ความเดิมตอนที่แล้ว >>>
https://ppantip.com/topic/37719754
โปรแกรมสุดท้ายหลังจากถวายสังฆทาน รับพรจากท่านพระครู เจ้าอาวาสวัด และได้รับการประพรมน้ำมนต์จนอิ่มเอมใจถ้วนหน้าแล้ว ปีกุนขอแวะมาให้อาหารนกปลาบริเวณศาลาท่าน้ำ ซึ่งมีอาหารนกปลาจัดวางอยู่ข้างตู้บริจาค เธอล้วงเศษเหรียญจากกระเป๋าใส่ลงในตู้ ขณะเดียวกัน แขนยาวๆ ของนายอ่ำยื่นมาพร้อมธนบัตรสีแดงสองใบหย่อนตามเหรียญสิบบาทของเธอลงไปในตู้
นายอ่ำยิ้ม บอกกับเธอว่า "ทำบุญร่วมชาติตักบาตรร่วมขัน" แล้วเขาก็ฉวยเอาอาหารนกปลาจากตะกร้าขึ้นยื่นให้เธอและคุณช้างกันคนละซอง
หญิงสาวฉีกซองอาหารไป อมยิ้มแก้มปริไป ใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นโดยไม่รู้สาเหตุ
ตรงศาลาริมน้ำของวัดมีอาณาบริเวณกว้างขวาง สายลมยามสายพัดเรียบเรื่อย อากาศเย็นสบาย ปีกุนหว่านเมล็ดถั่วงาลงพื้น เธอยิ้มอย่างร่าเริงใจให้กับนกพิราบและบรรดานกเล็กๆ ที่บินกรูกันเข้ามาจิกกิน
เอราแปลกใจตัวเองไม่รู้เป็นครั้งที่เท่าไหร่ กับการเผลอมองดูพฤติกรรมของสาวร่างเล็กแล้วอมยิ้มไม่รู้ตัว ซึ่งกว่าจะรู้ตัวอีกทีมือของเขาที่กำลังล้วงหยิบอาหารปลาออกจากซองก็พบว่าหมดเกลี้ยงไปซะแล้ว
กิตติหันมาถามว่าจะให้ไปหยิบอาหารปลามาเพิมไหม แต่เมื่อเอราเหลือบดูนาฬิกาแล้วก็ส่ายหน้าปฏิเสธ
"ไม่ล่ะ กลับกันเถอะ เรายังมีภารกิจต้องทำ" เขาบอก และกิตติก็ทำหน้าม่อย เช่นเดียวกันกับความรู้สึกของเขาเองที่ไม่อยากให้เวลาสบายๆ แบบนี้เคลื่อนคล้อยไปเลยสักนาที
หญิงสาวขับรถกลับมายังหอพักพนักงานในเวลาใกล้เที่ยง การเดินทางขนาดย่อมสิ้นสุดลงอย่างเป็นสุข เรียกว่าถึงเวลาถอดมงกุฎกับสายสะพายบอกลาตำแหน่งไกด์ผีและสารถีเฉพาะกิจอย่างเป็นทางการสักที เธอจึงส่งกุญแจรถคืนถึงมือนายอ่ำ
“ขอบคุณอีกครั้งนะลูกหมู” นายอ่ำเอ่ย ริมฝีปากหนาเข้มเป็นเส้นตรงกับแววตาดุตลอดเวลาของเขามลายหายไปหมดสิ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ปีกุนไม่ทันสังเกต หากเพราะบัดนี้เหลือไว้เพียงเรียวปากแย้มยิ้มกับแววตาเป็นมิตรที่ทอดทอมาให้กับเธออย่างเปล่งประกาย
“อือ” คนโดนขอบคุณยิ้มตอบ
“นี่ค่าแรง” ชายหนุ่มบอก ในมือมีธนบัตรราคาหนึ่งพันจำนวนไม่น้อยยื่นมาให้
“รับสิ” เขาบอกสั้นๆ อย่างกับไม่รู้ว่าควรจะอธิบายเหตุผลของมันว่ายังไงให้ไม่เหมือนดูถูกน้ำใจเธอ
แต่ปีกุนส่ายหน้าปฏิเสธ ก่อนจะฉีกยิ้มตาหยี “ไม่เป็นไรค่ะ”
“รับเงินนั่นเอาไว้เถอะจ้ะลูกหมู ถือเป็นการชดเชยที่ฉันเบียดเบียนวันหยุดพักผ่อนของเธอก็แล้วกัน” คุณช้างแทรกขึ้นเป็นการสำทับ แว่วเสียงดูอารมณ์ดี แถมยังเลื่อนมือมาตบไหล่เธออย่างกับคนคุ้นเคย “เอาน่า รับๆ ไว้ อย่าให้ฉันต้องกลายเป็นผู้ใหญ่ขี้เอาเปรียบ ที่ชอบใช้แรงงานเด็กฟรีๆ เลยนะ”
พูดขอร้องกันมาขนาดนี้ ปีกุนจึงไม่ลีลานานนัก ยอมรับเงินจำนวนนั้นมาด้วยรอยยิ้มบานฉ่ำ รับมาแล้วก็อดไม่ได้ที่จะแอบกะน้ำหนัก คะเนจำนวนเงินเงียบๆ ในใจได้ว่ามันจะต้องไม่ต่ำกว่าห้าพันบาท... ซึ่งมากเกินกว่าค่าแรงเฉลี่ยในหนึ่งสัปดาห์ของเธอเสียอีก!
