorkovskaya (Го́рьковская) เพื่อไปเที่ยวสถานที่เราสนใจบริเวณนั้น สถานีรถไฟใต้ดินสถานีนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกแก่แม็กซิม กอร์กี้ (Maxim Gorky) นักประพันธ์ชื่อดังชาวรัสเซียค่ะ
สถานที่น่าสนใจที่พวกเราตั้งใจแวะมาแห่งแรกก็คือ Saint Petersburg Mosque (Санкт-Петербу́ргская мече́ть) ที่ตั้งใจมาเพราะเปิดเจอภาพในอินเตอร์เน็ตแล้วสะดุดในสีสัน และเมื่อไปอ่านประวัติว่าเป็นมัสยิดนอกตุรกีที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป เพราะสามารถจุคนได้ถึง 5,000 คน ทำให้อยากมาเห็นสถานที่จริง ว่ากันว่าห้องสวดมนต์ของที่นี่มีการแยกเอาไว้ตามเพศ โดยเพศหญิงจะไปใช้ห้องที่ชั้นหนึ่ง ในขณะที่เพศชายจะสวดมนต์ที่ชั้นล่าง เราแค่ชมด้านนอกค่ะ ไม่ได้เข้าไปด้านในเพราะคิดว่าคงไม่สมควรจะเข้าไปรุ่มร่ามกับสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ และเราก็แค่อยากมาเห็นความงามที่ด้านนอกตามภาพที่เห็นจากอินเตอร์เน็ต
จากที่นี่เราเดินต่อไปยังจุดหมายสำคัญถัดไป ซึ่งจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจาก Peter and Paul Fortress ป้อมที่ตั้งอยู่บนเกาะเล็กๆ ที่ชื่อว่า Zayachy Island ซึ่งมีความหมายว่า กระต่าย ในภาษารัสเซียซึ่งเราจะพบเจอรูปปั้นกระต่ายกระจายอยู่ในบริเวณต่างๆ ของป้อมแห่งนี้ เกาะจะอยู่บนฝั่ง Petrogradsky ซึ่งเชื่อมการเข้าออกด้วยสะพานสองสะพานจากเกาะหลักคือ สะพาน Kronverksky และสะพาน Ioannovsky
เราตั้งต้นการเที่ยวโดยการเดินข้ามสะพานเข้าไป โดยกระต่ายตัวแรกที่ทักทายเราจะอยู่ข้างๆ สะพาน ให้ผู้มาเยือนโยนเหรียญลงไป ถ้าใครโยนได้ก็แปลว่าจะได้กลับมาที่นี่อีก จึงเห็นนักท่องเที่ยวหลายคนพยายามที่จะโยนลงในตำแหน่งที่กำหนดกันให้ได้ ถ้าเป็นเมืองไทยคงมีเรือมาจอดคอยเก็บเหรียญที่หล่นๆ นั่นในทันทีที่โยนลงไป
สามารถมาทดสอบความแม่นยำกันได้ค่ะ
ที่นี่เป็นป้อมที่มีลักษณะรูปทรงหกเหลี่ยมที่ถูกสร้างขึ้นปีค.ศ.1703ในสมัยพระเจ้าปีเตอร์มหาราช เพื่อป้องกันการรุกรานจากกองทัพสวีเดน แต่เมื่อสร้างป้อมเสร็จก็ไม่ได้ใช้งานเนื่องจากทหารสวีเดนไม่ได้มารุกรานอีกเลยต่อมาจึงได้มีการใช้เป็นที่คุมขังนักโทษทางการเมือง โดยปัจจุบันถือเป็น landmark ที่เก่าแก่ที่สุดของเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก มีสะพานเชื่อมเข้าออกสองสะพานจากเกาะหลัก รอบเกาะถูกล้อมไว้ด้วยรั้วสูงรอบพื้นที่ วิหาร โบสถ์ และป้อมปราการ สถานที่แห่งนี้ได้รับการสถาปนาเป็นหนึ่งในมรดกโลกด้วย
