กลิ่นศพ (รีไรท์)

กระทู้สนทนา
คืนนี้เป็นคืนที่สามแล้ว ที่ผมนอนในหอพักพร้อมกับกลิ่นเหม็นเน่าที่ลอยคละคลุ้งชวนอาเจียน ความเหม็นของมันไม่ต่างจากซากสัตว์ที่เน่าเปื่อย แต่ความรุนแรงนั้นเทียบไม่ได้เลยกับสัตว์ตัวเล็ก แม้จะเป็นสุนัขสักตัว

        

        สภาพของตึกเอื้ออาทรที่ผมอยู่นั้นจะเรียกมันว่าตึกร้างก็พูดได้ไม่เต็มปาก ครั้นจะเรียกมันว่าตึกที่มีคนอาศัยอยู่ก็ดูเหมือนจะไม่แน่ใจนัก เพราะจำนวนห้องในตึกนี้มีกว่าร้อยห้อง แต่จะมีคนอยู่อาศัยจริงก็แค่ไม่เกิน 15 ห้อง ห้องของผมอยู่ชั้น 5 ทั้งชั้นนี้มีผมอยู่แค่คนเดียว แต่โชคดีหน่อยที่ห้องของผมอยู่ชิดริมตึกที่บันไดหนีไฟ ผมจึงมักใช้บันไดแคบ ๆ นี้ขึ้นลงตึกทุกครั้ง ไม่ต้องใช้บันไดใหญ่ที่อยู่กลางตึก ทำให้ผมสามารถหลีกเลี่ยงไม่ต้องเดินผ่านห้องมืดหลายห้อง มีบางห้องหน้าต่างบานเกล็ดมีกระจกแตกหลายแผ่น ทำให้เวลาเดินผ่านมักจะมองเข้าไปเห็นความมืดมิดในตัวห้องที่ชวนขนลุก

        หลอดไฟฟลูออเรสเซนต์ที่ติดตรงโถงทางเดินคงจะไส้ขาดไปนานหลายปีแล้ว แต่คนที่มีหน้าที่ดูแลคิดว่าชั้นนี้ไม่มีใครอยู่เลยไม่ได้มาสนใจเปลี่ยนใหม่ นั่นจึงยิ่งทำให้ผมไม่กล้าเดินผ่านทางเดินที่ดูน่าสยดสยองนี้ เพราะพื้นทางเดินนั้นเต็มไปด้วยเศษหญ้าแห้งที่นกชอบคาบขึ้นมาเพื่อทำรัง หรือบางทีก็อาจจะมีเศษซากสัตว์ขึ้นมาตายบนชั้นนี้ด้วย ทั้งซากนกซากงู ซากแมวตายสภาพแห้งกรังและอวัยวะขาดวิ่นจากรอยแทะของหนอนนับพันตัวผมก็เคยเจอมาแล้ว

        ด้วยบริเวณรอบข้างของตึกที่น้ำจะท่วมทุกปี ทำให้เจ้าของห้องต่างประกาศขายกันเป็นแถว บ้างปล่อยเช่าถูก ๆ และตัวผมเองนี่แหละที่เป็นผู้เช่าห้องพักในราคาพันเดียวต่อเดือน ด้วยราคาที่ถูกแสนถูกและยังใกล้ที่ทำงานของผมอีก จึงเหมาะสำหรับคนทำงานที่เงินเดือนน้อยอย่างผม

        ผมเลิกงานช่วงหัวค่ำทุกวัน กว่าจะกลับมาถึงห้องก็มืดสนิทแล้ว ในแต่ละชั้นมีแค่ 2-3 ห้องเท่านั้นมีเปิดไฟ และทั้งคืนจนถึงพรุ่งนี้เช้าไฟในห้องที่สว่างก็จะสว่างไปตลอด เพราะพวกเขาที่อาศัยอยู่ในห้องคงอยากจะเปิดไฟไล่ความวังเวงจากภาพตึกที่ดูทรุดโทรมหลังนี้ แต่ทุกครั้งที่ผมกลับมายังพออุ่นใจหน่อยที่ห้องชั้น 4 ที่อยู่ใต้ห้องผมพอดีจะมีไฟเปิดตลอด

