ซ่อมให้ไหม? หัวใจ Boss is trouble - 7

ความเดิมตอนที่แล้ว >>> https://ppantip.com/topic/37699415




สารถีภาคบังคับยังคงทำหน้าที่ของตัวเองต่อไปอย่างเหลืออด คำถามสารพัดสารเพยังคงพรั่งพรูออกมาจากปากคนช่างซัก เป็นต้นว่า พนักงานที่นี่มีกันกี่คน มีแผนกอะไรกันบ้าง ส่วนใหญ่เป็นคนที่ไหน



ที่นี่นะหรือ… ก็มีแผนกช่าง แผนกแม่บ้าน อาหารและเครื่องดื่ม ฟร้อนท์ ทรานสปอร์ต คนสวน รปภ. อะไรอีกล่ะ? นี่เธอไม่ได้อยู่ฝ่ายทรัพยากรบุคคลสักหน่อยนะ! แต่เอาเถอะ รวมๆ แล้วน่าจะเกือบ 80 ชีวิต



พนักงานก็เป็นคนใต้ซะส่วนใหญ่... ใหญ่ขนาดไหนนะหรือ ก็เกินครึ่งที่เป็นคนภูเก็ต พังงา กระบี่ ตรัง สุราษฎร์ฯ พัทลุง นครศรีฯ ยะลา ปัตตานี คนภาคอื่นมีบ้างประปราย หนึ่งในนั้นก็เธอนี่ไง



ปีกุนตอบทุกสิ่งที่นายอ่ำอยากรู้ด้วยดี ถามมาตอบไป ไม่มีอะไรต้องปกปิด ซึ่งก็ดูเหมือนว่านายอ่ำ กับคุณช้างไม่ได้ข้องใจคำตอบเธอ  



สถานภาพความเป็นลูกไล่ให้นายอ่ำเหมือนจะทุเลาลง เมื่อเธอพารถมาจอดยังร้านลูกหมี เป็นร้านข้าวแกงริมทางที่ใหญ่ที่สุดในละแวกนี้ ด้วยความที่มีเมนูข้าวแกงพื้นบ้านปักษ์ใต้ให้เลือกหลากหลายเกินกว่า100 รายการ



ชาวไทย ชาวจีน เกาหลี ญี่ปุ่น หรือแม้ฝรั่งตาน้ำข้าว ยังแวะเวียนมาลองลิ้มชิมรส ด้วยความที่อาหารอร่อย ไม่ถึงกับจัดจ้านจนกินแล้วเผ็ดปากปลิ้นลิ้นห้อย



การจัดร้านก็สวยสบายตา เป็นแนวเซาเทอร์น-ลอฟท์ อันนี้ปีกุนตั้งให้เอง เพราะไม่ว่าจะพื้น ฝ้า ผนัง ล้วนเป็นปูนดิบ ไม่ขัดมัน โต๊ะเก้าอี้ ทำด้วยไม้ยางพารา ไม่เคลือบแล็คเกอร์หรือทาสีอะไรทั้งนั้น บางทีเจอความชื้นยามหน้าฝนเข้าไป มีดอกเห็ดงอกขึ้นตามข้อต่อขาโต๊ะ ดูเป็นเอกลักษณ์ ลูกค้าต่างชาติบางคนนอกจากจะไม่รังเกียจบรรดาเห็ดราแล้ว ยังหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายเซลฟี่กับดอกเห็ดเบิกบานสำราญกันไป



ส่วนราคาอาหารก็แสนจะสบายกระเป๋า ข้าวเปล่าจานละ 10 บาท ราดแกงเพิ่มเงินแกงละ 10 บาท มีน้ำพริกกะปิกับผักเคียงให้ฟรีๆ น้ำแข็งเปล่าก็ฟรี หยิบตักกันเอาเองตามใจชอบ



ชาวบ้านตาดำๆ หรือพวกหาเช้ากินค่ำหลายคน สั่งแค่ข้าวเปล่า 10 บาท ตักน้ำพริกกะปิกับผักสดพูนจานฟรีไม่อั้นก็อิ่มท้อง เจ้าของร้านไม่ด่าไม่ว่าไม่เขม่น อย่างที่เคยบอก คนปักษ์ใต้ใจดี