ระหว่างเดินอยู่ที่สะพานจะเห็นว่ามีคนมานั่งๆ นอนๆ อาบแดดกันเต็มไปหมด เป็นการต้อนรับฤดูร้อนที่เริ่มมาเยือนค่ะ ชาวยุโรปก็แบบนี้นิยมการอาบแดด เขารอคอยช่วงเวลาแห่งการอบอุ่นหลังจากผ่านช่วงเวลาแห่งความหนาวเหน็บมายาวนาน บางคนถึงกับกระโดดลงไปเล่นน้ำเลยก็มี แต่เท่าที่มองดูน้ำดูไม่สะอาดเท่าไรเลย และภาพป้อมปราการสวยๆ อลังการก็เลยดูหมองไปเพราะบรรยากาศรอบๆ ที่กลายเป็นสถานที่ตากอากาศไปโดยปริยายแบบนี้นี่เอง นี่ถ้าพระเจ้าปีเตอร์มหาราชมาเห็นบรรยากาศแบบนี้เข้าจะรู้สึกอย่างไรกันนะ อยากรู้จริง
[CR] Spring Time in Russia : Day 3 สักครั้ง...เพื่อความทรงจำที่งดงาม
https://ppantip.com/topic/37803666
และพาเดินเล่นแบบชิลๆ ไปแล้วหนึ่งวัน
https://ppantip.com/topic/37808700
วันนี้เป็นวันที่เราวางแผนการเที่ยวไว้แล้วว่าจะไปไหนต่อไหนบ้าง ทุกคนรู้งานกันดีจึงพากันตื่นมาจัดการกับตัวเองให้เรียบร้อยทุกเรื่องเพื่อให้สามารถออกจากที่พักได้ตามเวลาที่ตกลงกันเอาไว้ แต่จะว่าไปการมาเที่ยวในฤดูนี้เราไม่ต้องอาศัยนาฬิกาปลุกเลย เพราะแสงสว่างที่ส่องเข้ามาที่หน้าต่างห้องตั้งแต่ตีสามกว่าๆ ก็ทำให้เราตื่นได้ทุกวันแบบอัตโนมัติ แม้อยากจะนอนต่อกันขนาดไหนก็ทำต่อไปไม่ได้นาน เพราะรู้สึกว่ามันแปลกๆ ที่จะนอนทั้งๆ ที่ฟ้าสว่างแล้ว
ที่หมายแรกวันนี้ก็คือการไปยัง St.Isaac’s Cathedral ที่เรายังไม่ได้เข้าชมเมื่อวานนี้ เพื่อรีบไปซื้อบัตรเข้าชมแต่เช้า เราออกเดินทางโดยการโดยสารรถไฟฟ้าใต้ดินจากสถานี Novocherkasskaya (Новочерка́сская) ไปลงยังสถานี Admiralteyskaya (Адмиралте́йская)
จากนั้นก็เดินต่อไปอีกไม่ไกล ก็จะเห็นมหาวิหารตั้งตระหง่านรอรับการมาเยือนของเราแล้วค่ะ เมื่อไปถึงให้เดินไปทางด้านข้างของมหาวิหารก่อนเลยค่ะ เพราะจุดจำหน่ายตั๋วจะอยู่บริเวณนั้น ไม่ได้จำหน่ายด้านหน้าค่ะ เป็นเพราะเราไปตั้งแต่มหาวิหารยังไม่เปิดต้องรออีกประมาณ 10 นาที ดังนั้น จึงต้องไปรอคิวซื้อตั๋วซึ่งยังไม่เริ่มเปิดจำหน่ายตั๋วเหมือนกัน แต่คิวยังไม่ยาวมากค่ะ และพอเปิดปุ๊บแถวก็ค่อยๆ สั้นลง ราคาตั๋วแบ่งเป็น 2 อย่าง เลือกเอาตามความต้องการ Ground 250 RUB และ Colonnaded 150 RUB พวกเราสมัครใจแค่ Ground กันค่ะ เพราะแดดร้อนก็เลยไม่ขึ้นด้านบนกัน