เธอยกมือไหว้ขอบคุณเจ้านายผู้ใจดีด้วยความซาบซึ้งตรึงใจ แต่ไม่ทันไร รอยยิ้มบานแฉ่งของเธอกลับต้องแปรเปลี่ยน เมื่อเสียงกระหืดกระหอบของป้าวัยกลางคนในชุดเสื้อผ้าลายดอกแดงพร้อยวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาหา
“ลูกหมูเว้ย!” เสียงดังฟังชัดแบบฉบับคนคอนของป้าละเมียดทำเอาคิ้วเรียวเข้มของปีกุนขมวดนิ่ว มองการวิ่งปนหอบเข้ามาของป้าแกอย่างฉงนสนเท่ห์
“มีอะไรเหรอจ๊ะป้า”
“ก็ไอ้แมวตัวนุ้ยที่ลูกหมูขวากไว้กับป้าฮั้นแหละ ตอนนี้มันสูญไปไหนแล้วกาหม้ายโร้”
“ห๊ะ! เจ้ามะเดื่อนะเหรอหายไป”
“จ้ะ” ป้าละเมียดพยักคอ สีหน้าไม่ค่อยดี “ป้ากวาดหย้ากโย่ในห้องแลโทรทัศน์ฮั้นแหละ เห็นหลังมันไวๆ แล่นจับดิกโย่กับเกือกฟองน้ำแรกแต่เดียวนิ ตอนแรกก็นึกว่ามันไปลักหยบโย่แค่ไหน แต่กาลองหาแลจนทั่วแล้ว หาไม่พบ ป้าห่วงว่ามันอิแล่นซน ออกไปนอกหนนใหญ่ หรือว่าอิโถ้กรถชน ตายโหงโก้งขวิดไปเสียแล้วกาหม้ายโร้ รถราเดี๋ยวนี้กามากแรง ทั้งสิบล้อ ยี่สิบล้อ บีบแตรลั่นดังจังหูทั้งวันนิ!”
ป้าละเมียดยังคงบ่นกะปอดกะแปดของแกจนออกทะเลไกลไปเรื่อย ลูกหมูไม่รอฟัง ปราดวิ่งแบบไม่คิดชีวิตออกไปหน้าถนน หัวใจสั่นสะท้านด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง... เจ้ามะเดื่อที่เพิ่งรู้จักกันเพียงไม่นาน จะต้องมาตายจากกันไปซะแล้วหรือนี่ ขออย่าให้เป็นอย่างนั้นเลยนะ ขอร้องเถอะ
หญิงสาวยืนนิ่งตรงริมถนนใหญ่สองเลนสายยาว รถหลากชนิดแล่นสวนกันขวักไขว่ เธอพยายามกวาดสายตามองจนทั่วก็ไม่พบเจ้ามะเดื่อ หัวใจเธอสะท้านหวิว ความเป็นห่วงที่มีต่อลูกแมวน้อยทับทวีขึ้นทุกขณะ
ห้านาทีให้หลัง นายอ่ำวิ่งออกมาตาม เพื่อจะเอ่ยบอกอะไรบางอย่าง แต่ด้วยความที่เขามัวแต่กระหืดกระหอบเพราะวิ่งมาไกล ทำให้ไม่ทันจะเอ่ย ปีกุนก็คิดเองเออเอง น้ำตาไหลออกมาเองแบบไม่รู้ตัว
"คุณเจอศพเจ้ามะเดื่อแล้วงั้นเหรอ" หญิงสาวเอ่ยถามเสียงสั่น
ชายหนุ่มสะบัดศีรษะ "เปล่า ที่วิ่งมานี่ผมจะบอกคุณว่าลูกแมวน่ะ ตอนนี้มันกำลังเดินเล่นสบายใจอยู่บนต้นไม้หน้าหอพักของคุณนั่นแหละ" แล้วเขาก็ยิ้มถอนใจพรืดออกมาเมื่อเห็นน้ำตาหยาดเล็กๆ บนแก้มเธอ... เห็นห้าวๆ อย่างกับเด็กทอมบอย ความจริงก็อ่อนไหวกะเขาเป็นเหมือนกันนะเนี่ย
คนขี้แยรีบปาดน้ำตาทิ้งซ่อนอาการอ่อนไหวอย่างทันควัน
ปีกุนโกรธตัวเองจนแทบอยากเอาหัวมุดฝาท่อระบายน้ำหลบหน้าไปให้พ้นๆ ค่าที่เผลอแสดงความอ่อนแอให้โลกเห็น
ปกติหัวใจเธอแข็งแกร่งไม่เคยอ่อนแอ แม่สอนเสมอให้เข้มแข็ง เพราะเมื่อใดที่ใจอ่อนแอ ร่างกายจะอ่อนแอยิ่งกว่า เป็นการซ้ำเติมให้แย่ลงไปอีกเท่าตัว
หญิงสาวกลบเกลื่อนอาการเสียเชิง ด้วยการรีบก้าวฉับๆ กลับมาที่หน้าหอพัก เห็นเจ้ามะเดื่อตัวดีกำลังปีนป่ายกิ่งมะม่วงหิมพานต์ซึ่งกำลังออกผลสีส้มอมแดงสุกปลั่ง
"ฮึ่ม! ไอ้มะเดื่อ ซนได้ขนาดนี้ เดี๋ยวเหอะ แม่จะเอาลูกมะม่วงยัดปากให้กินเป็นมื้อเที่ยง" คนขี้โมโหยืนเท้าเอวด่าใส่แมวอยู่ใต้ต้นมะม่วงอย่างโกรธๆ แววตาสั่นไหวด้วยความหวั่นสะพรึงบัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นความดีใจล้นพ้นที่เห็นแมวของตัวเองยังปกติสุข
และถึงปากจะบ่นขู่ใส่แมวไปแบบนั้น แต่หญิงสาวก็แสดงให้ประจักษ์แก่สายตาทุกคนว่าความปากไม่ตรงกับใจของเธอนั้นมีอยู่ท่วมท้นแค่ไหนด้วยการทะยานตัวกระโดดจับกิ่งหนาของต้นมะม่วงหิมพานต์ แล้วเหนี่ยวร่างเล็กๆ ของตัวเองขึ้นไปตะครุบจับเจ้าแมวซนบนนั้นจนสำเร็จได้ในพริบตา
ท่ามกลางสายตาของกิตติและนางละเมียด เอรามองดูการกระทำของเธอด้วยความทึ่งปนขำอย่างล้นพ้น
ปีกุนพาตัวเองกับลูกแมวตะกายลงมาจากต้นมะม่วงหิมพานต์ เสียงเจ้าแมวร้องแง้วๆ ตลอดเวลา เธอมองดูตาปริบๆ แสนเศร้าของมัน...