แรงงานต่างด้าวประแป้งทานาคาสีเหลืองผุดผ่องยิ้มแป้น  ในมือมีข้าวเปล่ากันคนละจาน ยืนเรียงรายรอรับออเดอร์ลูกค้าอยู่หลังตู้กระจก  



การก้าวเข้าไปในร้านของหญิงสาวในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนธรรมดา  ชายหนุ่มร่างสูงสง่าในชุดลำลองเรียบง่าย และชายหน้าตี๋ร่างสันทัดในชุดเสื้อชมพูกางเกงเขียวที่ดูเหมือนซาหริ่ม จะไม่ดูเป็นจุดสนใจเท่าไหร่เลย ถ้าหากไม่ใช่เพราะเสียงทักทายโหวกเหวกสำเนียงท้องถิ่นขนานแท้ที่ถูกตะโกนข้ามมาจากโต๊ะด้านในของร้าน



“เอิ้ว! ลูกหมู มาทำไหร”



ปีกุนเหลียวขวับไปตามเสียง เห็นพี่เขียวกำลังยิ้มแฉ่งโบกไม้โบกมือ ร่างโย่งๆ ยืดตัวลุกขึ้น



“นั่งนิ ๆ” เขียวกวักเรียกด้วยความยินดีปรีดา



“พันพรื๋อมาแต่หัวเช้า แล้วนั่นมากับใคร แควนฮื้อ?” ส่งสายตาชี้เป้าคำถามไปยังชายร่างสูง เพราะคนร่างสันทัดที่แต่งตัวอย่างกับศาลพระภูมิเดินได้คงไม่ใช่สเปกของน้องสาวร่วมแผนก



ปีกุนตอนนี้เหมือนอีกาบินผ่านมีจุดสามจุดกับเครื่องหมายเหงื่อตกอยู่บนหัว โล่งอกที่พอเหลียวหลังไปเห็นว่านายอ่ำกับคุณช้างกำลังหยุดยืนให้ความสนใจกับถาดอาหารตระการตา



สองวินาทีหลังจากชะงักคำทักทายชวนขนหัวลุกนั้น เธอก็รีบถลาตัวไปตีแขนพี่เขียวเบาๆ



“แฟนเฟินที่ไหนกันล่ะพี่ นั่นคุณช้าง ลูกชายเจ้าของโรงแรมไงเล่า”



“ห้า! คนสูงๆ หล่อๆ นิ?”



“ไม่ใช่ๆ คุณช้างน่ะคนกางเกงเขียว ส่วนที่พี่ว่าหล่อนั่น 'ผู้ติดตาม' ”



“คุณช้าง! ลูกบ่าวคุณวรรณณ์ฮั่นนะ แล้วไซร๋โย่พันนั้น?” เขียวทำหน้าเหยเก มองคนที่ลูกหมูยืนยันว่าคือคุณช้างที่กำลังเลือกรายการอาหารอยู่หน้าร้านแบบอึ้งทึ่งเสียว



"อ้าว แล้วพี่เขียวไม่เคยเห็นหน้าตาคุณช้างเหรอคะเนี่ย ไหนว่าทำงานที่นี่มาตั้งแต่เรียนจบ" ปีกุนถามอย่างคาดหวัง ซึ่งตอนนี้พี่แกก็อายุเลยวัยเรียนจบมานับยี่สิบปี แสดงว่าเป็นพนักงานรุ่นบุกเบิกอย่างแน่แท้ ปีกุนอุตส่าห์เคยคิดเผื่อว่าจะพึ่งพาอะไรพี่แกได้ยามคับขัน



แต่พี่เขียวส่ายหัว หน้านิ่วคิ้วผูกโบ



"เคยเห็นโย่ในรูปที่แกถ่ายคู่กับคุณวรรณณ์ลงปกโบรชัวร์โรงแรมสิบกว่าปีมาแล้ว แต่ไซร๋หน้าตาถึงเปลี่ยนไปมากพันนี้หวา" เขียวบ่นรำพึง



สองหนุ่มผู้ตกอยู่ในหัวข้อสนทนาพอเลือกแกงได้ก็พากันเดินเข้ามาด้านใน เช้าๆ แบบนี้ลูกค้าแน่นร้าน โต๊ะทำเลดี ดันไม่ว่าง ที่ว่างก็ทำเลไม่ดี อยู่มุมลึกติดกับทางไปห้องน้ำ



