ก่อนอื่นเกริ่นประวัติกันนิดนะคะ คือเราทำงานประจำและทำสปากระเป๋าเป็นอาชีพ โดยได้ไปเรียนมาจากสถาบันหนึ่งที่ราคาค่อนข้างสูงเลยทีเดียว ทีนี้เราเริ่มจากรับงานสปาจากเพื่อน ๆ ในบริษัทฯนี่แหละจ้า ก็ไม่ได้คิดแพงมาก ทำให้งานเข้ามา ๆ และเข้ามา ไม่ใช่ ไม่ขาดมือนะ เรียกว่าล้นมือจนอยากลาออกไปเปิดร้านจริง ๆ จัง ๆ กันเลย ทีนี้น้อง ๆ เพื่อน ๆ (ทำงานกันคนละทีนะจ้ะ ไม่แย่งกันทำมาหากินนะ 555) ก็อยากมีอาชีพเสริมกันบ้าง ก็มาถามก้นตลอด ว่าเราเรียนมาจากไหน เราเลยรู้สึกว่าไม่อยากบอกที่ที่เราไปเรียนมา ก็กึ่ง ๆ จะเป็นความลับเรานะ ของดีก็อุบไว้บ้าง ไรบ้าง แต่เอาเป็นว่า ไม่ได้ใจร้ายขนาดนั้น เลยมาโพสวิธีเลือกละกัน ว่าจะเรียนสปากระเป๋าที่ไหนดี เพราะเดี๋ยวนี้ที่สอนสปากระเป๋าเย๊อะมาก ๆ ๆ ๆ เล็กบ้าง ใหญ่บ้าง เลอะเทอะ ไม่เหมือนสมัย 4-5 ปีก่อน ที่เราไปเรียนมา มีไม่กี่ที แต่ละทีค่อนข้างมีคุณภาพ เอ๊า เข้าเรื่องเลยดีกว่า สิ่งที่เราคิดว่า ควรนำมาพิจารณาในการเลือก ที่เรายึดถือเป็นสรณะในการตัดสินใจมาโดยตลอด ว่าจะเรียนสปากระเป๋าที่ไหนดี มีดังนี้จ้ะ
1.
ความน่าเชื่อถือ เป็นบริษัทไม๊หรือเป็นในนามบุคคล (แบบสอนกันตามคอนโดนี่ก็ไม่ไหวนะ) การจัดตั้งเป็นบริษัท ทำให้คุณมั่นใจได้ว่า เค้าจะยึดถืออาชีพสอนสปากระเป๋านี้ไปอีกนานแสนนาน เป็นแบ๊คอัพให้คุณในอาชีพนี้ ไม่ใช่พออะไรฮิต ก็เปลี่ยนไปขายอันนั้นซะงั้น ปล่อยเราลอยเท้งเต้งเลย ติดต่อไป หายจ๋อย เพราะเจ้าตัวก็เลิกทำ ไม่ดี ไม่งามนะจ้ะ
2.
ผลงานสปากระเป๋าของบริษัท คือ ต้องมีงานสปากระเป๋าหลากหลาย การมีคนมาเรียนเย๊อะ กับผลงานมันต้องพิจารณาแยกกันนะจ้ะ คนเรียนเย๊อะเพราะเค้าหากินกับการสอนสปากระเป๋าเป็นหลัก เค้าก็ทำการตลาดหนัก ๆ ตรงส่วนนั้น บางที่สอนน้อย ๆ แต่ได้คุณภาพ ก็แล้วแต่มุมมองจ้ะ จึงควรพิจารณาผลงานของบริษัท เช่น ทำได้หลาย ๆ แบรนด์ ไม่ใช่เอะอะอะไรก็โชว์แต่งานหลุยส์ แล้วถ้าเราแจ็กพอตเจอแบรนด์แปลก ๆ ก็ไม่ต้องทำกันพอดี หลาย ๆ แบรนด์ หลาย ๆ วัสดุ เช่น หนังคาวไฮด์ หนังสี ๆ (เรียกรวม ๆ นะจ้ะ ไม่ขออธิบายประเภท) หนังจรเข้ หนังแกะ ผ้าเคลือบ ผ้าใบ งานทำความสะอาด งานซ่อม งานสี เอาให้มันหลากหลายเข้าไว้ บางร้านก็ดูหลากหลาย แต่ไม่ได้ทำเอง ส่งต่อชาวบ้านเค้า อันนี้ก็แล้วแต่ดวงจ้ะ พิจารณาร่วมกันหลาย ๆ ข้อดีสุด
3.