        ผมเริ่มได้กลิ่งจาง ๆ ครั้งแรกเมื่อสามวันที่แล้ว ในตอนแรกผมคิดว่าอาจจะเป็นซากสัตว์ที่ขึ้นมาตายบนชั้น 5 พอเวลาผ่านไปความรุนแรงเน่าเหม็นของกลิ่นเริ่มทวีขึ้นเรื่อย ๆ จนผมคิดว่าบางทีอาจจะมีซากนกมาตายกองรวมกันนับร้อยตัวบนชั้นนี้ หรืออาจจะเป็นกลิ่นน้ำเหลืองของแมวกว่าสามสิบตัวมานอนตายรวมกัน หากว่าศพนั่นคือศพของคนล่ะ!

        

        หลายวันมาแล้วที่ผมไม่เห็นห้องบนชั้น 4 เปิดไฟ ทั้ง ๆ ที่ปกติห้องนี้จะมีไฟส่องสว่างหน้าห้องทุกครั้งที่ผมเดินขึ้นบันไดมา ความมืดตลอดตั้งแต่ชั้น 1 ยันมาถึงชั้น 5 มันช่างทำให้ผมมองเห็นภาพความมืดชัดเจนยิ่งขึ้น เป็นไปไม่ได้ที่ผู้อาศัยจะย้ายออกจากห้องไปเพราะว่ารองส้นสูงยังวางอยู่ที่เดิมไม่เคลื่อนย้ายไปไหน ทั้ง ๆ ที่รองเท้าคู่นี้จะหายไปในทุกเช้าที่ผมเดินลงบันได แต่ว่าหลายวันมานี้ที่ผมไม่เห็นแสงไฟในห้องนี้เลย รองเท้าคู่นี้ยังคงวางอยู่ที่เดิมตลอดเวลา

        ผมพยายามคิดว่าบางทีเจ้าของรองเท้าอาจจะใส่รองเท้าคู่อื่นออกจากห้องไป และอาจจะไปเยี่ยมญาติที่ต่างจังหวัดหรือที่ไหน หรือไม่อย่างนั้นก็อยู่แต่ในห้องโดยไม่ออกไปไหน ซึ่งมันจะเป็นไปได้อย่างไรที่จะไม่เปิดไฟในห้องเลย

        ในขณะที่ผมล้มตัวลงนอนบนฟูกที่วางอยู่มุมห้อง ในหัวสมองของผมตอนนี้มีเรื่องให้คิดมากมาย เรื่องราวแปลก ๆ และผิดปกตินี้ทำไมมันถึงเกิดขึ้นพร้อมกันได้ มันช่างดูน่าสงสัยว่าเรื่องราวเหล่านี้จะเกี่ยวข้องกันได้อย่างไร ผมพยายามทำให้สมองของผมไม่ว่างมากเกินไปเพื่อที่จะได้ไม่ต้องไปใส่ใจกับกลิ่นนั้นมากนัก แต่ทว่าไม่ว่าผมพยายามอย่างไรก็ไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงกลิ่นที่เหม็นเน่ารุนแรงนี้ไปได้ มันเหม็นจนผมคิดไปว่าซากเหม็นเน่านั้นอยู่ใกล้ ๆ กับจมูกของผมเอง บางทีผมก็คิดว่าผมอาจจะนอนกอดก่ายกับซากเหม็นเน่าไว้ หรือบางทีกลิ่นเหม็นเน่านั้นอาจจะมาจากตัวของผมเองก็เป็นได้

        เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ผมก็ไม่รู้ จมูกของผมยังคงอบอวลไปด้วยกลิ่นเหม็นเน่า ความน่าสะอิดสะเอียนนี้ทำให้สมองผมด้านชาจนผมหมดสติลงไปตอนไหนก็ไม่รู้


        ผมตื่นขึ้นมาในรุ่งเช้าด้วยบรรยากาศความเหม็นที่ชวนอาเจียน กลิ่นของมันยังคงระดับความรุนแรงไว้ หรือบางทีมันอาจจะเหม็นหนักขึ้นก็เป็นได้ ผมคิดว่าบางทีหากผมรีบออกจากห้องหรือออกจากตึกนี้ไป กลิ่นเหม็นเน่านี้อาจจะไม่ตาม  ผมไปด้วย เมื่อคิดได้ดังนั้นผมจึงรีบอาบน้ำแต่งตัวออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด

        เมื่อผมเปิดประตูออกมาและมองไปยังท้องฟ้าภายนอก เมฆฝนสีดำเทาปกคลุมไปทั่วฟ้าเป็นสัญญาณของฝนที่กำลังจะเทกระหน่ำลงมา ด้วยแสงสว่างที่น้อยอยู่แล้วบวกกับความมืดมิดจากตัวอาคาร เมื่อผมมองเข้าไปอีกฝั่งหนึ่งที่เงียบสงัดมีแต่ประตูห้องที่ไร้ความเคลื่อนไหวใด ๆ เช้านี้จึงถูกเริ่มต้นด้วยบรรยากาศวังเวงเกินจะทานทน ไม่รอช้าผมรีบวิ่งลงบันได

        ใจหนึ่งผมอยากจะเลี่ยงสายตาไม่ไปสนใจรองเท้าคู่นั้น แต่ด้วยบานประตูที่ติดอยู่กับทางลงบันได ผมจึงไม่สามารถที่จะไม่มองรองเท้าคู่นั้นได้ ตำแหน่งของมันยังอยู่ที่เดิม รองเท้าส้นสูงสีน้ำตาลยังคงถูกวางไว้ชิดกำแพงเหมือนเมื่อวาน ความสับสนในหัวนี้ที่มาจากทั้งกลิ่นเหม็นเน่า และความคลางแคลงใจเกี่ยวกับผู้ที่อาศัยอยู่ในห้องนี้ยิ่งทำให้สมองผมเตลิดไปหมด ผมรีบวิ่งลงบันไดเพื่ออยากจะไปให้พ้น ๆ จากชั้น 4 รวมถึงอยากจะวิ่งออกจากตึกนี้ด้วย

        แต่ไม่ว่าผมจะวิ่งหนีออกห่างจากตึกเท่าไหร่ ผมยังคงได้กลิ่นเหม็นเน่านั้นติดจมูกมาด้วย แม้กระทั่งตอนที่ยืนอยู่ตรงป้ายรถประจำทาง กลิ่นชวนอาเจียนนั้นยังคงรุนแรงเหมือนเดิม ไม่ว่าตอนที่ผมกำลังนั่งอยู่บนรถเมล์ที่ลมจากภายนอกจะตีกระทบหน้าของผมแรงเพียงใด กลิ่มเหม็นเน่านี้ยังคงโชยลอยมาตามลมเหมือนกับว่าความเน่าเหม็นนี้เป็นส่วนหนึ่งของเมืองนี้ไปแล้ว

        บางทีแล้วอาจจะเป็นเหมือนกับเรื่องที่เคยมีคนเล่า ๆ กันมาว่า คนที่เพิ่งกลับจากงานศพ บางครั้งอาจจะมีกลิ่นศพหรือกลิ่นดอกไม้หอมติดจมูกมาด้วย คนมักจะพูดว่าวิญญาณคนตายตามมาส่ง แต่ผมก็ไม่ได้ไปงานศพของใครเลย จะมีวิญญาณที่ไหนที่ต้องการมาส่งผม

