เราอยากให้ใครที่กำลังคิดว่าชีวิตเมืองนอกมันสวยงาม หรือ อยากออกจากทุกอย่างที่เรามีที่ไทยมาอยู่นอก ได้ฉุกใจคิดนิดนึงค่ะ
เราเชื่อว่าคนบางส่วนคิดเหมือนเราคือ "เบื่อชีวิตที่ไทย อยากออกจาก comfort zone ไปหาอะไรใหม่ๆออกไปเจอโลกกว้าง เริ่มทำอะไรใหม่ๆ"
**ก่อนอ่าน เราขอเหมือนเดิมนะคะ ไม่เอา hate speech/ rude or negative comments คำติเตียนไม่สร้างสรรค์และไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ ขอบคุณค่ะ**
เราเองก่อนหน้าทำงานบริษัทต่างชาติในไทย ได้ทำ project ร่วมกับฝรั่งเยอะ
vacation คือจะไปเที่ยวยุโรป และอีกหลายๆประเทศ จนรู้สึกว่าอยากที่จะมีชีวิตอยู่เมืองนอก
อยากลองเริ่มทำอะไรใหม่ๆ ออกจากทุกสิ่งที่เรามีดู และมีความเชื่อมาตลอดว่า ที่ผ่านมาดี ข้างหน้าก็ต้องดี
ชีวิตก้เริ่มเปลี่ยนมากขึ้นเรื่อยๆ ก้าวแรกของการเปลี่ยนแปลงคือการตัดสินใจมาเรียนที่เมืองนอก (Switzerland)
ก่อนจะมา เราต้องเสนอแผนให้คุณพ่อคุณแม่ฟังเลยว่า ทำไมถึงอยากมา มาแล้วมีแผนจะทำอะไร
ผ่านจากคุณพ่อคุณแม่แล้วก้เดินหน้าทำวีซ่านักเรียนมาเรียนต่อ
ปีแรก เรามาเรียนภาษาฝรั่งเศสค่ะ เป็นช่วงชีวิตที่แฮปปี้มากๆ สนุกกับการเรียนภาษา
วันหยุดก้ลองอบขนม อบเค้ก ทำอาหาร หรือไม่ออกก็ไปปีนเขากะเพื่อนๆ เราชอบธรรมชาติ ปีนเขา ว่ายน้ำในทะเลสาบ ไรงี้ค่ะ
รู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่มีชีวิตใกล้ธรรมชาติ ในประเทศที่สงบสุขแบบ Switzerland
ชีวิต ตปท มันก้มีด้านที่ดีกว่าไทยบ้างด้าน ไม่ต้อง discuss เพราะมันไม่เป็นประเด็นอยู่แล้วถ้ามันดี แต่มันก้มีหลายช่วงเวลาที่รู้สึกว่าชีวิตยาก (อันนี้เล่าได้แค่ใน scope ของประเทศสวิสที่เราได้สัมผัสอย่างลึกซึ้งมานะคะ) เช่น
- การบริการทางสังคมที่นี่ต่ำมากต้องทำเองอะไรเอง เช่นไปซื้อของที่ supermarket
เราต้องหยิบของใส่ถุงเอง ขณะที่ไทย พนง จะหยิบสินค้าใส่ถุงให้เสด เราแค่ยืนรอจ่ายเงิน เสดแล้วรับถุงจาก พนง พูดขอบคุณ พนง ก้แค่นั้น
ที่นี่ต้องพะว้าพะวง ของก็ต้องใส่ถุงเอง เงินก้ต้องจ่ายรอจ่าย รีบโกยของใส่ถุง ลูกค้าคนต่อไปก้รออยู่ โอ้ยยย
