ผมได้มีโอกาสไปฟังสัมมนาวิชาการ เรื่องโรคปอด อาทิตย์ก่อน เรื่องถุงลมโป่งพองจากบุหรี่ วิทยากรมีอาจารย์แพทย์หลายท่าน ได้บรรยาย ถึงการขาดแคลนอุปกรณ์ต่างๆ เช่น Spirometer (ใช้วัดการทำงานของปอดช่วยวินิจฉัยโรคถุงลมโป่งพองได้ตั้งแต่ระยะแรกๆ) เครื่องนี้มีในรพใหญ่ๆเท่านั้น เพราะมันแพงเครื่องละ สองแสน นอกจากนี้ โรคถุงลมโป่งพอง ยังต้องใช้ยาพ่นราคาแพงตลับละหลายร้อยและใช้ต่อเนื่องจนกว่าจะลงโลง เป็นปัญหาสำคัญในวงการสาธารณสุขมาตลอด ผมจึงมีแนวความคิด อยากให้รัฐบาล คงต้องเป็นชุดนี้ เพราะรัฐบาลชุดอื่นผมว่าเค้าคงไม่ทำ เพราะการค้าบุหรี่สร้างกำไรมหาศาลให้กับบริษัทบุหรี่ต่างประเทศ ยกเว้นโรงงานยาสูบของกระทรวงการคลังที่กำลังขาดทุนอยู่เนื่องจากมีต้นทุนสูงกว่าบุหรี่นอก แนวคิดของผมก็คือ ทำบัตรประจำตัวผู้ซื้อบุหรี่ บัตรนี้ออกที่จังหวัด ราคาบัตรละ 15000 บาท ใช้ได้1ปี หมดอายุก็มาต่อใหม่ที่ศาลากลางจังหวัด เป็นบัตรแบบบัตรสมาร์ทเพิร์ส(ที่จังหวัดออกให้) ท่านก็ไปแตะๆที่ ร้านสะดวกซื้อ ก่อนซื้อบุหรี่ สรุปว่าผู้สูบ จ่ายหมื่นห้าทุกปี เงินจำนวนนี้ไม่ได้หายไปไหน เอาไปสบทบทุน กองทุนเพื่อผู้สูบบุหรี่ เงินที่ได้เอาไปสมทบทุนจัดซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์และยาที่เกี่ยวข้อง สำหรับรักษาตัวท่านนั่นแหละ ครบปีก็มาต่ออายุบัตรที่จังหวัดไม่เอาที่อำเภอนะครับให้มันดูยากๆหน่อย และก็จัดสัมมนาวิชาการให้ผู้สูบบุหรี่ฟัง เชิญวิทยากรทางการแพทย์มาบรรยาย ท่านต้องพาภริยาหรือสามีและบุตร มาร่วมฟังด้วย จบสัมมนา มีตรวจการทำงานของปอดด้วยเครื่องSpirometer และพาไปทำกิจกรรมดูแลผู้ป่วย ตามรพ.ต่างๆ แน่นอนไปกันทั้งครอบครัว ให้ไปดูของจริงเลย จบจากการฝึกงานดูแลผู้ป่วยก็กลับมารับบัตรที่จังหวัดเอาไปซื้อบุหรี่ได้(ยกเว้นผลตรวจSpirometerไม่ผ่านไม่ออกบัตรให้นะครับ) ปีหน้าถ้าอยากได้บัตรก็มาอบรมใหม่เสียตังค์ใหม่ตรวจSpiroใหม่และพาครอบครัวมาใหม่ ไปเรื่อยๆครับ ทุกวันนี้มีอบรมบุคลาการทางการแพทย์ แต่ผู้สูบบุหรี่ไม่ได้อบรมเลย ก็ยังไงๆ อยู่ครับ หวังว่า แนวคิดผม คงเป็นประโยชน์ และช่วยให้ รพ.ต่างๆมีอุปกรณ์และยาที่เหมาะสม เรียนฝากแนวคิดให้ กระทรวงสาธารณสุข สสส. สปสช. และ รัฐบาล นี้ด้วยครับ ยาวไปนิดขอบคุณทุกท่านที่อ่านจนจบนะครับ
เรื่องถุงลงโป่งพองครับ