กรมควบคุมโรคยืนยันผลแล็บ3ที่ ชายต่างชาติไม่ได้ป่วยด้วยโรคเมอร์ส
แต่พบปอดอักเสบพร้อมเชื้อวัณโรค เร่งประสานสายการบินติดตามกลุ่มเสี่ยงเดินทางมาพร้อมผู้ป่วย
นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) กล่าวถึงกรณีพบชายแอฟริกันเดินทางมาจากตะวันออกกลาง
ต้องสงสัยป่วยด้วยโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจตะวันออกกลาง หรือ โรคเมอร์ส เดินทางเข้ามาในประเทศไทย
โดยขณะนี้รับตัวมารักษาที่สถาบันบำราศนราดูร เบื้องต้นระบุเป็นโรควัณโรคปอด ว่า
ขณะนี้ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการทั้ง 3 หน่วยงาน ได้แก่ สถาบันบำราศนราดูร กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ยืนยันว่า ไม่พบเชื้อไวรัสเมอร์ส-โควี หรือ โรคเมอร์ส ในผู้ป่วยชาวต่างชาติคนดังกล่าวแต่อย่างใด
เบื้องต้นผู้ป่วยเป็นปอดอักเสบและตรวจพบเชื้อวัณโรค ซึ่งขณะนี้อยู่ในการดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด
พร้อมประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการต่อไป
อย่างไรก็ตาม กรมควบคุมโรค ได้ประสานไปยังสายการบินและสนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อติดตามกลุ่มเสี่ยงที่ร่วมเดินทางมากับผู้ป่วย
รวมถึงบุคคลอื่นที่มีประวัติใกล้ชิดกับผู้ป่วย ตลอดเส้นทางการเดินทางในประเทศไทย ในการเข้าสู่ระบบป้องกันและรับการรักษาต่อไป
นพ.สุวรรณชัย กล่าวว่า สถานการณ์ปัจจุบัน ประเทศไทยยังคงมีการเฝ้าระวังโรคเมอร์สและโรคติดต่ออื่นๆ จากต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง
โดยกระทรวงสาธารณสุข กรมควบคุมโรค และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ
ทั้งทางอากาศยาน ทางเรือ ทางบก ยังคงทำงานอย่างเต็มที่ภายใต้กฎอนามัยระหว่างประเทศ
ที่กำหนดให้แต่ละประเทศดำเนินการตรวจคัดกรองผู้เดินทาง และควบคุมโรคภายในประเทศไม่ให้เกิดการแพร่กระจายไปยังประเทศอื่นโดยรอบ
ซึ่งดำเนินการตามมาตรการเฝ้าระวังป้องกันโรคอย่างต่อเนื่องใน 3 ส่วน คือ ด่านควบคุมโรคระหว่างประเทศ โรงพยาบาล และในชุมชน
โดยเฉพาะในด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ ได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่ในช่องทางเข้า - ออกประเทศ
จัดพื้นที่คัดกรองผู้เดินทาง ในกรณีที่พบผู้เดินทางสงสัยป่วยจะแยกผู้เดินทางและนำส่งโรงพยาบาลต่อไป
นอกจากนี้ มีการวางแผนที่จะเพิ่มศักยภาพขีดความสามารถในการคัดกรองผู้ป่วย
ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการบูรณาการการทำงานร่วมกัน เพื่อความปลอดภัยทางสุขภาพของคนไทย
“สำหรับประชาชนที่เดินทางกลับจากประเทศแถบตะวันออกกลาง
หากภายใน 14 วัน มีอาการไข้ ไอ เจ็บคอ หรือมีน้ำมูก ให้รีบไปพบแพทย์โดยเร็ว
พร้อมแจ้งประวัติการเดินทางมาจากประเทศที่มีการระบาดของโรค
หรือมีประวัติการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่สงสัยโรคทางเดินหายใจตะวันออกกลาง
มีการเข้าฟาร์มสัตว์หรือสัตว์ป่าต่างๆ รวมถึงมีการดื่มน้ำนมดิบโดยไม่ผ่านการฆ่าเชื้อโรค โดยเฉพาะน้ำนมอูฐ
หากปะชาชนมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422” นพ.สุวรรณชัย กล่าว
ที่มา mgronline