- เราเคยสั่งซื้อเฟอร์นิเจอร์ให้เค้ามาส่งและประกอบให้ที่อพาร์ทเมน พอเค้าทำเสด เราขอให้เค้าช่วยง่ายๆ คือ เราขอให้เค้าใช้อุปกรณ์ที่เค้ามี ตอกตะปูแขวนที่ hang เสื้อ coatsให้หน่อย เค้าบอก เค้าทำไม่ได้เพราะเกินจาก paper ที่เค้าถูกสั่งมา เราก็บอกว่าไม่ได้ขอให้ทำฟรีๆ จะจ่ายเงินให้ เค้าบอกไม่ได้จริงๆ เราต้องบอกบริษัท แล้วพอเค้าได้รับกระดาษเค้าถึงจะทำให้ ซึ่งถ้าเป็นที่ไทย ช่างคงตอกให้ไปละ เผลอเงินไม่เอาถ้าเราให้น้ำเค้าดื่ม แล้วขอบคุณเค้าดีๆ
- การเปิดบัญชีธนาคารถ้ายังไม่ได้เป็น นร มหาลัย ต้องมีจ่ายค่าธรรมเนียมการฝากเงินเข้าบัญชีรายเดือน
นอกจากจะฝากเงินเกินขั้นต่ำที่เค้ากำหนดซึ่งอยู่ที่ 7,500 ฟรังค์ หรือประมาณ 262,000 บาท ซึ่งเราไม่ได้ขนเงินมาขนาดนั้นมันอันตราย เราใช้วิธีจ่ายบัตรเครดิตเอา (แต่ตอนนี้ได้ยกเว้นค่าธรรมเนียมแล้วเพราะเป็น นร มหาลัย) ไม่พอนะคะ การเปิดบัญชีธนาคารต้องรอนาน 3-5 วัน จะได้รับจดหมาย จากนั้นต้องไปเดินเรื่องอีกรอบที่ธนาคาร แล้วรอต่ออีก 1-2 วันกว่าจะได้บัญชีมา ซึ่งที่ไทยเดินเข้าไปเปิดได้เลย รอ 20 นาที เสด!!
- คนไทยที่มาอยู่เมืองนอก ส่วนใหญ่จะแต่งงานกะฝรั่ง ไม่ก้ทำงานร้านนวด หรือ ร้านอาหารเพื่อหาเงินส่งกลับให้คนที่ไทย
ได้ฟังทั้งเรื่องชีวิตที่ลำบาก และชีวิตที่ไม่สบายนักของแต่ละคน บางคนก็มาแนวอวดสามีรวยแต่เท่าที่เห็นก้ธรรมดา เยอะค่ะ
สิ่งที่เราได้ฟังและได้เห็นมา คือ
คนไทยที่ย้ายมาอยู่นี่บางคนชีวิตที่ไทยเค้าแย่มากๆๆจิงๆ จนเค้าได้มาอยู่เมืองนอก ถึงจะไม่ได้ดีมากนัก
แต่ก้ดีกว่าที่ไทย (จุดนี้เราอยากให้คนที่มีต้นทุนชีวิตคิดให้ดี) **ทั้งนี้ ทั้งนั้น มันก็พอมีให้เห็นอยู่ แต่น้อยคนที่คนไทยมาอยู่ที่นี้
แล้วได้งาน technical ทำดีๆ เงินเดือนสูงๆ สวัสดิการบริษัทดีๆ**
อย่าคิดว่าทำงานที่เมืองนอกแล้วเงินเดือนแค่ 100,000 บาทต่อเดือน (2,500-3,000 ฟรังค์) เยอะนะคะ มันเป็นเงินเดือนที่แรงงานที่ไม่ต้องใช้ความสามารถมากทั่วไปควรได้ เช่น คนเสริฟ์อาหาร, คนทำความสะอาด, เก็บขยะ (ส่วนใหญ่งานพวกนี้คนสวิสไม่ทำกัน) แล้วอีกอย่างอย่าลืมค่าครองชีพที่แพงตามมา คนที่ได้งาน technical ทำดีๆ พวกนี้เงินเดือนเกิน 280,000 บาท (8,000 ฟรังค์) ต่อเดือนนะคะ เท่าที่เราพอทราบมาจากเพื่อนและอาจารย์มหาลัยที่นี่บอกมานะคะ
