สงครามการสู้รบกันอย่างเท่าเทียมและยุติธรรม
ก่อนอื่นบทความนี้เป็นบทความที่เป็นการวิเคราะห์จากผมเอง มันเป็นความคิดเห็นส่วนตัว ทุกท่านสามารถออกความเห็นได้ครับ
"นาซีเก่ง อเมริกันเดี่ยวๆสู้ไม่ได้หรอก"
"ถ้าไม่รุมน่ะ...... ป่านนี้ชนะแล้ว"
"รัสเซียก็ดีแต่ใช้หน้าหนาว ออกมารบดิยังไงก็แพ้"
คำพูดเหล่านี้คือคำพูดที่ผมเจอบ่อยในกลุ่มประวัติศาสตร์บางกลุ่ม ซึ่งผมมองว่าผู้พูดเหล่านี้ไม่ได้เข้าใจความหมายของสงครามเอาจริงๆเสียเลย อันดับแรกต้องถามก่อนว่า สงครามคืออะไร
สงคราม คือ ความขัดแย้งกันระหว่างรัฐต่อรัฐหรือกลุ่มองค์กร ซึ่งโดยทั่วไปมักจะมีลักษณะในการใช้กำลังกันประหัตประหารอีกฝ่าย โดยใช้กองทหารประจำการและทหารอาสา
ในอดีตนั้นตั้งแต่มนุษย์เริ่มอ่อนออกเขียนได้ เริ่มร่วมกลุ่มกันเป็นสังคม ก็ย่อมมีความขัดแย้งกันเป็นธรรมดากลับกลุ่มอีกกลุ่มซึ่งมันนำพาไปสู่สงคราม สงครามทั้งในอดีตและปัจจุบันมีแรงจูงใจไม่ต่างกันมาก ทั้งผลประโยชน์ของรัฐ เกียรติภูมิของรัฐ หรือไม่ว่าอะไรก็ตามเกิดขึ้น แล้วการเจรจาระหว่างกลุ่มหรือรัฐไม่เป็นผลสุดท้ายก็ลงเอยด้วยการใช้กำลัง
รัฐที่เข้าร่วมสงครามแล้วก็ต้องที่ชนะสงคราม เพราะ ถ้าแพ้นั้นหมายถึงเสียผลประโยชน์อย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นรัฐคู่กรณีในสงครามต่างฝ่ายต่างก็ต้องงัดวิธีหรือกลยุทธ์ที่จะล้มรัฐคู่สงครามให้ได้ ยิ่งสงครามสมัยก่อนที่ไม่คำนึงถึงมนุษยธรรม ไม่มีกฎเกณฑ์การรบที่ชัดเจน วิธีก็ยิ่งหลากหลาย เช่น รัฐๆนี้ใหญ่ประชากรเยอะก็เอาจำนวนเข้าข่ม รัฐนี้ผลิตอาวุธใหม่ๆได้ก็นำมาใช้ในสงคราม รัฐนี้ชัยภูมิดีก็ใช้ชัยภูมิของตน รัฐนี้ปฎิรูปกองทัพใหม่ได้ใช้วิธีการรบแบบใหม่ได้ก็นำมันมาใช้ในสงคราม
แล้วบางครั้งรัฐหรือกลุ่มบางกลุ่มที่มีผลประโยชน์ร่วมกันก็อาจจะร่วมมือกันเป็นพันธมิตร เพื่อรุมถล่มอีกรัฐ ถามว่าทำไมถึงต้องร่วมมือกัน ก็เพราะจะได้มีกำลังรบและทรัพยากรมากกว่าคู่สงครามยังไงครับ
ย้อนกลับมาประเด็นแรก "ถ้าไม่รุมน่ะ...... ป่านนี้ชนะแล้ว"
เท่าที่ผมศึกษาประวัติศาสตร์มามันไม่มีชาติไหนหรอกครับ ที่ต้องการมีจำนวนน้อยกว่าอีกฝ่าย เพื่อที่เวลารบชนะแล้วตัวเองจะได้ดูเท่ ดูเก่ง???? มันไม่มีครับตรรกะนี้ในการทำสงคราม เพราะต่างฝ่ายต่างต้องการหาพันธมิตรเพื่อเพิ่มกำลังรบให้ตนเอง และไอ้รัฐที่ต้องเข้าสงครามอย่างโดดเดี่ยวโดยปราศจากพันธมิตรผมมองว่า "เขาผิดพลาดทางยุทธศาสตร์" อย่างร้ายแรงครับ ..... และไอ้รัฐที่ไปร่วมมือกันเป็นพันธมิตรไปตบอีกรัฐจนร่วงผมก็ไม่ได้มองว่า