สายตาคมกริบของชายหนุ่มร่างสูงในชุดลำลองสะอาดสะอ้านกวาดมองไปทั่วร้าน กระทั่งไปหยุดจอดอยู่ตรงหญิงสาวร่างเล็กผู้เป็นดั่งมัคคุเทศก์เฉพาะกิจให้เขาในวันนี้ ซึ่งกำลังยืนสนทนาอยู่กับชายร่างโย่งผิวพรรณคมคาย



เขียวเห็นคนที่ได้ชื่อว่าเป็นลูกชายเจ้าของโรงแรมเดินเข้ามา ท่าจะไม่ดี เพราะไม่อยากสุงสิง จึงรีบบอกเอ่ยขอตัวกลับ แต่ปีกุนตะครุบแขนเขาเอาไว้ได้เหนียวหนึบอย่างกับเป็นมือกาว



"จะรีบไปไหนล่ะพี่เขียว อยู่เป็นเพื่อนกันก่อน" หญิงสาวบอกแววตาขู่เข็ญ



เขียวส่ายหัวดิก "ไม่เอา ขลาด ปล่อยพี่ พี่อิแขบหลบไปทำการ"  



"งานอะไร วันนี้พี่เขียวเข้ากะดึก อย่ามาขี้เท็จ" ถูไถพูดภาษาถิ่นเผื่อจะดูน่าเห็นใจ "น่า... อยู่เป็นเพื่อนน้องหน่อยน่าพี่บ่าวสุดหล่อ"



"ฮื้อ ไม่เอา" ลูกอ้อนของเธอไม่ได้ผล เขียวส่ายหัวรัวๆ "ปล่อยพี่ พี่อิแขบหลบไปแลวัวชน"



เขียวทำหน้าบิดเบี้ยว เอามุกวัวชนมาอ้าง เพราะกลัวว่าอยู่ต่อแล้วจะทำตัวไม่ถูก



แต่ยัยน้องสาวตัวแสบกลับรู้ทัน



"วันนี้วันพระ ไม่มีวัวชน อย่ามาขี้เท็จ!" เธอฉุดมือของพี่เขียวกลับมา



ยื้อยุดฉุดกระชากกันได้เพียงครู่เดียว ชายร่างสันทัดในชุดศาลพระภูมิเคลื่อนที่ที่เขียวหวาดกลัวนักหนาก็เดินมาถึง ยิ่งพอเหลือบเห็นสายตาขรึมดุของ 'ผู้ติดตาม' แล้วเขียวก็ยิ่งขนหัวลุก แต่ก็กัดฟันส่งยิ้มจนตาหยี สะกดกลั้นความหวาดกลัว



"หวัดดีครับ" เสียงสากห้วนตามประสาคนลิ้นแข็งของเขียวถูกเอ่ยออกมาแบบสั่นๆ "ผมชื่อเขียวครับ"



กิตติในรอยเงาของคุณช้าง พอเห็นร่างโย่งของหนุ่มใต้ใบหน้าคมสันค้อมตัวลงพร้อมกับมือหยาบหนาอย่างคนใช้แรงงาน ที่กระพุ่มขึ้นไหว้อย่างนอบน้อม ก็ให้บังเกิดความรู้สึกเอ็นดูฟูฟ่องขึ้นภายในใจอย่างบอกไม่ถูก



"สวัสดีจ้ะ" รับไหว้รวดเร็วอย่างไม่ต้องคิด  



แววตากลมโปนใสซื่อของฝ่ายตรงข้ามเกือบทำหัวใจของกิตติพลัดตกลงไปในห้วงภวังค์ แต่แล้วเสียงไอแค่กๆ ของเอราก็แทรกเข้ามาขัดจังหวะ



"เราจะนั่งโต๊ะไหนกันดีครับ" เอราถามขึ้นอย่างลอยๆ แต่สายตาเขามองเจาะจงไปยังโต๊ะที่เพื่อนชายของปีกุนยืนอยู่ ซึ่งช่างพอดิบพอดีมีเก้าอี้สี่ตัว แถมทำเลสวย อยู่ติดกระถางบอนไซและน้ำตกเทียม



ปีกุนชำเลืองเห็นวิถีสายตาของนายอ่ำที่เล็งมายังโต๊ะของพี่เขียว ซึ่งถ้าจะมองกันขนาดนี้ ก็นั่งมันซะโต๊ะนี้เถอะค่ะคุณอ่ำ