"เจ้ามะเดื่อคงกำลังอยากหาแม่" เธอรำพึงอย่างเศร้าๆ ลูบหัวเจ้าแมวน้อยด้วยความทะนุถนอม
เอราไม่ใช่คนรักสัตว์ พอเห็นหน้าจ๋องๆ ของลูกแมว อยากเลื่อนมือไปลูบหัวกลมๆ ของมัน แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าที่แท้มันเป็นตัวที่ไต่ขึ้นไปอยู่บนต้นไม้หน้าระเบียงห้องเขาเมื่อวาน ซึ่งปีกุนเป็นคนปีนขึ้นไปจับมันลงมา แล้วนี่เองสินะ คือสาเหตุที่เธอต้องกลายเป็นแม่บุญธรรมให้ลูกแมวไปโดยปริยาย
"หาพบแล้ว กาแขบเอามันไปหยบโย่ในห้องเสียตะ เกิดว่าฝ่ายบุคคลผ่านมาเห็น ได้หัวขาดแน่" ป้าละเมียดเอ่ยขึ้น แล้วก็ถือไม้กวาดที่ติดมืออยู่ตลอดเดินกลับไปทำหน้าที่แม่บ้านประจำหอพักดังเดิม
ปีกุนชะงักมือจากปุยขนนุ่มของเจ้ามะเดื่อและยืนคอหด ...ตายล่ะหว่า! ข้างๆ เธอนี่ก็มีทั้งลูกชายเจ้าของโรงแรม มีทั้งผู้ติดตาม... เอิ่ม งั้นปีกุนขอตัวก่อนดีกว่า...
หญิงสาวทำตัวหดลีบคล้ายอยากจะวาร์ปหนีหายไปกลางอากาศขณะยกมือไหว้ลาสองหนุ่มอย่างรีบๆ แล้วหันหลังขวับไปพร้อมน้องแมวในอ้อมอก เกือบจะเผ่นแน่บหนีเข้าหอพักรอดตัวไปได้แล้ว แต่ทว่าเสียงทุ้มของนายอ่ำกลับรั้งเธอเอาไว้ซะอีก
“เดี๋ยว! ลูกหมู กลับมานี่ก่อน”
คนโดนเรียกเสียวสันหลังวาบ... ตาอ่ำจะต้องเอาผิดเรื่องน้องแมวของเธอเป็นแน่แท้... ปีกุนใจเต้นระทึกตอนที่กลับหลังหันไปประจันหน้านายอ่ำและคุณช้าง
แต่แทนที่จะพบกับใบหน้าเข้มโหดหรือคำตำหนิ กลับกลายเป็นกระเป๋าผ้าลดโลกร้อนของเธอเอง ที่ไม่รู้เธอเผลอทำตกไว้ตอนไหน นายอ่ำยื่นมันมาให้โดยไม่พูดจาอะไรเลย เว้นแต่รอยยิ้มซ่อนขำที่ส่งผ่านมา พอรับกระเป๋าของตัวเองคืนมาได้ ปีกุนก็เพียงเอ่ยขอบคุณนายอ่ำอย่างสั้นๆ แล้วเดินคล้อยหลังจากมาด้วยหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ
เอรามองจนปีกุนเดินผ่านเข้าประตูกระจกของหอพักไป เขาจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นจากกระเป๋ากางเกง เลื่อนหน้าจอเปิดดูสายเรียกเข้าเลขหมายล่าสุด
มันคือเบอร์ของปีกุนซึ่งเขาอาศัยจังหวะที่เธอลนลามตามหาลูกแมวแล้วทำกระเป๋าตกพื้นหยิบโทรศัพท์ของเธอกดโทรเข้าเครื่องตัวเองอย่างละลาบละล้วงที่สุดในชีวิต
ชายหนุ่มกดบันทึกเบอร์และคาดโทษเอาไว้ด้วยชื่อ... ‘คนของนายธเนศ#1’ อย่างไม่ให้มีวันลืมว่าเธอคือผู้ต้องสงสัยหมายเลขหนึ่งที่คนสนิทของเขารายงาน
ก่อนลงมาภูเก็ต เอราได้ข้อมูลบางส่วนเกี่ยวกับคนของนายธเนศจากป้าอุ่นเรือน แม่บ้านเก่าแก่ ที่อยู่รับใช้ใกล้ชิดคนในครอบครัวของเขามาตั้งแต่ตอนเขายังเด็ก จนกระทั่งเขาต้องระเห็จไปเรียนเมืองนอก ระหกระเหินเดินทางลำพังอย่างโดดเดี่ยวอยู่หลายปี เคยกลับมาก่อนหน้านี้เพียงครั้งเดียวตอนงานศพพ่อเมื่อแปดปีก่อน