Profile คนสอน อันนี้มองอีกมุมอาจจะเหมือนละลาบละล้วงข้อมูล แต่นะ เงินเราก็ไม่ได้หามาง่าย ๆ ถามสักหน่อยเค้าคงไม่ว่าอะไร ยกตัวอย่าง ถ้าเราอยากจะเรียนสี แล้วคนสอน จบมาทางศิลปะ ก็คงดีกว่าคนสอนจบมาเก็ตติ้งไม๊ละ เค้าอาจจะทำการตลาดเก่ง ให้ดูว่าร้านเค้าดัง น่าเชื่อถือ แต่ถ้าเราจะคิดจะหากินกับอาชีพนี้ ครูก็ต้องดีนะ ว่าไม๊ล่ะ ครูยังไม่รู้ ละจะให้ไปถามใครล่ะเนี๊ยะ
4.
น้ำยาที่ใช้สอนสปากระเป๋า คือหลาย ๆ ที่จับแพะชนแกะมั่วไปหมด ทำความสะอาดผ้าให้ไปซื้อในซุปเปอร์ฯ ทำหนังให้ไปซื้อในห้าง ทำสีไปวงเวียนใหญ่ คือมันงงนะ ถ้ามีน้ำยาเป็นของตัวเอง หลากหลายครบ ๆ ทุกเคส ทุกปัญหา มันก็ดีกว่า ไม่ต้องไปนั่งคิดแบบโอท็อป ว่าจะทำไงดีกับเคสแบบนี้ ที่สำคัญคุณภาพแต่ละอย่างมันไม่ไหวอะ (จากที่เราลองใช้ด้วยตัวเองนะ คนอื่นใช้แล้วเวิร์คก็อย่าว่ากัน) ส่วนตัวเราคิดว่า กระเป๋าลูกค้าเค้าก็รักของเค้า ใบนึงก็แพงมาก หากเราไม่มีจรรยาบรรณ ใช้ของคุณภาพต่ำ ๆ ทำให้เค้า เราว่ามันมีผลข้างเคียงนะ เช่นในอนาคตกระเป๋าเค้าอาจจะเหลือง กรอบ ตอนทาเข้าไปแรก ๆ อาจจะไม่เป็นไร คือสงสารลูกค้า ตรงจุดนี้แม้ลูกค้าไม่เห็นแต่เราซื่อสัตย์ แล้วสบายใจคิดว่าจุดนี้ทำให้เรามีลูกค้าไม่ขาดมือนะ บางที่เห็นโพสกันเอาสีอคิลิคถูก ๆ ที่ใช้วาดเขียน มาสอน มาทำงานให้บริการ ไม่ถึงสัปดาห์สีลอก บางครั้งหนังมันเสียนะ แล้วคุณรับผิดชอบไหวเหรอ ประหยัดหลักร้อย ต้องไปชดใช้เค้าหลักหมื่น กระเป๋าหลักแสน คุณใช้สีตามร้านเครื่องเขียน ราคาหลักสิบมาแต้มให้เค้า มันคู่ควรแล้วหรือ
5.
หลักสูตร ข้อที่สำคัญไม่แพ้ข้ออื่น ๆ บางที่คิดขึ้นมาเองสไตล์โอท็อปราคาก็ถูกหน่อย บางทีซื้อลิขสิทธิ์เข้ามา เป็นขั้นเป็นตอนเป็นระบบ ก็แพงหน่อย ก็เลือกกันไปตามอัตภาพ และกำลังทรัพย์จ้ะ แต่ส่วนตัวเราว่า จะเรียนทั้งที เอาให้มันดี ๆ หน่อย อย่าไปจ่ายเละเทะ กะว่าเอาน้อย ๆ ถูก ๆ ก่อน เริ่มไม่ดี ก็จบไม่สวยนะ อาจจะเสียเงินฟรี ๆ ไปก็ได้ เพราะเอามาใช้งานจริงไม่ได้จ้ะ
6.