- นอกจากนี้ยังมีเรื่องสภาพอากาศที่แย่ เช่น หมอกหนาทั้งวัน ฝนตกหนาวทั้งวัน หิมะตกขาวไปหมด มันไม่สนุกเลยนะคะ
พอเจออากาศแย่ๆไปเป็นสัปดาห์จนเป็นเดือน มันเริ่มมีผลต่อจิตใจ เราเป็น winter blue โดยที่ไม่รู้ตัวในตอนแรก
เราก็เหมือนคนไทยทั่วไปค่ะ เมื่อก่อนคิดว่าอากาศหนาว หิมะตกคือเรื่องดี แต่ลองค่ะมาเจออากาศแย่ๆไม่มีแดดติดต่อเป็นเดือนจิตไม่สดใสแน่นอน
- สภาพสังคมที่ค่อนข้าง individual สูงมากๆ ถ้าเราไม่อ้าปากขอความช่วยเหลือ ก็จะไม่ได้รับความช่วยเหลือ
จุดนี้บางที ทำให้คิดว่าไม่เห็นหรอ คนต้องการความช่วยเหลือขนาดนี้ แต่อาจจะเพราะว่าเค้าไม่อยากรุกราน privacy and decision ของเรา
เลยรอให้เราขอถึงจะช่วย อันนี้เเล้วแต่จะมองนะคะ (แต่บางที มันทำให้จิตตกว่าสังคมเยนชาไปนิดนึง)
ปีที่สองเราสมัครเรียนมหาลัยรัฐบาลที่นี่ได้สำเร็จ
พอเข้ามหาลัยมา ชีวิตเริ่มมีแต่ความเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเห็นเพื่อนลาออกไปเพราะเรียนไม่ไหว
บางคนโดนให้ออกเพราะเรียนไม่ผ่านเกณฑ์มหาลัย เรายิ่งรู้สึกแย่ ((สามารถตามเรื่องเต็มได้ที่กระทู้นี้ค่ะ
https://ppantip.com/topic/37721064))
ยิ่งพอเข้าหน้าหนาว มันยิ่งไปกันใหญ่ มีช่วงเวลาที่เราเครียดถึงขนาดจะฆ่าตัวตาย
ตอนนั้นเรายืนรอรถไฟหลังเลิกเรียน เราอยากกระโดดลงรางรถไฟไปมากๆ เพราะมันมีความคิดประเดประดังในหัวเช่น
ถ้าเราเรียนไม่จบ มันมีปัญหาหลายสิ่งตามมา.....
1) แล้วเงินที่เสียไปตั้งเยอะตั้งเเยะนี่คือเสียเปล่าเลยนะ
2) แล้วเรียนไม่จบจะได้เปลี่ยนสายงานได้ยังไง --> แล้วจะหางานอะไรทำได้ต่อจากนี้ (ที่พูดแบบนี้เพราะเราเรียนด้านวิทยาศาสตร์สายเฉพาะทางมากๆถ้าไม่จบโทใบนี้ก้ต้องกลับไปใช้ปอโทจากไทยอันเดิม ซึ่งเราไม่อยากทำแล้ว)
3) ยังมีเรื่องของการตอบคำถามเพื่อนๆสังคมยังไงอีก ไปแล้วเรียนไม่จบ
ยิ่งพอคิดแล้วก็แย่เพราะที่ผ่านมา เราทำได้ดีมาตลอด พอมันมาถึงจุดที่แย่ของชีวิต เราเลยรู้สึกรับไม่ได้
ความคิดวนเวียนอยู่แบบนั้นในหัวไปมา
จนอยู่มาดีๆวันที่อากาศแย่ หิมะตกทั้งวัน อากาศหนาวมาก
จนออกไปนั่งที่สวนสาธารณะ แล้วเราก็คิดขึ้นมาได้ว่า ...