ป้าอุ่นเรือนเล่าว่าหลังจากนายธเนศแต่งงานอย่างเงียบๆ กับมารดาของเขา นายธเนศก็ย้ายตัวเองเข้ามาครอบครองสิทธิ์อยู่ในบ้าน มาคนเดียวไม่เท่าไหร่ นี่ยังกระเตงเอาสาวใช้ลูกติดมาอยู่เพิ่มภาระอีกด้วย โดยอ้างว่าอยากให้มีคนมาช่วยงานบ้าน ทำอย่างกับว่าเด็กรับใช้ที่มีอยู่เดิมนับสิบๆ ของบ้านเขาไม่มีศักยภาพมากพอ
ผ่านโปรแกรมmsn ป้าอุ่นเรือนคอยรายงานความเคลื่อนไหวของคนในบ้านให้เขารู้อยู่เสมอ
...'ชื่อนังไก่ค่ะ คนที่นายธเนศพามาอยู่ด้วย แถมมีลูกติดกระเตงมาเป็นภาระอีกสองคน คนนึงเป็นผู้หญิงเพิ่งจะขึ้นม.ปลาย ชื่อลูกหมู อีกคนเป็นเด็กผู้ชาย อายุไม่ถึง 2 ขวบ ชื่อลูกเสือ แต่ป้าไม่เชื่อหรอกนะคะว่าจะเป็นแค่คนรับใช้ อายุอานามก็ยังไม่มาก ดูเหมือนแค่สี่สิบต้นๆ ป้าว่าบางทีอาจเป็นเมียเก็บของนายธเนศนั่นล่ะค่ะ แล้วเผลอๆ นะคะ เด็กสองคนนั่นอาจเป็นลูกของนายธเนศด้วยซ้ำ'
สำหรับเอรา ไม่ว่าเด็กกาฝากนั่นจะใช่ลูกของนายธเนศหรือไม่ มันก็ไม่เกี่ยวกับเขา เพราะเขาไม่เคยเคารพนับถือนายธเนศในฐานะพ่อ อย่าว่าแต่ให้เป็นพ่อเลี้ยง แม้แต่ให้นับว่าเป็นลุง เป็นอา ก็ไม่อยากนับ!
ตลอดหลายปีที่เอราลังเลว่าควรกลับมาเมืองไทยอีกหรือไม่ ป้าอุ่นเรือนยังคอยรายงานข่าวคราวความเป็นไปของที่นี่เสมอ
นายธเนศเคยถือสิทธิ์ความเป็นสามีใหม่เจ้าของโรงแรม ลงมาบริหารงานที่รีสอร์ทของบิดาเขา แต่บุญวาสนาคงไม่ถึง ทำให้เกิดปัญหาขึ้นเยอะแยะมากมาย พนักงานก่อม็อบ สไตรค์ หยุดงานประท้วง ไล่ออกก็ไม่ได้เพราะเป็นข้อกำหนดที่ถูกระบุเอาไว้ในสัญญา ซึ่งบิดาของเขาลงนามก่อนยกทรัพย์สินทั้งหมดที่ภูเก็ตให้เป็นชื่อของเขา ในฐานะบุตรชายเพียงคนเดียว
จนหลายเดือนที่ผ่านมา เขาถูกแม่ยื่นคำขาดให้ลงมาดูแลกิจการรีสอร์ท 'ถ้าอยากให้สมบัติพ่อแกย่อยยับไม่เหลือซาก แกก็อยู่ที่นั่นต่อไปเถอะ ไม่ต้องกลับมาหรอกเมืองทงเมืองไทย ไอ้สอร์ทนั่นฉันก็ไม่อยากเข้าไปยุ่งอยู่แล้ว ยุ่งทีไรมีแต่เรื่องให้ปวดหัว ปล่อยให้มันเจ๊งๆ ไปซักที จะได้สิ้นเรื่องสิ้นราว!'
เพราะคำปรามาสสาปแช่งของแม่ในวันนี้ ทำให้ในที่สุดเอราตัดสินใจกลับมาเมืองไทยอีกครั้งในวัยยี่สิบแปด กลับมาครั้งนี้ไม่ใช่แค่เพื่อสานต่อกิจการของบิดา แต่กลับมาเพื่อชำระความเคลือบแคลงในตัวนายธเนศกับพวกพ้องของมัน
ความอยากสืบหาความจริงว่านายธเนศคิดจะทำอะไร เอราขอรายละเอียดเกี่ยวกับพื้นหลังทั้งหมดของนายธเนศที่ป้าอุ่นเรือนรู้มาแบบเต็มพิกัด รวมทั้งขอรูปถ่ายปัจจุบันของพวกกาฝากทั้งสามของนายธเนศ โหลดลงโทรศัพท์มือถือเก็บติดตัวไว้
ก่อนเดินทางลงมาที่นี่ ป้าอุ่นเรือนยังไม่วายเตือนเขาให้ระวังตัว
'ถ้าลงไปแล้ว คุณช้างก็อย่าเพิ่งไว้ใจใครที่นั่นนะคะ ถึงจะเป็นคนเก่าคนแก่ หรือแม้แต่ยายเด็กกาฝากนั่น... เว้นเสียก็แต่คนที่ชื่อ ...