ธุรกิจหลักของสถาบันที่สอน
6.1 สอนสปากระเป๋าเป็นหลัก ก็ครึ่ง ๆ มีทั้งดีและไม่ดี คือเน้นสอนสปากระเป๋ามาก แต่งานทำได้พื้น ๆ เพราะคนมาเริ่มเรียนสปากระเป๋า ก็ไม่ได้รู้เรื่องเครื่องหนังมาก่อน ก็ดูเหมือนจะดี มีรีวิว คนเรียนกันมากมาย เบียดเสียดกันไป ไปเรียนแล้วก็ทำได้แต่เคสพื้น ๆ แล้วเราจะแตกต่างกับคนอื่นตรงไหนละ เค้าก็เรียนที่เดียวกับเรา
6.2 ขายกระเป๋ามือสองเป็นหลัก อันนี้ส่วนตัวคิดว่า ถ้าคุณไม่ได้คิดจะขายกระเป๋าก็ไม่ต้องไปเรียนดีกว่า เพราะเค้าจะเน้นให้คุณเป็นสมาชิกเพื่อขายสินค้าของเค้า เค้าก็จะสอนสปากระเป๋าแบบพื้น ๆ เพื่อให้คุณไปขัด ๆ ถูก ๆ นิดหน่อย พอจะดันของให้มันดูดีขึ้น ราคาสูงขึ้น แน่นอนว่าทำไรได้ไม่มาก ราคาถูก น้ำยาเกรดต่ำแล้วต่ำอีก เอาถูกเข้าไว้ แต่ถ้าคุณคิดจะขายกระเป๋ามือสอง แนะนำแบบนี้เลยจ้ะ
6.3
ขายน้ำยาสปากระเป๋า และเครื่องหนังอื่น ๆ เป็นหลัก อันนี้ค่อนข้างดี เพราะมีผลิตภัณฑ์หลากหลายให้เลือก ครบทุกปัญหา ไม่ได้สอนกันเป็นโขลง ๆ แต่ราคาจะสูงสักหน่อย ถ้าใครพร้อมจะลงทุนให้อนาคต ระยะยาวก็เป็นทางเลือกที่คุ้มจ้ะ ส่วนตัวเราเลือกแบบนี้นะ จ่ายทีเดียวไม่ซ้ำซ้อน (หมายถึง ต้องมีแบรนด์ผลิตภัณฑ์เป็นของตัวเองนะ และมีผลิตภัณฑ์หลากหลาย ไม่ใช่ขายมั่วซั่วไปหมด หรือขายอยู่ตัวเดียวง่ะ ฟองน้ำไดโซะก็เอามาขาย อันนี้ไม่ไหวนะ)
เป็นไงบ้างจ้ะ ได้ประโยชน์กันไม๊ ทีนี้ใครถามว่า เรียนสปากระเป๋าที่ไหน ก็จะส่งลิงค์นี้ให้อ่านนะจ้ะ 5555 ไปตัดสินใจกันเอาเอง เพราะแต่ละคนก็ชอบไม่เหมือนกันนะ บายจ้าาาา
เรียนสปากระเป๋าที่ไหนดี
1. ความน่าเชื่อถือ เป็นบริษัทไม๊หรือเป็นในนามบุคคล (แบบสอนกันตามคอนโดนี่ก็ไม่ไหวนะ) การจัดตั้งเป็นบริษัท ทำให้คุณมั่นใจได้ว่า เค้าจะยึดถืออาชีพสอนสปากระเป๋านี้ไปอีกนานแสนนาน เป็นแบ๊คอัพให้คุณในอาชีพนี้ ไม่ใช่พออะไรฮิต ก็เปลี่ยนไปขายอันนั้นซะงั้น ปล่อยเราลอยเท้งเต้งเลย ติดต่อไป หายจ๋อย เพราะเจ้าตัวก็เลิกทำ ไม่ดี ไม่งามนะจ้ะ