ที่ใครๆบอกชีวิตมันยาก ชีวิตมันมีปัญหาด้วยกันทั้งนั้น อาจจะนี่แหละที่ชีวิตเราเป็นอย่างที่เค้าว่า
อาจจจะเพราะที่ผ่านมา เราโชคดีทำอะไรได้ดีมาตลอด ไม่เคยมีเรื่องเดือดร้อนใจอะไร
แค่จุดเดียวที่กำลังเพิ่งเกิดกบชีวิตเรา ทำไมเราจะยอมแพ้และตายแล้ว
เเล้วเราก็ฮึดขึ้นมา
บอกตัวเองว่า "เราจะต้องผ่านมันไป ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ตอนนี้เราไม่มีเวลาอะไรให้คิดเยอะ เราต้องเรียนรู้และเอาตัวเองให้รอด
swim or sink" พอมีเสียงนี้เข้ามาในหัว เราได้สติ เราก็กลับมาเป็นอีกคนนึงเลยค่ะว่า
Life always offers you a second chance. It's called "tomorrow" ถ้าเราตายเราจะไม่ได้โอกาสแก้ หรือทำให้มันดีขึ้นเลย
ทุกวันนี้ก็ยังเรียนอยู่ และคิดเสมอว่า แค่ทำให้ดีที่สุดก็พอ ผลจะเป็นอย่างไรช่างมัน อย่างน้อยเราลงมือทำ เราไปไกลจากจุดต้นตั้งเยอะแล้ว
สิ่งที่เราเล่ามาทั้งหมดเกิดขึ้นจริงๆและการอยู่เมืองนอกมันอาจจะไม่ได้ดีหรือสวยงามเสมอไป
เราอยากให้คิดดูให้ดี ลองจินตนาการถึงวันที่เราทำมันไม่สำเร็จ แล้วตัวเองไม่มีอะไรเลยดูค่ะ
แต่ก็แล้วแต่นะคะ เราแค่นำเสนอด้านนึงให้ผู้ที่กำลังมองแต่ว่ามันมีแต่สิ่งดีๆที่ ตปท ให้ได้ฉุกคิดบ้าง
เราแค่ไม่อยากให้ใครต้องมารู้สึกแบบเราวันนั้น หรือถ้ามีความคิดแบบนั้น ขอให้บทความนี้ได้ช่วยให้กำลังใจ
และทำให้รู้ว่ามีคนที่เผชิญปัญหาแบบเดียวกัน และก้ผ่านความคิดที่ตกต่ำสุดในชีวิตออกมาได้ค่ะ และเค้าจะทำได้เช่นกัน
ทิ้งท้าย เรามีประโยคอยากให้ทุกคนมีกำลังใจค่ะ
- You're not a mess. You're so brave for giving it a try!