เมื่อมีตั๋วแล้วก็ไปต่อคิวเข้าชมกันได้เลย สำหรับการเข้าชมด้านในเมื่อขึ้นบันไดมหาวิหารแล้ว ให้เดินไปทางซ้ายค่ะ ส่วนการขึ้นไปชม Colonnaded ให้เดินไปทางขวา ถ้าเจอพวกทัวร์ที่มาเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ก็ส่งอาณัติสัญญาณให้เจ้าหน้าที่เขาทราบได้เลย เพราะเขาจะอำนวยความสะดวกพวกเราที่มากันแบบไม่กี่คนให้เข้าไปก่อน
เมื่อเข้าไปปุ๊บ เจ้าหน้าที่ด้านในจะแจ้งเราในทันทีว่า สามารถถ่ายภาพได้ แต่กรุณางดใช้แฟลชนักท่องเที่ยวทุกคนเมื่อก้าวเข้าไปต่างจะตะลึงพรึงเพริศกับความงดงาม ยิ่งใหญ่อลังการที่สองตาเห็น ภาพที่ถ่ายทอดมา ต้องบอกเลยว่า งดงามไม่ได้เสี้ยวกับสิ่งที่ปรากฏต่อสายตา ยิ่งเมื่อมาเดินอยู่ภายใน บรรยากาศแห่งความศักดิ์สิทธิ์ยิ่งทำให้ทุกสิ่งดูเหมือนเต็มไปด้วยจิตวิญญาณของผู้รังสรรค์ไว้
St.Isaac’s Cathedral เป็นมหาวิหารที่สร้างในสมัยพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 1 ใช้เวลาก่อสร้างในช่วงปีค.ศ.1818 - 1858 หรือพูดง่ายๆ ก็คือ 40 ปี มหาวิหารแห่งนี้มีการออกแบบด้วยสถาปัตยกรรมแบบเรอเนสซองส์ และบาโรก โดยมีการใช้เสาหินแกรนิตน้ำหนักต้นละ 114 ตัน จำนวน 48 ต้น เป็นเสาหินแกรนิตสีน้ำตาลทองท่อนเดียว สูงไม่ต่ำกว่า 20 เมตร
ตลอดระยะเวลา 40 ปีที่มีการก่อสร้าง ไอระเหยจากปรอทได้คร่าชีวิตกรรมกรไปเป็นจำนวนมาก เนื่องจากสูดไอระเหยของสารพิษจากปรอทขณะฉาบทองบนยอดโดม St. Isaac's Cathedral ใช้เงินในการก่อสร้างจำนวนมหาศาลถึง 23 ล้านรูเบิ้ล ใช้จำนวนคนงานก่อสร้างโบสถ์นี้ถึง 400,000 คน (ข้อมูลจาก National Geographic) ทำงานอย่างหนักหนาสาหัส งานตกแต่งภายนอกและภายในยิ่งมีความสวยงามวิจิตรพิสดาร ทั้งภาพประดับผนังเขียนสี โมเสก รูปปั้นต่างๆ ภาพบนกระจกสี ฐานโดยรอบมีรูปปั้นนางฟ้า 12 องค์อยู่รอบฐานภาพ ที่อย่าพลาดชมคือภาพไอคอนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ เป็นรูปเซนต์นิโคลาสเซนต์ปีเตอร์ ซึ่งการทำโมเสกนี้ใช้เวลานานมากถ้าหากคิดเป็นตารางเมตรเมตรหนึ่งใช้เวลาร่วมปี ใช้สีหมื่นกว่าสีเลยทีเดียว
วัสดุที่ใช้ในการตกแต่งก่อสร้างใช้หินจากหลายแห่งโดยเฉพาะหินอ่อนก็ปาเข้าไป 14 ชนิด ล้วนแล้วแต่เป็นของมีค่า หายาก และสวยงามมาก เช่น หินอ่อนสีขาวจาก Carrara อิตาลี หินอ่อนสีเทาจากฟินแลนด์ หินอ่อนสีเขียวจาก genoa หินอ่อนสีเหลืองจาก Siena อิตาลี และหินอ่อนสีแดงจากฝรั่งเศส ที่โดดเด่นมากคือเสาหินมาลาไคต์ (Malachiten) สีเขียวสดใสขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1.0 เมตรรวม 10 ต้น เป็นหินที่หายากมาจากเทือกเขาอูราลในเขตไซบีเรีย และยังมีเสาหินสีน้ำเงินอมม่วงอีกสองต้น ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 0.57 เมตร สูงเกือบ 5 เมตร ทำจากหินมีค่าเรียกว่า ลาพิส ลาซูลี (Lapis Lazuli) นำมาจากทะเลสาบไบคาลและอัฟกานิสถาน