2. ผลงานสปากระเป๋าของบริษัท คือ ต้องมีงานสปากระเป๋าหลากหลาย การมีคนมาเรียนเย๊อะ กับผลงานมันต้องพิจารณาแยกกันนะจ้ะ คนเรียนเย๊อะเพราะเค้าหากินกับการสอนสปากระเป๋าเป็นหลัก เค้าก็ทำการตลาดหนัก ๆ ตรงส่วนนั้น บางที่สอนน้อย ๆ แต่ได้คุณภาพ ก็แล้วแต่มุมมองจ้ะ จึงควรพิจารณาผลงานของบริษัท เช่น ทำได้หลาย ๆ แบรนด์ ไม่ใช่เอะอะอะไรก็โชว์แต่งานหลุยส์ แล้วถ้าเราแจ็กพอตเจอแบรนด์แปลก ๆ ก็ไม่ต้องทำกันพอดี หลาย ๆ แบรนด์ หลาย ๆ วัสดุ เช่น หนังคาวไฮด์ หนังสี ๆ (เรียกรวม ๆ นะจ้ะ ไม่ขออธิบายประเภท) หนังจรเข้ หนังแกะ ผ้าเคลือบ ผ้าใบ งานทำความสะอาด งานซ่อม งานสี เอาให้มันหลากหลายเข้าไว้ บางร้านก็ดูหลากหลาย แต่ไม่ได้ทำเอง ส่งต่อชาวบ้านเค้า อันนี้ก็แล้วแต่ดวงจ้ะ พิจารณาร่วมกันหลาย ๆ ข้อดีสุด
3. Profile คนสอน อันนี้มองอีกมุมอาจจะเหมือนละลาบละล้วงข้อมูล แต่นะ เงินเราก็ไม่ได้หามาง่าย ๆ ถามสักหน่อยเค้าคงไม่ว่าอะไร ยกตัวอย่าง ถ้าเราอยากจะเรียนสี แล้วคนสอน จบมาทางศิลปะ ก็คงดีกว่าคนสอนจบมาเก็ตติ้งไม๊ละ เค้าอาจจะทำการตลาดเก่ง ให้ดูว่าร้านเค้าดัง น่าเชื่อถือ แต่ถ้าเราจะคิดจะหากินกับอาชีพนี้ ครูก็ต้องดีนะ ว่าไม๊ล่ะ ครูยังไม่รู้ ละจะให้ไปถามใครล่ะเนี๊ยะ
4. น้ำยาที่ใช้สอนสปากระเป๋า คือหลาย ๆ ที่จับแพะชนแกะมั่วไปหมด ทำความสะอาดผ้าให้ไปซื้อในซุปเปอร์ฯ ทำหนังให้ไปซื้อในห้าง ทำสีไปวงเวียนใหญ่ คือมันงงนะ ถ้ามีน้ำยาเป็นของตัวเอง หลากหลายครบ ๆ ทุกเคส ทุกปัญหา มันก็ดีกว่า ไม่ต้องไปนั่งคิดแบบโอท็อป ว่าจะทำไงดีกับเคสแบบนี้ ที่สำคัญคุณภาพแต่ละอย่างมันไม่ไหวอะ (จากที่เราลองใช้ด้วยตัวเองนะ คนอื่นใช้แล้วเวิร์คก็อย่าว่ากัน) ส่วนตัวเราคิดว่า กระเป๋าลูกค้าเค้าก็รักของเค้า ใบนึงก็แพงมาก หากเราไม่มีจรรยาบรรณ ใช้ของคุณภาพต่ำ ๆ ทำให้เค้า เราว่ามันมีผลข้างเคียงนะ เช่นในอนาคตกระเป๋าเค้าอาจจะเหลือง กรอบ ตอนทาเข้าไปแรก ๆ อาจจะไม่เป็นไร คือสงสารลูกค้า ตรงจุดนี้แม้ลูกค้าไม่เห็นแต่เราซื่อสัตย์ แล้วสบายใจคิดว่าจุดนี้ทำให้เรามีลูกค้าไม่ขาดมือนะ บางที่เห็นโพสกันเอาสีอคิลิคถูก ๆ ที่ใช้วาดเขียน มาสอน มาทำงานให้บริการ ไม่ถึงสัปดาห์สีลอก บางครั้งหนังมันเสียนะ แล้วคุณรับผิดชอบไหวเหรอ ประหยัดหลักร้อย ต้องไปชดใช้เค้าหลักหมื่น กระเป๋าหลักแสน คุณใช้สีตามร้านเครื่องเขียน ราคาหลักสิบมาแต้มให้เค้า มันคู่ควรแล้วหรือ