- What doesn't kill you makes you stronger
- It might be stormy now but it can't rain forever
ป.ล. 1) อันนี้เป็นกระทู้เรื่องค่ารายจ่าย ค่าครองชีพ ของชีวิตการมาเป็นนักเรียนที่ Switzerland นะคะ
https://ppantip.com/topic/36898517
ป.ล. 2) อันนี้เป็นลิ้งค์เพื่อใครอยากรู้ว่าต้องทำใจเรื่องอะไรบ้างเวลามาอยู่ที่สวิสนะคะ
https://ppantip.com/topic/37744380
ป.ล. 3) การศึกษาทางเลือกที่นอกเหนือจากการเรียนต่อมหาลัยในสวิส
https://ppantip.com/topic/37774629 (แอบมีดราม่า แต่ตอนนี้ซอฟท์แล้วเพราะมีการปรับปรุงข้อความ)
https://ppantip.com/topic/37783442 (ฉบับปรับปรุง ยัดเนื้อเน้นๆ)
ใครที่คิดอยากจะมาทำ gap year หรือ อยากตามล่าฝันใน ตปท หรืออยากออกจาก comfort zone อย่างเรา อ่านให้จบค่ะ
เราเชื่อว่าคนบางส่วนคิดเหมือนเราคือ "เบื่อชีวิตที่ไทย อยากออกจาก comfort zone ไปหาอะไรใหม่ๆออกไปเจอโลกกว้าง เริ่มทำอะไรใหม่ๆ"
**ก่อนอ่าน เราขอเหมือนเดิมนะคะ ไม่เอา hate speech/ rude or negative comments คำติเตียนไม่สร้างสรรค์และไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ ขอบคุณค่ะ**
เราเองก่อนหน้าทำงานบริษัทต่างชาติในไทย ได้ทำ project ร่วมกับฝรั่งเยอะ
vacation คือจะไปเที่ยวยุโรป และอีกหลายๆประเทศ จนรู้สึกว่าอยากที่จะมีชีวิตอยู่เมืองนอก
อยากลองเริ่มทำอะไรใหม่ๆ ออกจากทุกสิ่งที่เรามีดู และมีความเชื่อมาตลอดว่า ที่ผ่านมาดี ข้างหน้าก็ต้องดี
ชีวิตก้เริ่มเปลี่ยนมากขึ้นเรื่อยๆ ก้าวแรกของการเปลี่ยนแปลงคือการตัดสินใจมาเรียนที่เมืองนอก (Switzerland)
ก่อนจะมา เราต้องเสนอแผนให้คุณพ่อคุณแม่ฟังเลยว่า ทำไมถึงอยากมา มาแล้วมีแผนจะทำอะไร
ผ่านจากคุณพ่อคุณแม่แล้วก้เดินหน้าทำวีซ่านักเรียนมาเรียนต่อ
ปีแรก เรามาเรียนภาษาฝรั่งเศสค่ะ เป็นช่วงชีวิตที่แฮปปี้มากๆ สนุกกับการเรียนภาษา
วันหยุดก้ลองอบขนม อบเค้ก ทำอาหาร หรือไม่ออกก็ไปปีนเขากะเพื่อนๆ เราชอบธรรมชาติ ปีนเขา ว่ายน้ำในทะเลสาบ ไรงี้ค่ะ
รู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่มีชีวิตใกล้ธรรมชาติ ในประเทศที่สงบสุขแบบ Switzerland
ชีวิต ตปท มันก้มีด้านที่ดีกว่าไทยบ้างด้าน ไม่ต้อง discuss เพราะมันไม่เป็นประเด็นอยู่แล้วถ้ามันดี แต่มันก้มีหลายช่วงเวลาที่รู้สึกว่าชีวิตยาก (อันนี้เล่าได้แค่ใน scope ของประเทศสวิสที่เราได้สัมผัสอย่างลึกซึ้งมานะคะ) เช่น