โดยเสาหินที่ทำมาจากมาลาไคท์ (หินสีเขียว) จากเทือกเขาอูราลและลาพิส ลาซูลี (หินสีน้ำเงิน) จากทะเลสาบไบคาล ทำให้มหาวิหาร St. Isaac's Cathedral เป็นหนึ่งในมหาวิหารที่สวยที่สุดของรัสเซีย และยังเป็นมหาวิหารที่สวยที่สุดในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กที่ว่ากันว่ามีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 4 ของโลก และขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของรัสเซียรองจาก Cathedral of Christ the Saviourแต่ไม่รู้อันดับพวกนี้เปลี่ยนบ้างหรือยัง โดยเฉพาะอันดับโลกที่มีสิ่งก่อสร้างต่างๆ มากมาย ส่วนชื่อของมหาวิหารตั้งขึ้นตามชื่อของ Saint Isaac the Confessor ซึ่งเป็นนักบุญประจำพระองค์ของพระเจ้าปีเตอร์มหาราช เนื่องจากเกิดวันเดียวกับพระเจ้าปีเตอร์มหาราช
ถ้าแหงนหน้ามองขึ้นไปที่ใต้โดมจะเห็นนกพิราบสีขาวอยู่ตรงกลาง ซึ่งทำจากเงินแท้ ซึ่งสีขาวของนกพิราบเปรียบดังตัวแทนของวิญญาณอันบริสุทธิ์บนสรวงสวรรค์ ความกว้างจากปีกซ้ายถึงปีกขวาของนกพิราบมีความกว้างถึง 3 เมตร
เราใช้เวลากับที่นี่ค่อนข้างนานค่ะ อยากตักตวงเวลาอันมีค่ากับสถานที่ที่สวยงามระดับโลกแบบนี้ เดินชมวนไปมากันหลายรอบ เสร็จแล้วก็นั่งมอง ค่อยๆ พิจารณาไปทีละจุด แล้วก็เดินชมใหม่ เพราะโอกาสที่จะได้มาชมแบบนี้คงไม่ได้มีบ่อยหรือบางทีอาจเป็นเพียงครั้งเดียวในชีวิตก็เป็นได้
แบบที่เป็นไข่อีสเตอร์ก็มี
หลังจากใช้เวลาดื่มด่ำกับความงามระดับโลกกันจนเต็มอิ่มในความรู้สึก โปรแกรมถัดไปเราเลือกที่จะนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินสายสีฟ้าไปยังสถานี Gorkovskaya (Го́рьковская) เพื่อไปเที่ยวสถานที่เราสนใจบริเวณนั้น สถานีรถไฟใต้ดินสถานีนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกแก่แม็กซิม กอร์กี้ (Maxim Gorky) นักประพันธ์ชื่อดังชาวรัสเซียค่ะ
สถานที่น่าสนใจที่พวกเราตั้งใจแวะมาแห่งแรกก็คือ Saint Petersburg Mosque (Санкт-Петербу́ргская мече́ть) ที่ตั้งใจมาเพราะเปิดเจอภาพในอินเตอร์เน็ตแล้วสะดุดในสีสัน และเมื่อไปอ่านประวัติว่าเป็นมัสยิดนอกตุรกีที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป เพราะสามารถจุคนได้ถึง 5,000 คน ทำให้อยากมาเห็นสถานที่จริง ว่ากันว่าห้องสวดมนต์ของที่นี่มีการแยกเอาไว้ตามเพศ โดยเพศหญิงจะไปใช้ห้องที่ชั้นหนึ่ง ในขณะที่เพศชายจะสวดมนต์ที่ชั้นล่าง เราแค่ชมด้านนอกค่ะ ไม่ได้เข้าไปด้านในเพราะคิดว่าคงไม่สมควรจะเข้าไปรุ่มร่ามกับสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ และเราก็แค่อยากมาเห็นความงามที่ด้านนอกตามภาพที่เห็นจากอินเตอร์เน็ต