“นั่งด้วยกันโต๊ะนี้ก็ได้นะครับ ถ้าไม่รังเกียจกระผม” พี่เขียวเอ่ยบอกอย่างไพเราะเพราะพริ้ง แถมยังลงทุนเลื่อนเก้าอี้ว่างข้างๆ ให้คุณช้างแบบสุภาพบุรุษ แต่คุณช้างก็ไม่ใช่สุภาพสตรีสักหน่อยนะ



ทุกคนลงหลักปักฐานกันเรียบร้อย พอดีกับที่พนักงานนำข้าวราดแกงของแต่ละคนมาเสิร์ฟ เขียวอาสาลุกขึ้นเดินไปหยิบน้ำฟรีใส่ถาดยกมาบริการ กิตติเผลอหลุดฟอร์มเลิกเก๊กขรึมไปอย่างลืมตัว ยิ้มปลื้มปริ่มปากเกือบกว้างไปจรดติ่งหูตอนที่ตัวเองยื่นมือไปรับแก้วน้ำดื่มมาจากเขียวแล้วบังเอิญสัมผัสโดนมือกร้านหยาบแต่อบอุ่นนั้น เขียวไม่มีท่าทีอะไร ขณะที่กิตติวิญญาญหลุดออกจากร่างไปกองรวมอยู่กับหัวใจตรงหน้าตักของเขียวเป็นที่เรียบร้อย  



ปีกุนเป็นคนเดียวที่ยังไม่ได้เลือกกับข้าว เธอจึงลุกขึ้นเดินไปเลือกกับข้าวสองอย่าง เป็นของจืดกับแกงเผ็ด ตอนเดินกลับมาที่โต๊ะเพิ่งสังเกตเห็นข้าวราดแกงในจานของนายอ่ำ มันคือแกงส้มปลาหน่อไม้ดองกับผัดผักบุ้ง



ให้ตายสิ! มันเป็นรายการบนจานที่เธอถือมาหน้าตาเดียวกันเป๊ะ ซึ่งถ้าหมอนั่นเห็นเข้า เขาต้องแอบขำที่เธอคิดรายการอาหารเองไม่เป็นถึงกับต้องเลียนแบบเขา เธอเลยเดินกลับไป สั่งหมูพะโล้ ขอร้องให้พนักงานราดลงมาเยอะๆ แบบไม่ต้องแยกน้ำแยกเนื้อ เพื่อถมของเดิมให้สนิท สุดท้ายเธอเลยได้มื้อเช้าแบบล้นหลามชนิดที่มองไม่เห็นขอบจานเลยทีเดียว



แล้วสาวร่างเล็กก็กลับมานั่งพร้อมด้วยข้าวแกงที่ไปเลือกสรรด้วยตัวเองอยู่เป็นนานสองนาน เอราเหลือบมองอาหารในจานของเธอแล้วก็แทบจะระงับเสียงหัวเราะของตัวเองเอาไว้ไม่ได้... ก็จะไม่ให้เขาขำได้อย่างไร ในเมื่อสภาพของจานข้าวเธอ ดูคล้ายกับสภาพชามข้าวเจ้าเบิ้ม หมาอ้วนยักษ์กินจุของลุงสมหมายคนสวนที่บ้านไม่มีผิด



ปีกุนก้มหน้าก้มตาตะกุยข้าวพูนช้อนใส่ปากเคี้ยวอย่างไม่สนใจสิ่งรอบข้าง เขียวเห็นแล้วหัวเราะก๊าก พูดแซวขึ้นว่าให้เธอกินช้าๆ หน่อยเพราะไม่งั้นหมูพะโล้อาจจะติดคอตาย ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่เอราเพิ่งสังเกตเห็นซากแกงส้มปลาหน่อไม้ดองกับผัดผักบุ้งที่ถูกซุกอยู่ภายใต้หมูพะโล้ นับจากนั้นเอราก็ระงับเสียงหัวเราะของตัวเองเอาไว้ไม่ได้อีกเลย