กาก หรือ อ่อนแอ.......... แต่มองว่าพวกเขาฉลาดในเกมส์การเมืองมากกว่าที่สามารถดึงอีกรัฐมาเป็นพวกด้วย .... แล้วไม่ต้องเอาปนกับเรื่อง ดวลกัน หรือ ต่อยตีกันตามประสาลุกผู้ชายครับ เพราะนั้นอาจจะเป็นเรื่องของศักดิ์ศรี มันละเรื่องกัน แต่สงครามมันคือ "รัฐต่อรัฐ" เป็นผลระหว่างรัฐด้วยกัน และ ถ้ารัฐไหนรบชนะ คนในรัฐของคุณไม่ออกมาด่าคุณหรอกครับ "เฮ้ย กากหว่ะต้องรุมเขาถึงชนะ" มีแต่จะดีใจที่รัฐของตนชนะ และนำผลประโยชน์มาสู่ตนและเกียรติภูมิมาสู่ตนเพราะ คุณชนะ .... (ถ้ามีผมว่าคนนั้นก็ไม่ปกติเช่นกัน)
cr. เพจ ไก่พิฆาตแห่งรัสเซีย
และเรื่องการใช้ชัยภูมิให้เป็นประโยชน์มันก็เป็นของคู่กับการทำสงครามมานานแล้วครับ ถ้าคุณรู้ว่าสามารถเอาชนะข้าศึกได้โดยไม่ต้องเอากองทัพไปสู้ตรงๆคุณจะทำไหม..... คำตอบคือ ทำแน่นอนครับ (ถ้าไม่ทำผมมองว่าผู้นำคนนั้นก็ไม่ปกติเช่นกัน)
สรุปเลย สงครามมันไม่ใช่การต่อสู้อย่างเท่าเทียมโดยวัดจากขีดความสามารถของกำลังพลแต่และฝ่ายในการรบ แต่มันคือการทำอย่างไรก็ตามให้ฝ่ายตนชนะสงคราม อย่างบอบช้ำน้อยที่สุดและได้ผลประโยชน์มากที่สุด หวังว่าบทความนี้คงจะเปลี่ยนความคิดของกลุ่มคนบางกลุ่มไม่มากก็น้อย หรือถ้าหากคนไหนไม่เห็นด้วยก็สามารถแสดงความเห็นได้ครับ ขอบคุณครับ
สงครามการสู้รบกันอย่างเท่าเทียมและยุติธรรม
ก่อนอื่นบทความนี้เป็นบทความที่เป็นการวิเคราะห์จากผมเอง มันเป็นความคิดเห็นส่วนตัว ทุกท่านสามารถออกความเห็นได้ครับ
"นาซีเก่ง อเมริกันเดี่ยวๆสู้ไม่ได้หรอก"
"ถ้าไม่รุมน่ะ...... ป่านนี้ชนะแล้ว"
"รัสเซียก็ดีแต่ใช้หน้าหนาว ออกมารบดิยังไงก็แพ้"
คำพูดเหล่านี้คือคำพูดที่ผมเจอบ่อยในกลุ่มประวัติศาสตร์บางกลุ่ม ซึ่งผมมองว่าผู้พูดเหล่านี้ไม่ได้เข้าใจความหมายของสงครามเอาจริงๆเสียเลย อันดับแรกต้องถามก่อนว่า สงครามคืออะไร
สงคราม คือ ความขัดแย้งกันระหว่างรัฐต่อรัฐหรือกลุ่มองค์กร ซึ่งโดยทั่วไปมักจะมีลักษณะในการใช้กำลังกันประหัตประหารอีกฝ่าย โดยใช้กองทหารประจำการและทหารอาสา
ในอดีตนั้นตั้งแต่มนุษย์เริ่มอ่อนออกเขียนได้ เริ่มร่วมกลุ่มกันเป็นสังคม ก็ย่อมมีความขัดแย้งกันเป็นธรรมดากลับกลุ่มอีกกลุ่มซึ่งมันนำพาไปสู่สงคราม สงครามทั้งในอดีตและปัจจุบันมีแรงจูงใจไม่ต่างกันมาก ทั้งผลประโยชน์ของรัฐ เกียรติภูมิของรัฐ หรือไม่ว่าอะไรก็ตามเกิดขึ้น แล้วการเจรจาระหว่างกลุ่มหรือรัฐไม่เป็นผลสุดท้ายก็ลงเอยด้วยการใช้กำลัง