จากที่นี่เราเดินต่อไปยังจุดหมายสำคัญถัดไป ซึ่งจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจาก Peter and Paul Fortress ป้อมที่ตั้งอยู่บนเกาะเล็กๆ ที่ชื่อว่า Zayachy Island ซึ่งมีความหมายว่า กระต่าย ในภาษารัสเซียซึ่งเราจะพบเจอรูปปั้นกระต่ายกระจายอยู่ในบริเวณต่างๆ ของป้อมแห่งนี้ เกาะจะอยู่บนฝั่ง Petrogradsky ซึ่งเชื่อมการเข้าออกด้วยสะพานสองสะพานจากเกาะหลักคือ สะพาน Kronverksky และสะพาน Ioannovsky
เราตั้งต้นการเที่ยวโดยการเดินข้ามสะพานเข้าไป โดยกระต่ายตัวแรกที่ทักทายเราจะอยู่ข้างๆ สะพาน ให้ผู้มาเยือนโยนเหรียญลงไป ถ้าใครโยนได้ก็แปลว่าจะได้กลับมาที่นี่อีก จึงเห็นนักท่องเที่ยวหลายคนพยายามที่จะโยนลงในตำแหน่งที่กำหนดกันให้ได้ ถ้าเป็นเมืองไทยคงมีเรือมาจอดคอยเก็บเหรียญที่หล่นๆ นั่นในทันทีที่โยนลงไป
ที่นี่เป็นป้อมที่มีลักษณะรูปทรงหกเหลี่ยมที่ถูกสร้างขึ้นปีค.ศ.1703ในสมัยพระเจ้าปีเตอร์มหาราช เพื่อป้องกันการรุกรานจากกองทัพสวีเดน แต่เมื่อสร้างป้อมเสร็จก็ไม่ได้ใช้งานเนื่องจากทหารสวีเดนไม่ได้มารุกรานอีกเลยต่อมาจึงได้มีการใช้เป็นที่คุมขังนักโทษทางการเมือง โดยปัจจุบันถือเป็น landmark ที่เก่าแก่ที่สุดของเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก มีสะพานเชื่อมเข้าออกสองสะพานจากเกาะหลัก รอบเกาะถูกล้อมไว้ด้วยรั้วสูงรอบพื้นที่ วิหาร โบสถ์ และป้อมปราการ สถานที่แห่งนี้ได้รับการสถาปนาเป็นหนึ่งในมรดกโลกด้วย
ระหว่างเดินอยู่ที่สะพานจะเห็นว่ามีคนมานั่งๆ นอนๆ อาบแดดกันเต็มไปหมด เป็นการต้อนรับฤดูร้อนที่เริ่มมาเยือนค่ะ ชาวยุโรปก็แบบนี้นิยมการอาบแดด เขารอคอยช่วงเวลาแห่งการอบอุ่นหลังจากผ่านช่วงเวลาแห่งความหนาวเหน็บมายาวนาน บางคนถึงกับกระโดดลงไปเล่นน้ำเลยก็มี แต่เท่าที่มองดูน้ำดูไม่สะอาดเท่าไรเลย และภาพป้อมปราการสวยๆ อลังการก็เลยดูหมองไปเพราะบรรยากาศรอบๆ ที่กลายเป็นสถานที่ตากอากาศไปโดยปริยายแบบนี้นี่เอง นี่ถ้าพระเจ้าปีเตอร์มหาราชมาเห็นบรรยากาศแบบนี้เข้าจะรู้สึกอย่างไรกันนะ อยากรู้จริง
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้