        ด้วยกลิ่นเหม็นเน่านี้ทำให้ผมกินอะไรไม่ลงมาสามวันแล้ว และวันนี้ผมก็ไม่อยากให้อาหารใด ๆ ปรากฏให้เห็น มีแต่ความอยากให้กลิ่นพวกนี้หายออกไปเสียที ผมไม่อยากจะพูดคุยกับใครหรือสบตากับใครเพราะกลิ่นนั้นทำให้หัวของผมหมุนไปหมด กลิ่นเหม็นเน่าที่น่ารำคาญนี้ผมจะต้องรู้ให้ได้ว่ามันมาจากไหน ความคิดหนึ่งในสมองที่มันดูน่าสยดสยองของผมคือ หากว่ากลิ่นเน่านั้นมันมาจากศพที่นอนตายขึ้นอืดอยู่ในห้องชั้น 4 ข้างล่างห้องของผมล่ะ เธอในห้องอาจจะนอนตายมาตั้งแต่ผมไม่เห็นไฟในห้องนั้นเปิดอีกเลยก็เป็นได้

        และกลิ่นที่ติดจมูกผมมานั้นอาจจะเป็นสัญญาณจากคนตายที่ต้องการสื่อสารมายังผมเพื่อให้รู้ว่ามีศพเน่า ๆ นอนตายอยู่ในห้องนั้น ไม่แน่นะว่าตอนนี้วิญญาณของเธออาจจะอยู่ข้าง ๆ ผม

        ผมตัดสินใจแล้วว่าไม่ว่าอย่างไรในคืนนี้เมื่อผมกลับไปที่ตึก ผมจะต้องพังประตูห้องชั้น 4 เข้าไปดูให้รู้แน่ว่ามีคนนอนตายอยู่ในนั้นหรือเปล่า ผมอยากจะจบเรื่องราวบ้า ๆ นี้ออกไปจากชีวิตของผมเสียที ผมไม่เคยเห็นหน้าเธอ ไม่เคยคุยกับเธอ เวลาทำงานของเราอาจจะไม่ตรงกัน ทำให้เราสองคนไม่เคยเจอหน้ากันเลย
        

        ในเวลาที่ผมนั่งอยู่เงียบ ๆ คนเดียวในที่ทำงาน เพราะคนอื่นออกไปหาอะไรกินกันหมดแล้ว และทันใดนั้น มโนสำนึกของผมก็เห็นผู้หญิงตรงหน้า ผมเห็นภาพนั้นชัดเจนยิ่งขึ้นเหมือนเธอตามมาหลอกหลอน ใบหน้าเหยเกดวงตาเบิกโพลงลิ้นจุกปาก เสียงแหกปากร้องตะโกนอย่างคนเสียสติดังจนผมเกรงว่าจะมีใครได้ยิน เมื่อพยายามรวบรวมสติและเพ่งมองไปที่วิญญาณร้ายอีกครั้ง ผมก็คิดจะตอบโต้มันด้วยการใช้มือทั้งสองข้างของผมบีบคอเจ้าผีร้ายนั้นให้ขาดใจตายกันไปข้างหนึ่ง

        ใบหน้าที่เหมือนสภาพศพคนตายไม่รู้สึกอะไรเลยกับแรงบีบมหาศาลจากมือของผม ตอนนี้ในมือทั้งสองข้างที่ออกแรงบีบเริ่มมีเลือดสีแดงคล้ำที่ซึมออกมาจากซากศพตรงหน้าไหลเลอะเต็มมือ เลือดไหลออกมาพร้อมกับกลิ่นเหม็นเน่าที่รุนแรงมากยิ่งขึ้น ผมตกใจสุดขีดจนอยากจะคลายมือและสะบัดคราบของเหลวสีคล้ำออกไปจากมือให้หมดสิ้น แต่ทว่ามือของผมติด ผมไม่สามารถดึงมือออกมาจากคอของศพได้ และด้วยความกลัวอย่างสุดขีดผมใช้เท้าถีบไปที่กลางอกของศพหลายที พยายามออกแรงกระทีบเท้าให้ร่างไร้ชีวิตนั้นหลุดออกไปจากมือของผมให้ได้ สำเร็จ ผมถีบร่างศพกระเด็นออกไปได้แล้ว