- การบริการทางสังคมที่นี่ต่ำมากต้องทำเองอะไรเอง เช่นไปซื้อของที่ supermarket
เราต้องหยิบของใส่ถุงเอง ขณะที่ไทย พนง จะหยิบสินค้าใส่ถุงให้เสด เราแค่ยืนรอจ่ายเงิน เสดแล้วรับถุงจาก พนง พูดขอบคุณ พนง ก้แค่นั้น
ที่นี่ต้องพะว้าพะวง ของก็ต้องใส่ถุงเอง เงินก้ต้องจ่ายรอจ่าย รีบโกยของใส่ถุง ลูกค้าคนต่อไปก้รออยู่ โอ้ยยย
- เราเคยสั่งซื้อเฟอร์นิเจอร์ให้เค้ามาส่งและประกอบให้ที่อพาร์ทเมน พอเค้าทำเสด เราขอให้เค้าช่วยง่ายๆ คือ เราขอให้เค้าใช้อุปกรณ์ที่เค้ามี ตอกตะปูแขวนที่ hang เสื้อ coatsให้หน่อย เค้าบอก เค้าทำไม่ได้เพราะเกินจาก paper ที่เค้าถูกสั่งมา เราก็บอกว่าไม่ได้ขอให้ทำฟรีๆ จะจ่ายเงินให้ เค้าบอกไม่ได้จริงๆ เราต้องบอกบริษัท แล้วพอเค้าได้รับกระดาษเค้าถึงจะทำให้ ซึ่งถ้าเป็นที่ไทย ช่างคงตอกให้ไปละ เผลอเงินไม่เอาถ้าเราให้น้ำเค้าดื่ม แล้วขอบคุณเค้าดีๆ
- การเปิดบัญชีธนาคารถ้ายังไม่ได้เป็น นร มหาลัย ต้องมีจ่ายค่าธรรมเนียมการฝากเงินเข้าบัญชีรายเดือน
นอกจากจะฝากเงินเกินขั้นต่ำที่เค้ากำหนดซึ่งอยู่ที่ 7,500 ฟรังค์ หรือประมาณ 262,000 บาท ซึ่งเราไม่ได้ขนเงินมาขนาดนั้นมันอันตราย เราใช้วิธีจ่ายบัตรเครดิตเอา (แต่ตอนนี้ได้ยกเว้นค่าธรรมเนียมแล้วเพราะเป็น นร มหาลัย) ไม่พอนะคะ การเปิดบัญชีธนาคารต้องรอนาน 3-5 วัน จะได้รับจดหมาย จากนั้นต้องไปเดินเรื่องอีกรอบที่ธนาคาร แล้วรอต่ออีก 1-2 วันกว่าจะได้บัญชีมา ซึ่งที่ไทยเดินเข้าไปเปิดได้เลย รอ 20 นาที เสด!!
- คนไทยที่มาอยู่เมืองนอก ส่วนใหญ่จะแต่งงานกะฝรั่ง ไม่ก้ทำงานร้านนวด หรือ ร้านอาหารเพื่อหาเงินส่งกลับให้คนที่ไทย
ได้ฟังทั้งเรื่องชีวิตที่ลำบาก และชีวิตที่ไม่สบายนักของแต่ละคน บางคนก็มาแนวอวดสามีรวยแต่เท่าที่เห็นก้ธรรมดา เยอะค่ะ
สิ่งที่เราได้ฟังและได้เห็นมา คือ คนไทยที่ย้ายมาอยู่นี่บางคนชีวิตที่ไทยเค้าแย่มากๆๆจิงๆ จนเค้าได้มาอยู่เมืองนอก ถึงจะไม่ได้ดีมากนัก
แต่ก้ดีกว่าที่ไทย (จุดนี้เราอยากให้คนที่มีต้นทุนชีวิตคิดให้ดี) **ทั้งนี้ ทั้งนั้น มันก็พอมีให้เห็นอยู่ แต่น้อยคนที่คนไทยมาอยู่ที่นี้
แล้วได้งาน technical ทำดีๆ เงินเดือนสูงๆ สวัสดิการบริษัทดีๆ**