ผลแล็บ3แห่งยืนยัน ชายต่างชาติไม่ได้ป่วยด้วยโรคเมอร์ส แค่วัณโรคพ่วงปอดอักเสบ
แต่พบปอดอักเสบพร้อมเชื้อวัณโรค เร่งประสานสายการบินติดตามกลุ่มเสี่ยงเดินทางมาพร้อมผู้ป่วย
นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) กล่าวถึงกรณีพบชายแอฟริกันเดินทางมาจากตะวันออกกลาง
ต้องสงสัยป่วยด้วยโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจตะวันออกกลาง หรือ โรคเมอร์ส เดินทางเข้ามาในประเทศไทย
โดยขณะนี้รับตัวมารักษาที่สถาบันบำราศนราดูร เบื้องต้นระบุเป็นโรควัณโรคปอด ว่า
ขณะนี้ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการทั้ง 3 หน่วยงาน ได้แก่ สถาบันบำราศนราดูร กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ยืนยันว่า ไม่พบเชื้อไวรัสเมอร์ส-โควี หรือ โรคเมอร์ส ในผู้ป่วยชาวต่างชาติคนดังกล่าวแต่อย่างใด
เบื้องต้นผู้ป่วยเป็นปอดอักเสบและตรวจพบเชื้อวัณโรค ซึ่งขณะนี้อยู่ในการดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด
พร้อมประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการต่อไป
อย่างไรก็ตาม กรมควบคุมโรค ได้ประสานไปยังสายการบินและสนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อติดตามกลุ่มเสี่ยงที่ร่วมเดินทางมากับผู้ป่วย
รวมถึงบุคคลอื่นที่มีประวัติใกล้ชิดกับผู้ป่วย ตลอดเส้นทางการเดินทางในประเทศไทย ในการเข้าสู่ระบบป้องกันและรับการรักษาต่อไป
นพ.สุวรรณชัย กล่าวว่า สถานการณ์ปัจจุบัน ประเทศไทยยังคงมีการเฝ้าระวังโรคเมอร์สและโรคติดต่ออื่นๆ จากต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง
โดยกระทรวงสาธารณสุข กรมควบคุมโรค และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ
ทั้งทางอากาศยาน ทางเรือ ทางบก ยังคงทำงานอย่างเต็มที่ภายใต้กฎอนามัยระหว่างประเทศ
ที่กำหนดให้แต่ละประเทศดำเนินการตรวจคัดกรองผู้เดินทาง และควบคุมโรคภายในประเทศไม่ให้เกิดการแพร่กระจายไปยังประเทศอื่นโดยรอบ
ซึ่งดำเนินการตามมาตรการเฝ้าระวังป้องกันโรคอย่างต่อเนื่องใน 3 ส่วน คือ ด่านควบคุมโรคระหว่างประเทศ โรงพยาบาล และในชุมชน
โดยเฉพาะในด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ ได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่ในช่องทางเข้า - ออกประเทศ
จัดพื้นที่คัดกรองผู้เดินทาง ในกรณีที่พบผู้เดินทางสงสัยป่วยจะแยกผู้เดินทางและนำส่งโรงพยาบาลต่อไป
นอกจากนี้ มีการวางแผนที่จะเพิ่มศักยภาพขีดความสามารถในการคัดกรองผู้ป่วย
ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการบูรณาการการทำงานร่วมกัน เพื่อความปลอดภัยทางสุขภาพของคนไทย
“สำหรับประชาชนที่เดินทางกลับจากประเทศแถบตะวันออกกลาง
หากภายใน 14 วัน มีอาการไข้ ไอ เจ็บคอ หรือมีน้ำมูก ให้รีบไปพบแพทย์โดยเร็ว
พร้อมแจ้งประวัติการเดินทางมาจากประเทศที่มีการระบาดของโรค
หรือมีประวัติการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่สงสัยโรคทางเดินหายใจตะวันออกกลาง
มีการเข้าฟาร์มสัตว์หรือสัตว์ป่าต่างๆ รวมถึงมีการดื่มน้ำนมดิบโดยไม่ผ่านการฆ่าเชื้อโรค โดยเฉพาะน้ำนมอูฐ
หากปะชาชนมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422” นพ.สุวรรณชัย กล่าว
ที่มา mgronline