รัฐที่เข้าร่วมสงครามแล้วก็ต้องที่ชนะสงคราม เพราะ ถ้าแพ้นั้นหมายถึงเสียผลประโยชน์อย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นรัฐคู่กรณีในสงครามต่างฝ่ายต่างก็ต้องงัดวิธีหรือกลยุทธ์ที่จะล้มรัฐคู่สงครามให้ได้ ยิ่งสงครามสมัยก่อนที่ไม่คำนึงถึงมนุษยธรรม ไม่มีกฎเกณฑ์การรบที่ชัดเจน วิธีก็ยิ่งหลากหลาย เช่น รัฐๆนี้ใหญ่ประชากรเยอะก็เอาจำนวนเข้าข่ม รัฐนี้ผลิตอาวุธใหม่ๆได้ก็นำมาใช้ในสงคราม รัฐนี้ชัยภูมิดีก็ใช้ชัยภูมิของตน รัฐนี้ปฎิรูปกองทัพใหม่ได้ใช้วิธีการรบแบบใหม่ได้ก็นำมันมาใช้ในสงคราม
แล้วบางครั้งรัฐหรือกลุ่มบางกลุ่มที่มีผลประโยชน์ร่วมกันก็อาจจะร่วมมือกันเป็นพันธมิตร เพื่อรุมถล่มอีกรัฐ ถามว่าทำไมถึงต้องร่วมมือกัน ก็เพราะจะได้มีกำลังรบและทรัพยากรมากกว่าคู่สงครามยังไงครับ
ย้อนกลับมาประเด็นแรก "ถ้าไม่รุมน่ะ...... ป่านนี้ชนะแล้ว"
เท่าที่ผมศึกษาประวัติศาสตร์มามันไม่มีชาติไหนหรอกครับ ที่ต้องการมีจำนวนน้อยกว่าอีกฝ่าย เพื่อที่เวลารบชนะแล้วตัวเองจะได้ดูเท่ ดูเก่ง???? มันไม่มีครับตรรกะนี้ในการทำสงคราม เพราะต่างฝ่ายต่างต้องการหาพันธมิตรเพื่อเพิ่มกำลังรบให้ตนเอง และไอ้รัฐที่ต้องเข้าสงครามอย่างโดดเดี่ยวโดยปราศจากพันธมิตรผมมองว่า "เขาผิดพลาดทางยุทธศาสตร์" อย่างร้ายแรงครับ ..... และไอ้รัฐที่ไปร่วมมือกันเป็นพันธมิตรไปตบอีกรัฐจนร่วงผมก็ไม่ได้มองว่า กาก หรือ อ่อนแอ.......... แต่มองว่าพวกเขาฉลาดในเกมส์การเมืองมากกว่าที่สามารถดึงอีกรัฐมาเป็นพวกด้วย .... แล้วไม่ต้องเอาปนกับเรื่อง ดวลกัน หรือ ต่อยตีกันตามประสาลุกผู้ชายครับ เพราะนั้นอาจจะเป็นเรื่องของศักดิ์ศรี มันละเรื่องกัน แต่สงครามมันคือ "รัฐต่อรัฐ" เป็นผลระหว่างรัฐด้วยกัน และ ถ้ารัฐไหนรบชนะ คนในรัฐของคุณไม่ออกมาด่าคุณหรอกครับ "เฮ้ย กากหว่ะต้องรุมเขาถึงชนะ" มีแต่จะดีใจที่รัฐของตนชนะ และนำผลประโยชน์มาสู่ตนและเกียรติภูมิมาสู่ตนเพราะ คุณชนะ .... (ถ้ามีผมว่าคนนั้นก็ไม่ปกติเช่นกัน)
และเรื่องการใช้ชัยภูมิให้เป็นประโยชน์มันก็เป็นของคู่กับการทำสงครามมานานแล้วครับ ถ้าคุณรู้ว่าสามารถเอาชนะข้าศึกได้โดยไม่ต้องเอากองทัพไปสู้ตรงๆคุณจะทำไหม..... คำตอบคือ ทำแน่นอนครับ (ถ้าไม่ทำผมมองว่าผู้นำคนนั้นก็ไม่ปกติเช่นกัน)
สรุปเลย สงครามมันไม่ใช่การต่อสู้อย่างเท่าเทียมโดยวัดจากขีดความสามารถของกำลังพลแต่และฝ่ายในการรบ แต่มันคือการทำอย่างไรก็ตามให้ฝ่ายตนชนะสงคราม อย่างบอบช้ำน้อยที่สุดและได้ผลประโยชน์มากที่สุด หวังว่าบทความนี้คงจะเปลี่ยนความคิดของกลุ่มคนบางกลุ่มไม่มากก็น้อย หรือถ้าหากคนไหนไม่เห็นด้วยก็สามารถแสดงความเห็นได้ครับ ขอบคุณครับ