อย่าคิดว่าทำงานที่เมืองนอกแล้วเงินเดือนแค่ 100,000 บาทต่อเดือน (2,500-3,000 ฟรังค์) เยอะนะคะ มันเป็นเงินเดือนที่แรงงานที่ไม่ต้องใช้ความสามารถมากทั่วไปควรได้ เช่น คนเสริฟ์อาหาร, คนทำความสะอาด, เก็บขยะ (ส่วนใหญ่งานพวกนี้คนสวิสไม่ทำกัน) แล้วอีกอย่างอย่าลืมค่าครองชีพที่แพงตามมา คนที่ได้งาน technical ทำดีๆ พวกนี้เงินเดือนเกิน 280,000 บาท (8,000 ฟรังค์) ต่อเดือนนะคะ เท่าที่เราพอทราบมาจากเพื่อนและอาจารย์มหาลัยที่นี่บอกมานะคะ
- นอกจากนี้ยังมีเรื่องสภาพอากาศที่แย่ เช่น หมอกหนาทั้งวัน ฝนตกหนาวทั้งวัน หิมะตกขาวไปหมด มันไม่สนุกเลยนะคะ
พอเจออากาศแย่ๆไปเป็นสัปดาห์จนเป็นเดือน มันเริ่มมีผลต่อจิตใจ เราเป็น winter blue โดยที่ไม่รู้ตัวในตอนแรก
เราก็เหมือนคนไทยทั่วไปค่ะ เมื่อก่อนคิดว่าอากาศหนาว หิมะตกคือเรื่องดี แต่ลองค่ะมาเจออากาศแย่ๆไม่มีแดดติดต่อเป็นเดือนจิตไม่สดใสแน่นอน
- สภาพสังคมที่ค่อนข้าง individual สูงมากๆ ถ้าเราไม่อ้าปากขอความช่วยเหลือ ก็จะไม่ได้รับความช่วยเหลือ
จุดนี้บางที ทำให้คิดว่าไม่เห็นหรอ คนต้องการความช่วยเหลือขนาดนี้ แต่อาจจะเพราะว่าเค้าไม่อยากรุกราน privacy and decision ของเรา
เลยรอให้เราขอถึงจะช่วย อันนี้เเล้วแต่จะมองนะคะ (แต่บางที มันทำให้จิตตกว่าสังคมเยนชาไปนิดนึง)
ปีที่สองเราสมัครเรียนมหาลัยรัฐบาลที่นี่ได้สำเร็จ
พอเข้ามหาลัยมา ชีวิตเริ่มมีแต่ความเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเห็นเพื่อนลาออกไปเพราะเรียนไม่ไหว
บางคนโดนให้ออกเพราะเรียนไม่ผ่านเกณฑ์มหาลัย เรายิ่งรู้สึกแย่ ((สามารถตามเรื่องเต็มได้ที่กระทู้นี้ค่ะ https://ppantip.com/topic/37721064))
ยิ่งพอเข้าหน้าหนาว มันยิ่งไปกันใหญ่ มีช่วงเวลาที่เราเครียดถึงขนาดจะฆ่าตัวตาย
ตอนนั้นเรายืนรอรถไฟหลังเลิกเรียน เราอยากกระโดดลงรางรถไฟไปมากๆ เพราะมันมีความคิดประเดประดังในหัวเช่น
ถ้าเราเรียนไม่จบ มันมีปัญหาหลายสิ่งตามมา.....
1) แล้วเงินที่เสียไปตั้งเยอะตั้งเเยะนี่คือเสียเปล่าเลยนะ
2) แล้วเรียนไม่จบจะได้เปลี่ยนสายงานได้ยังไง --> แล้วจะหางานอะไรทำได้ต่อจากนี้ (ที่พูดแบบนี้เพราะเราเรียนด้านวิทยาศาสตร์สายเฉพาะทางมากๆถ้าไม่จบโทใบนี้ก้ต้องกลับไปใช้ปอโทจากไทยอันเดิม ซึ่งเราไม่อยากทำแล้ว)
3) ยังมีเรื่องของการตอบคำถามเพื่อนๆสังคมยังไงอีก ไปแล้วเรียนไม่จบ
ยิ่งพอคิดแล้วก็แย่เพราะที่ผ่านมา เราทำได้ดีมาตลอด พอมันมาถึงจุดที่แย่ของชีวิต เราเลยรู้สึกรับไม่ได้
ความคิดวนเวียนอยู่แบบนั้นในหัวไปมา
จนอยู่มาดีๆวันที่อากาศแย่ หิมะตกทั้งวัน อากาศหนาวมาก
จนออกไปนั่งที่สวนสาธารณะ แล้วเราก็คิดขึ้นมาได้ว่า ...