ซ่อมให้ไหม? หัวใจ Boss is trouble - 9
โปรแกรมสุดท้ายหลังจากถวายสังฆทาน รับพรจากท่านพระครู เจ้าอาวาสวัด และได้รับการประพรมน้ำมนต์จนอิ่มเอมใจถ้วนหน้าแล้ว ปีกุนขอแวะมาให้อาหารนกปลาบริเวณศาลาท่าน้ำ ซึ่งมีอาหารนกปลาจัดวางอยู่ข้างตู้บริจาค เธอล้วงเศษเหรียญจากกระเป๋าใส่ลงในตู้ ขณะเดียวกัน แขนยาวๆ ของนายอ่ำยื่นมาพร้อมธนบัตรสีแดงสองใบหย่อนตามเหรียญสิบบาทของเธอลงไปในตู้
นายอ่ำยิ้ม บอกกับเธอว่า "ทำบุญร่วมชาติตักบาตรร่วมขัน" แล้วเขาก็ฉวยเอาอาหารนกปลาจากตะกร้าขึ้นยื่นให้เธอและคุณช้างกันคนละซอง
หญิงสาวฉีกซองอาหารไป อมยิ้มแก้มปริไป ใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นโดยไม่รู้สาเหตุ
ตรงศาลาริมน้ำของวัดมีอาณาบริเวณกว้างขวาง สายลมยามสายพัดเรียบเรื่อย อากาศเย็นสบาย ปีกุนหว่านเมล็ดถั่วงาลงพื้น เธอยิ้มอย่างร่าเริงใจให้กับนกพิราบและบรรดานกเล็กๆ ที่บินกรูกันเข้ามาจิกกิน
เอราแปลกใจตัวเองไม่รู้เป็นครั้งที่เท่าไหร่ กับการเผลอมองดูพฤติกรรมของสาวร่างเล็กแล้วอมยิ้มไม่รู้ตัว ซึ่งกว่าจะรู้ตัวอีกทีมือของเขาที่กำลังล้วงหยิบอาหารปลาออกจากซองก็พบว่าหมดเกลี้ยงไปซะแล้ว
กิตติหันมาถามว่าจะให้ไปหยิบอาหารปลามาเพิมไหม แต่เมื่อเอราเหลือบดูนาฬิกาแล้วก็ส่ายหน้าปฏิเสธ
"ไม่ล่ะ กลับกันเถอะ เรายังมีภารกิจต้องทำ" เขาบอก และกิตติก็ทำหน้าม่อย เช่นเดียวกันกับความรู้สึกของเขาเองที่ไม่อยากให้เวลาสบายๆ แบบนี้เคลื่อนคล้อยไปเลยสักนาที
หญิงสาวขับรถกลับมายังหอพักพนักงานในเวลาใกล้เที่ยง การเดินทางขนาดย่อมสิ้นสุดลงอย่างเป็นสุข เรียกว่าถึงเวลาถอดมงกุฎกับสายสะพายบอกลาตำแหน่งไกด์ผีและสารถีเฉพาะกิจอย่างเป็นทางการสักที เธอจึงส่งกุญแจรถคืนถึงมือนายอ่ำ
“ขอบคุณอีกครั้งนะลูกหมู” นายอ่ำเอ่ย ริมฝีปากหนาเข้มเป็นเส้นตรงกับแววตาดุตลอดเวลาของเขามลายหายไปหมดสิ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ปีกุนไม่ทันสังเกต หากเพราะบัดนี้เหลือไว้เพียงเรียวปากแย้มยิ้มกับแววตาเป็นมิตรที่ทอดทอมาให้กับเธออย่างเปล่งประกาย
“อือ” คนโดนขอบคุณยิ้มตอบ
“นี่ค่าแรง” ชายหนุ่มบอก ในมือมีธนบัตรราคาหนึ่งพันจำนวนไม่น้อยยื่นมาให้
“รับสิ” เขาบอกสั้นๆ อย่างกับไม่รู้ว่าควรจะอธิบายเหตุผลของมันว่ายังไงให้ไม่เหมือนดูถูกน้ำใจเธอ
แต่ปีกุนส่ายหน้าปฏิเสธ ก่อนจะฉีกยิ้มตาหยี “ไม่เป็นไรค่ะ”
“รับเงินนั่นเอาไว้เถอะจ้ะลูกหมู ถือเป็นการชดเชยที่ฉันเบียดเบียนวันหยุดพักผ่อนของเธอก็แล้วกัน” คุณช้างแทรกขึ้นเป็นการสำทับ แว่วเสียงดูอารมณ์ดี แถมยังเลื่อนมือมาตบไหล่เธออย่างกับคนคุ้นเคย “เอาน่า รับๆ ไว้ อย่าให้ฉันต้องกลายเป็นผู้ใหญ่ขี้เอาเปรียบ ที่ชอบใช้แรงงานเด็กฟรีๆ เลยนะ”
พูดขอร้องกันมาขนาดนี้ ปีกุนจึงไม่ลีลานานนัก ยอมรับเงินจำนวนนั้นมาด้วยรอยยิ้มบานฉ่ำ รับมาแล้วก็อดไม่ได้ที่จะแอบกะน้ำหนัก คะเนจำนวนเงินเงียบๆ ในใจได้ว่ามันจะต้องไม่ต่ำกว่าห้าพันบาท... ซึ่งมากเกินกว่าค่าแรงเฉลี่ยในหนึ่งสัปดาห์ของเธอเสียอีก!