5. หลักสูตร ข้อที่สำคัญไม่แพ้ข้ออื่น ๆ บางที่คิดขึ้นมาเองสไตล์โอท็อปราคาก็ถูกหน่อย บางทีซื้อลิขสิทธิ์เข้ามา เป็นขั้นเป็นตอนเป็นระบบ ก็แพงหน่อย ก็เลือกกันไปตามอัตภาพ และกำลังทรัพย์จ้ะ แต่ส่วนตัวเราว่า จะเรียนทั้งที เอาให้มันดี ๆ หน่อย อย่าไปจ่ายเละเทะ กะว่าเอาน้อย ๆ ถูก ๆ ก่อน เริ่มไม่ดี ก็จบไม่สวยนะ อาจจะเสียเงินฟรี ๆ ไปก็ได้ เพราะเอามาใช้งานจริงไม่ได้จ้ะ
6. ธุรกิจหลักของสถาบันที่สอน
6.1 สอนสปากระเป๋าเป็นหลัก ก็ครึ่ง ๆ มีทั้งดีและไม่ดี คือเน้นสอนสปากระเป๋ามาก แต่งานทำได้พื้น ๆ เพราะคนมาเริ่มเรียนสปากระเป๋า ก็ไม่ได้รู้เรื่องเครื่องหนังมาก่อน ก็ดูเหมือนจะดี มีรีวิว คนเรียนกันมากมาย เบียดเสียดกันไป ไปเรียนแล้วก็ทำได้แต่เคสพื้น ๆ แล้วเราจะแตกต่างกับคนอื่นตรงไหนละ เค้าก็เรียนที่เดียวกับเรา
6.2 ขายกระเป๋ามือสองเป็นหลัก อันนี้ส่วนตัวคิดว่า ถ้าคุณไม่ได้คิดจะขายกระเป๋าก็ไม่ต้องไปเรียนดีกว่า เพราะเค้าจะเน้นให้คุณเป็นสมาชิกเพื่อขายสินค้าของเค้า เค้าก็จะสอนสปากระเป๋าแบบพื้น ๆ เพื่อให้คุณไปขัด ๆ ถูก ๆ นิดหน่อย พอจะดันของให้มันดูดีขึ้น ราคาสูงขึ้น แน่นอนว่าทำไรได้ไม่มาก ราคาถูก น้ำยาเกรดต่ำแล้วต่ำอีก เอาถูกเข้าไว้ แต่ถ้าคุณคิดจะขายกระเป๋ามือสอง แนะนำแบบนี้เลยจ้ะ
6.3 ขายน้ำยาสปากระเป๋า และเครื่องหนังอื่น ๆ เป็นหลัก อันนี้ค่อนข้างดี เพราะมีผลิตภัณฑ์หลากหลายให้เลือก ครบทุกปัญหา ไม่ได้สอนกันเป็นโขลง ๆ แต่ราคาจะสูงสักหน่อย ถ้าใครพร้อมจะลงทุนให้อนาคต ระยะยาวก็เป็นทางเลือกที่คุ้มจ้ะ ส่วนตัวเราเลือกแบบนี้นะ จ่ายทีเดียวไม่ซ้ำซ้อน (หมายถึง ต้องมีแบรนด์ผลิตภัณฑ์เป็นของตัวเองนะ และมีผลิตภัณฑ์หลากหลาย ไม่ใช่ขายมั่วซั่วไปหมด หรือขายอยู่ตัวเดียวง่ะ ฟองน้ำไดโซะก็เอามาขาย อันนี้ไม่ไหวนะ)
เป็นไงบ้างจ้ะ ได้ประโยชน์กันไม๊ ทีนี้ใครถามว่า เรียนสปากระเป๋าที่ไหน ก็จะส่งลิงค์นี้ให้อ่านนะจ้ะ 5555 ไปตัดสินใจกันเอาเอง เพราะแต่ละคนก็ชอบไม่เหมือนกันนะ บายจ้าาาา