คนโดนหัวเราะใจเต้นแรงเสียงดังตึกๆ เงยหน้าสบสายตาเจ้าของเสียงหัวเราะ ซึ่งพี่เขียวเงียบปากไปสักพักแล้วเพราะคุณช้างชวนคุยสัพเพเหระจำพวกรายชื่อผักสดที่เคียงมากับน้ำพริกกะปิ เหลือแต่นายอ่ำที่ยังคงหัวเราะอย่างคนไม่มีมารยาท พอเขาเห็นสายตาวาวๆ ที่เธอมองเขม็งไปก็รีบทำเป็นหุบยิ้มงับเสียงขำที่ยังหลุดลอดออกมา



"แกงส้มกับผัดผักบุ้งใครเขาก็กินกันไม่เห็นต้องอายเลย" เสียงนายอ่ำเปรยขึ้นเบาๆตรงหน้าเธอ



ปีกุนได้แต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันข่มใจไม่โกรธ ได้ยินบทสนทนาของคุณช้างกับพี่เขียวนอกจากเกี่ยวกับผักเคียงในจานน้ำพริกแล้ว คุณช้างยังถามพี่เขียวว่า



"เขียวก็อยู่แผนกทรานสปอร์ตเหมือนกับลูกหมูเหรอ" คุณช้างเริ่มใจดีให้ความสนิทถึงขั้นเรียกขานเธอแบบนั้น ซึ่งแทนที่เธอจะยิ้มชื่นอกชื่นใจ ปีกุนกลับสำลักพะโล้ทันที



"เปล่าครับ ผมอยู่แผนกช่าง ลูกหมูนี่ก็เป็นช่างเหมือนกันครับ" เขียวตอบอย่างสงสัยว่าอะไรที่ทำให้คนถามคิดแบบนั้น ก่อนที่สมองไวๆจะคิดออก "อ๋อ ที่เห็นลูกหมูมันขับรถไปรับคุณช้างที่สนามบินก็เพราะว่าแผนกทรานสปอร์ตขาดคนครับ"



จบคำพูดเขียว สายตาเข้มของนายอ่ำปราดมองปีกุนทันที หญิงสาวเสียววาบ รู้สึกเหมือนชนักพุ่งจากไหนไม่รู้มาปักลงกลางหลัง



"อ้าว เหรอ ตายล่ะ ฉันเข้าใจผิด หลงตำหนิลูกหมูไปเสียเยอะเลย ขอโทษนะจ๊ะ" คุณช้างเลื่อนมือตัวเองมาตบหลังมือของเธอสองทีเบาๆ พร้อมรอยยิ้มอ่อนละมุน ปีกุนทั้งเสียวไส้ทั้งปลื้มใจระคนปนเป



เขียวที่คิดหวาดกลัวก่อนหน้านี้พอเห็นว่าความจริงแล้วคุณช้างออกจะใจดี อาการเกร็งทำตัวไม่ถูกก็ผ่อนคลาย พูดคุยยิ้มแย้มกับคุณช้างโดยที่อีกฝ่ายก็ให้ความเป็นกันเองอย่างคาดไม่ถึง



ผิดถนัดกับคนมีชนักปักหลังอย่างปีกุน ซึ่งตอนนี้นอกจากพะโล้จะฝืดคอแล้ว แม้แต่น้ำดื่มก็เกลี้ยงแก้ว เหยือกน้ำเจ้ากรรมดันถูกวางอยู่ไกลเกินที่แขนสั้นๆ ของเธอจะเอื้อมถึง ซึ่งนาทีที่กระหายน้ำจวนใจจะขาด นายอ่ำก็แสดงความกรุณาด้วยการยกเหยือกที่มีน้ำอยู่เต็มปรี่เทรินลงใส่แก้วที่เหลือแต่ก้อนน้ำแข็งเสิร์ฟให้เธอ



ปีกุนอยากจะเอ่ยบอกขอบคุณแต่เสียงไม่ออกเพราะหมูฝืดคอ และนายอ่ำก็ชิงพูดขึ้นเบาๆ อย่างเหน็บแนมว่า



"ก็บอกแล้ว ค่อยๆ กิน พะโล้ติดคอหายใจไม่ออก ผมไม่ช่วยปั๊มหัวใจให้นะคุณ"



พี่เขียวและคุณช้างมองสภาพคนโดนหมูพะโล้ติดคอแล้วส่งเสียงหัวเราะขึ้นพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย กิตติหันใบหน้าสบสายตาเขียวด้วยหัวใจที่เต้นแรง







ขอบคุณคนอ่านค่ะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  นิยายออนไลน์ แต่งนิยาย นวนิยายรัก
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่