เธอยกมือไหว้ขอบคุณเจ้านายผู้ใจดีด้วยความซาบซึ้งตรึงใจ แต่ไม่ทันไร รอยยิ้มบานแฉ่งของเธอกลับต้องแปรเปลี่ยน เมื่อเสียงกระหืดกระหอบของป้าวัยกลางคนในชุดเสื้อผ้าลายดอกแดงพร้อยวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาหา
“ลูกหมูเว้ย!” เสียงดังฟังชัดแบบฉบับคนคอนของป้าละเมียดทำเอาคิ้วเรียวเข้มของปีกุนขมวดนิ่ว มองการวิ่งปนหอบเข้ามาของป้าแกอย่างฉงนสนเท่ห์
“มีอะไรเหรอจ๊ะป้า”
“ก็ไอ้แมวตัวนุ้ยที่ลูกหมูขวากไว้กับป้าฮั้นแหละ ตอนนี้มันสูญไปไหนแล้วกาหม้ายโร้”
“ห๊ะ! เจ้ามะเดื่อนะเหรอหายไป”
“จ้ะ” ป้าละเมียดพยักคอ สีหน้าไม่ค่อยดี “ป้ากวาดหย้ากโย่ในห้องแลโทรทัศน์ฮั้นแหละ เห็นหลังมันไวๆ แล่นจับดิกโย่กับเกือกฟองน้ำแรกแต่เดียวนิ ตอนแรกก็นึกว่ามันไปลักหยบโย่แค่ไหน แต่กาลองหาแลจนทั่วแล้ว หาไม่พบ ป้าห่วงว่ามันอิแล่นซน ออกไปนอกหนนใหญ่ หรือว่าอิโถ้กรถชน ตายโหงโก้งขวิดไปเสียแล้วกาหม้ายโร้ รถราเดี๋ยวนี้กามากแรง ทั้งสิบล้อ ยี่สิบล้อ บีบแตรลั่นดังจังหูทั้งวันนิ!”
ป้าละเมียดยังคงบ่นกะปอดกะแปดของแกจนออกทะเลไกลไปเรื่อย ลูกหมูไม่รอฟัง ปราดวิ่งแบบไม่คิดชีวิตออกไปหน้าถนน หัวใจสั่นสะท้านด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง... เจ้ามะเดื่อที่เพิ่งรู้จักกันเพียงไม่นาน จะต้องมาตายจากกันไปซะแล้วหรือนี่ ขออย่าให้เป็นอย่างนั้นเลยนะ ขอร้องเถอะ
หญิงสาวยืนนิ่งตรงริมถนนใหญ่สองเลนสายยาว รถหลากชนิดแล่นสวนกันขวักไขว่ เธอพยายามกวาดสายตามองจนทั่วก็ไม่พบเจ้ามะเดื่อ หัวใจเธอสะท้านหวิว ความเป็นห่วงที่มีต่อลูกแมวน้อยทับทวีขึ้นทุกขณะ
ห้านาทีให้หลัง นายอ่ำวิ่งออกมาตาม เพื่อจะเอ่ยบอกอะไรบางอย่าง แต่ด้วยความที่เขามัวแต่กระหืดกระหอบเพราะวิ่งมาไกล ทำให้ไม่ทันจะเอ่ย ปีกุนก็คิดเองเออเอง น้ำตาไหลออกมาเองแบบไม่รู้ตัว
"คุณเจอศพเจ้ามะเดื่อแล้วงั้นเหรอ" หญิงสาวเอ่ยถามเสียงสั่น
ชายหนุ่มสะบัดศีรษะ "เปล่า ที่วิ่งมานี่ผมจะบอกคุณว่าลูกแมวน่ะ ตอนนี้มันกำลังเดินเล่นสบายใจอยู่บนต้นไม้หน้าหอพักของคุณนั่นแหละ" แล้วเขาก็ยิ้มถอนใจพรืดออกมาเมื่อเห็นน้ำตาหยาดเล็กๆ บนแก้มเธอ... เห็นห้าวๆ อย่างกับเด็กทอมบอย ความจริงก็อ่อนไหวกะเขาเป็นเหมือนกันนะเนี่ย
คนขี้แยรีบปาดน้ำตาทิ้งซ่อนอาการอ่อนไหวอย่างทันควัน
ปีกุนโกรธตัวเองจนแทบอยากเอาหัวมุดฝาท่อระบายน้ำหลบหน้าไปให้พ้นๆ ค่าที่เผลอแสดงความอ่อนแอให้โลกเห็น
ปกติหัวใจเธอแข็งแกร่งไม่เคยอ่อนแอ แม่สอนเสมอให้เข้มแข็ง เพราะเมื่อใดที่ใจอ่อนแอ ร่างกายจะอ่อนแอยิ่งกว่า เป็นการซ้ำเติมให้แย่ลงไปอีกเท่าตัว
หญิงสาวกลบเกลื่อนอาการเสียเชิง ด้วยการรีบก้าวฉับๆ กลับมาที่หน้าหอพัก เห็นเจ้ามะเดื่อตัวดีกำลังปีนป่ายกิ่งมะม่วงหิมพานต์ซึ่งกำลังออกผลสีส้มอมแดงสุกปลั่ง
"ฮึ่ม! ไอ้มะเดื่อ ซนได้ขนาดนี้ เดี๋ยวเหอะ แม่จะเอาลูกมะม่วงยัดปากให้กินเป็นมื้อเที่ยง" คนขี้โมโหยืนเท้าเอวด่าใส่แมวอยู่ใต้ต้นมะม่วงอย่างโกรธๆ แววตาสั่นไหวด้วยความหวั่นสะพรึงบัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นความดีใจล้นพ้นที่เห็นแมวของตัวเองยังปกติสุข
และถึงปากจะบ่นขู่ใส่แมวไปแบบนั้น แต่หญิงสาวก็แสดงให้ประจักษ์แก่สายตาทุกคนว่าความปากไม่ตรงกับใจของเธอนั้นมีอยู่ท่วมท้นแค่ไหนด้วยการทะยานตัวกระโดดจับกิ่งหนาของต้นมะม่วงหิมพานต์ แล้วเหนี่ยวร่างเล็กๆ ของตัวเองขึ้นไปตะครุบจับเจ้าแมวซนบนนั้นจนสำเร็จได้ในพริบตา
ท่ามกลางสายตาของกิตติและนางละเมียด เอรามองดูการกระทำของเธอด้วยความทึ่งปนขำอย่างล้นพ้น
ปีกุนพาตัวเองกับลูกแมวตะกายลงมาจากต้นมะม่วงหิมพานต์ เสียงเจ้าแมวร้องแง้วๆ ตลอดเวลา เธอมองดูตาปริบๆ แสนเศร้าของมัน...