ที่ใครๆบอกชีวิตมันยาก ชีวิตมันมีปัญหาด้วยกันทั้งนั้น อาจจะนี่แหละที่ชีวิตเราเป็นอย่างที่เค้าว่า
อาจจจะเพราะที่ผ่านมา เราโชคดีทำอะไรได้ดีมาตลอด ไม่เคยมีเรื่องเดือดร้อนใจอะไร
แค่จุดเดียวที่กำลังเพิ่งเกิดกบชีวิตเรา ทำไมเราจะยอมแพ้และตายแล้ว
เเล้วเราก็ฮึดขึ้นมา บอกตัวเองว่า "เราจะต้องผ่านมันไป ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ตอนนี้เราไม่มีเวลาอะไรให้คิดเยอะ เราต้องเรียนรู้และเอาตัวเองให้รอด
swim or sink" พอมีเสียงนี้เข้ามาในหัว เราได้สติ เราก็กลับมาเป็นอีกคนนึงเลยค่ะว่า Life always offers you a second chance. It's called "tomorrow" ถ้าเราตายเราจะไม่ได้โอกาสแก้ หรือทำให้มันดีขึ้นเลย
ทุกวันนี้ก็ยังเรียนอยู่ และคิดเสมอว่า แค่ทำให้ดีที่สุดก็พอ ผลจะเป็นอย่างไรช่างมัน อย่างน้อยเราลงมือทำ เราไปไกลจากจุดต้นตั้งเยอะแล้ว
สิ่งที่เราเล่ามาทั้งหมดเกิดขึ้นจริงๆและการอยู่เมืองนอกมันอาจจะไม่ได้ดีหรือสวยงามเสมอไป
เราอยากให้คิดดูให้ดี ลองจินตนาการถึงวันที่เราทำมันไม่สำเร็จ แล้วตัวเองไม่มีอะไรเลยดูค่ะ
แต่ก็แล้วแต่นะคะ เราแค่นำเสนอด้านนึงให้ผู้ที่กำลังมองแต่ว่ามันมีแต่สิ่งดีๆที่ ตปท ให้ได้ฉุกคิดบ้าง
เราแค่ไม่อยากให้ใครต้องมารู้สึกแบบเราวันนั้น หรือถ้ามีความคิดแบบนั้น ขอให้บทความนี้ได้ช่วยให้กำลังใจ
และทำให้รู้ว่ามีคนที่เผชิญปัญหาแบบเดียวกัน และก้ผ่านความคิดที่ตกต่ำสุดในชีวิตออกมาได้ค่ะ และเค้าจะทำได้เช่นกัน
ทิ้งท้าย เรามีประโยคอยากให้ทุกคนมีกำลังใจค่ะ
- You're not a mess. You're so brave for giving it a try!
- What doesn't kill you makes you stronger
- It might be stormy now but it can't rain forever
ป.ล. 1) อันนี้เป็นกระทู้เรื่องค่ารายจ่าย ค่าครองชีพ ของชีวิตการมาเป็นนักเรียนที่ Switzerland นะคะ
https://ppantip.com/topic/36898517
ป.ล. 2) อันนี้เป็นลิ้งค์เพื่อใครอยากรู้ว่าต้องทำใจเรื่องอะไรบ้างเวลามาอยู่ที่สวิสนะคะ
https://ppantip.com/topic/37744380
ป.ล. 3) การศึกษาทางเลือกที่นอกเหนือจากการเรียนต่อมหาลัยในสวิส
https://ppantip.com/topic/37774629 (แอบมีดราม่า แต่ตอนนี้ซอฟท์แล้วเพราะมีการปรับปรุงข้อความ)
https://ppantip.com/topic/37783442 (ฉบับปรับปรุง ยัดเนื้อเน้นๆ)