        แต่ความโล่งใจนั้นมีได้แค่อึดใจเดียวก็เปลี่ยนเป็นความกลัวอย่างสุดขีดอีกครั้ง เมื่อผมเห็นว่าส่วนคอของศพยังติดมือผมไว้กับมือทั้งสองข้าง และหัวของศพก็ยังติดอยู่กับคอ เสียงร้องแสบแก้วหูของผมเปลี่ยนเป็นเสียงโหยหวนชวนขนลุก เสียงที่ดังออกมาจากลำคอของผมเป็นเหมือนกับคำขออะไรสักอย่างที่ตัวผมเองก็ยังไม่อาจจะเข้าใจได้ ผมจะทำอย่างไรถึงจะหลุดพ้นจากสภาพอันสุดแสนวิปริตผิดเพี้ยนนี้ไปได้สักทีนะ ความน่าสะพรึงยังไม่หยุดเพียงแค่นั้น ดวงตาของศพเริ่มมีความเคลื่อนไหว นัยน์ตาตำเริ่มขยับหันมองมาทางผม จากใบหน้าที่มีสภาพเปื่อยเน่าแต่แววตากลับเหมือนมีชีวิต ลิ้นของศพที่ก่อนหน้านี้จุกปากแต่ตอนนี้มันหดกลับเข้าไปข้างในเหมือนเดิม ริมฝีปากที่เละจากคราบน้ำเหลืองเริ่มแสยะยิ้มมาให้ผม รอยยิ้มแห่งความโกรธแค้นนี้เหมือนกับว่าเราเคยทำเวรทำกรรมอย่างหนักหนาสาหัสจนยากที่จะอภัยให้กันได้

        ผมเฝ้าคิดทบทวนว่าเคยก่อกรรมทำเข็ญกับผู้หญิงที่ไหนมาก่อนหรือเปล่า แต่คิดให้หัวสมองระเบิดอย่างไรผมก็จำอะไรไม่ได้เลยเกี่ยวกับเรื่องนั้น แต่ยังไม่ทันที่ผมจะเข้าใจอะไร หัวศพนั้นก็เหมือนกับมีแรงในตัวของมันเอง หัวศพเริ่มลอยขึ้นจนดึงมีผมตามไปด้วย มันลอยสูงขึ้นระดับหนึ่งก่อนพุ่งลงมาที่หัวของผมอย่างแรง เสี้ยววินาทีก่อนที่หัวนั้นจะกระแทกตรงกลางใบหน้าของผม ผมเห็นแววตาคู่นั้นฉายแววคความอาฆาตพยาบาทออกมา

        ผมรู้สึกถึงแรงกระแทรกได้ที่ดั้งจมูก โหนกแก้มมั้งสองข้าง เบ้าตาทั้งสองข้าง ขากรรไกรทั้งสองข้างของผม และผมยังรู้สึกว่าหัวกระโหลกที่ยังมีเนื้อเน่า ๆ ห่อหุ้มนั้นกระแทกมาที่หน้าผากของผมเต็มแรงจนทำให้ผมมึนงงมากยิ่งขึ้น เหมือนกับว่าดั้งจมูกของผมมันหักไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ก็รู้สึกดีเหมือนกันที่นั่นทำให้ผมไม่รู้สึกถึงกลิ่นเหม็นเน่าอีก ความเจ็บช้ำระบบบนใบหน้าผมทำให้ผมลืมเลือนสัมผัสโสโครกที่ต้องทนกับมันมาเกือบสัปดาห์แล้ว สติของผมค่อย ๆ ดับวูบลงไป
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่