"เจ้ามะเดื่อคงกำลังอยากหาแม่" เธอรำพึงอย่างเศร้าๆ ลูบหัวเจ้าแมวน้อยด้วยความทะนุถนอม
เอราไม่ใช่คนรักสัตว์ พอเห็นหน้าจ๋องๆ ของลูกแมว อยากเลื่อนมือไปลูบหัวกลมๆ ของมัน แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าที่แท้มันเป็นตัวที่ไต่ขึ้นไปอยู่บนต้นไม้หน้าระเบียงห้องเขาเมื่อวาน ซึ่งปีกุนเป็นคนปีนขึ้นไปจับมันลงมา แล้วนี่เองสินะ คือสาเหตุที่เธอต้องกลายเป็นแม่บุญธรรมให้ลูกแมวไปโดยปริยาย
"หาพบแล้ว กาแขบเอามันไปหยบโย่ในห้องเสียตะ เกิดว่าฝ่ายบุคคลผ่านมาเห็น ได้หัวขาดแน่" ป้าละเมียดเอ่ยขึ้น แล้วก็ถือไม้กวาดที่ติดมืออยู่ตลอดเดินกลับไปทำหน้าที่แม่บ้านประจำหอพักดังเดิม
ปีกุนชะงักมือจากปุยขนนุ่มของเจ้ามะเดื่อและยืนคอหด ...ตายล่ะหว่า! ข้างๆ เธอนี่ก็มีทั้งลูกชายเจ้าของโรงแรม มีทั้งผู้ติดตาม... เอิ่ม งั้นปีกุนขอตัวก่อนดีกว่า...
หญิงสาวทำตัวหดลีบคล้ายอยากจะวาร์ปหนีหายไปกลางอากาศขณะยกมือไหว้ลาสองหนุ่มอย่างรีบๆ แล้วหันหลังขวับไปพร้อมน้องแมวในอ้อมอก เกือบจะเผ่นแน่บหนีเข้าหอพักรอดตัวไปได้แล้ว แต่ทว่าเสียงทุ้มของนายอ่ำกลับรั้งเธอเอาไว้ซะอีก
“เดี๋ยว! ลูกหมู กลับมานี่ก่อน”
คนโดนเรียกเสียวสันหลังวาบ... ตาอ่ำจะต้องเอาผิดเรื่องน้องแมวของเธอเป็นแน่แท้... ปีกุนใจเต้นระทึกตอนที่กลับหลังหันไปประจันหน้านายอ่ำและคุณช้าง
แต่แทนที่จะพบกับใบหน้าเข้มโหดหรือคำตำหนิ กลับกลายเป็นกระเป๋าผ้าลดโลกร้อนของเธอเอง ที่ไม่รู้เธอเผลอทำตกไว้ตอนไหน นายอ่ำยื่นมันมาให้โดยไม่พูดจาอะไรเลย เว้นแต่รอยยิ้มซ่อนขำที่ส่งผ่านมา พอรับกระเป๋าของตัวเองคืนมาได้ ปีกุนก็เพียงเอ่ยขอบคุณนายอ่ำอย่างสั้นๆ แล้วเดินคล้อยหลังจากมาด้วยหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ
เอรามองจนปีกุนเดินผ่านเข้าประตูกระจกของหอพักไป เขาจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นจากกระเป๋ากางเกง เลื่อนหน้าจอเปิดดูสายเรียกเข้าเลขหมายล่าสุด
มันคือเบอร์ของปีกุนซึ่งเขาอาศัยจังหวะที่เธอลนลามตามหาลูกแมวแล้วทำกระเป๋าตกพื้นหยิบโทรศัพท์ของเธอกดโทรเข้าเครื่องตัวเองอย่างละลาบละล้วงที่สุดในชีวิต
ชายหนุ่มกดบันทึกเบอร์และคาดโทษเอาไว้ด้วยชื่อ... ‘คนของนายธเนศ#1’ อย่างไม่ให้มีวันลืมว่าเธอคือผู้ต้องสงสัยหมายเลขหนึ่งที่คนสนิทของเขารายงาน
ก่อนลงมาภูเก็ต เอราได้ข้อมูลบางส่วนเกี่ยวกับคนของนายธเนศจากป้าอุ่นเรือน แม่บ้านเก่าแก่ ที่อยู่รับใช้ใกล้ชิดคนในครอบครัวของเขามาตั้งแต่ตอนเขายังเด็ก จนกระทั่งเขาต้องระเห็จไปเรียนเมืองนอก ระหกระเหินเดินทางลำพังอย่างโดดเดี่ยวอยู่หลายปี เคยกลับมาก่อนหน้านี้เพียงครั้งเดียวตอนงานศพพ่อเมื่อแปดปีก่อน
ป้าอุ่นเรือนเล่าว่าหลังจากนายธเนศแต่งงานอย่างเงียบๆ กับมารดาของเขา นายธเนศก็ย้ายตัวเองเข้ามาครอบครองสิทธิ์อยู่ในบ้าน มาคนเดียวไม่เท่าไหร่ นี่ยังกระเตงเอาสาวใช้ลูกติดมาอยู่เพิ่มภาระอีกด้วย โดยอ้างว่าอยากให้มีคนมาช่วยงานบ้าน ทำอย่างกับว่าเด็กรับใช้ที่มีอยู่เดิมนับสิบๆ ของบ้านเขาไม่มีศักยภาพมากพอ
ผ่านโปรแกรมmsn ป้าอุ่นเรือนคอยรายงานความเคลื่อนไหวของคนในบ้านให้เขารู้อยู่เสมอ
...'ชื่อนังไก่ค่ะ คนที่นายธเนศพามาอยู่ด้วย แถมมีลูกติดกระเตงมาเป็นภาระอีกสองคน คนนึงเป็นผู้หญิงเพิ่งจะขึ้นม.ปลาย ชื่อลูกหมู อีกคนเป็นเด็กผู้ชาย อายุไม่ถึง 2 ขวบ ชื่อลูกเสือ แต่ป้าไม่เชื่อหรอกนะคะว่าจะเป็นแค่คนรับใช้ อายุอานามก็ยังไม่มาก ดูเหมือนแค่สี่สิบต้นๆ ป้าว่าบางทีอาจเป็นเมียเก็บของนายธเนศนั่นล่ะค่ะ แล้วเผลอๆ นะคะ เด็กสองคนนั่นอาจเป็นลูกของนายธเนศด้วยซ้ำ'
สำหรับเอรา ไม่ว่าเด็กกาฝากนั่นจะใช่ลูกของนายธเนศหรือไม่ มันก็ไม่เกี่ยวกับเขา เพราะเขาไม่เคยเคารพนับถือนายธเนศในฐานะพ่อ อย่าว่าแต่ให้เป็นพ่อเลี้ยง แม้แต่ให้นับว่าเป็นลุง เป็นอา ก็ไม่อยากนับ!
ตลอดหลายปีที่เอราลังเลว่าควรกลับมาเมืองไทยอีกหรือไม่ ป้าอุ่นเรือนยังคอยรายงานข่าวคราวความเป็นไปของที่นี่เสมอ
นายธเนศเคยถือสิทธิ์ความเป็นสามีใหม่เจ้าของโรงแรม ลงมาบริหารงานที่รีสอร์ทของบิดาเขา แต่บุญวาสนาคงไม่ถึง ทำให้เกิดปัญหาขึ้นเยอะแยะมากมาย พนักงานก่อม็อบ สไตรค์ หยุดงานประท้วง ไล่ออกก็ไม่ได้เพราะเป็นข้อกำหนดที่ถูกระบุเอาไว้ในสัญญา ซึ่งบิดาของเขาลงนามก่อนยกทรัพย์สินทั้งหมดที่ภูเก็ตให้เป็นชื่อของเขา ในฐานะบุตรชายเพียงคนเดียว
จนหลายเดือนที่ผ่านมา เขาถูกแม่ยื่นคำขาดให้ลงมาดูแลกิจการรีสอร์ท 'ถ้าอยากให้สมบัติพ่อแกย่อยยับไม่เหลือซาก แกก็อยู่ที่นั่นต่อไปเถอะ ไม่ต้องกลับมาหรอกเมืองทงเมืองไทย ไอ้สอร์ทนั่นฉันก็ไม่อยากเข้าไปยุ่งอยู่แล้ว ยุ่งทีไรมีแต่เรื่องให้ปวดหัว ปล่อยให้มันเจ๊งๆ ไปซักที จะได้สิ้นเรื่องสิ้นราว!'
เพราะคำปรามาสสาปแช่งของแม่ในวันนี้ ทำให้ในที่สุดเอราตัดสินใจกลับมาเมืองไทยอีกครั้งในวัยยี่สิบแปด กลับมาครั้งนี้ไม่ใช่แค่เพื่อสานต่อกิจการของบิดา แต่กลับมาเพื่อชำระความเคลือบแคลงในตัวนายธเนศกับพวกพ้องของมัน
ความอยากสืบหาความจริงว่านายธเนศคิดจะทำอะไร เอราขอรายละเอียดเกี่ยวกับพื้นหลังทั้งหมดของนายธเนศที่ป้าอุ่นเรือนรู้มาแบบเต็มพิกัด รวมทั้งขอรูปถ่ายปัจจุบันของพวกกาฝากทั้งสามของนายธเนศ โหลดลงโทรศัพท์มือถือเก็บติดตัวไว้
ก่อนเดินทางลงมาที่นี่ ป้าอุ่นเรือนยังไม่วายเตือนเขาให้ระวังตัว 'ถ้าลงไปแล้ว คุณช้างก็อย่าเพิ่งไว้ใจใครที่นั่นนะคะ ถึงจะเป็นคนเก่าคนแก่ หรือแม้แต่ยายเด็กกาฝากนั่น... เว้นเสียก็แต่คนที่ชื่อ ...