Thai economy: ทำไมเศรษฐกิจโตตั้ง 4.8% แล้วเรารู้สึกว่า “ไม่ใช่อ่ะ”/ โดย ผศ.ดร.ปิติ ศรีแสงนาม 29/5/2561
https://ppantip.com/topic/37715529
Cr: Apibarn A.
ไปอ่านข้างล่างครับ จะเห็นว่าตรงกับ "รวยกระจุก จนกระจาย" การพัฒนาท้องถิ่นของไทยจึงเกิดได้ยาก..
.. สรายุทธ
ทำไมเศรษฐกิจโตตั้ง 4.8% แล้วเรารู้สึกว่า “ไม่ใช่อ่ะ”/
โดย ผศ.ดร.ปิติ ศรีแสงนาม คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ตัวเลขล่าสุดโดยสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แจ้งว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 1 ปี 2561 ขยายตัวที่อัตรา 4.8% สูงที่สุดในรอบ 5 ปี และยังปรับตัวเลขคาดการณ์ว่าปีนี้เศรษฐกิจไทยน่าจะโตได้ถึง 4.2-4.7% แต่คนไทยจำนวนมากกลับตะโกนอยู่ในใจดังๆ ว่า เศรษฐกิจดีจริงหรือ ? ทำเงินในกระเป๋า ยังมีเท่าเดิมหรือบางทีลดลงด้วยซ้ำ? ตัวเลขหลอกรึเปล่า ?
ผมยืนยันครับว่าตัวเลขเหล่านี้เป็นตัวเลขจริงครับ แต่มันสะท้อนความจริงหรือไม่ เป็นอีกเรื่องครับ ทั้งนี้เพราะมูลค่าผลผลิตมวลรวมภายในประเทศเกิดขึ้นจากการรวบรวมมูลค่าผลผลิตที่เกิดขึ้นภายในประเทศ เอาเฉพาะที่อยู่ในระบบเศรษฐกิจที่เป็นทางการ ถูกต้องตามกฎหมาย มีการจดบันทึก ในระยะเวลาหนึ่งๆ ในที่นี้ก็คือไตรมาสที่ 1 ปี 2561 และบันทึกในระดับราคาที่วางจำหน่ายในท้องตลาด ณ ระดับราคาในช่วงเวลานั้นๆ นั่นทำให้บางครั้งตัวเลขที่เกิดขึ้นกับมูลค่าจริงๆ อาจจะไม่ถูกต้องตรงกัน
แต่ผมคิดว่า ทาง สศช. เองก็มีความพยายามที่จะปรับตัวเลขมูลค่า GDP นี้ให้ถูกต้องสะท้อนความเป็นจริงให้มากที่สุด ซึ่งเมื่อนักเศรษฐศาสตร์ทำงานร่วมกับนักสถิติ เรื่องเหล่านี้ก็สามารถทำให้ถูกต้องตรงตามความเป็นจริงได้ครับ หากแต่ที่มันยังค้านความรู้สึกของพวกเราก็เป็นเพราะ มันเป็นตัวเลขที่มองในระดับมหภาคครับ คือมองมูลค่าผลผลิต มองรายได้ และรายจ่ายของคนทั้งประเทศ ซึ่งในความเป็นจริงมันไม่ได้สะท้อนภาพของการกระจายรายได้ที่ไม่เท่าเทียมกันครับ
รายได้ของทั้งประเทศที่ขยายตัว 4.8% ไม่ได้แปลว่า ทุกคนมีรายได้เพิ่มขึ้น 4.8% เท่ากันหมด แบบหน้ากระดานเรียงหนึ่ง หากแต่อาจจะมีคนบางกลุ่มรวยขึ้นอย่างมากมายมหาศาล ในขณะที่คนอีกจำนวนหนึ่งจนลงก็ได้ แต่โดยเฉลี่ยแล้วรายได้ในภายรวมมันสูงขึ้น 4.8% ก็เท่านั้นเอง
ซึ่งในกรณีของไทยนั้น การกระจายตัวของรายได้มันไม่เป็นธรรมอย่างยิ่งครับ ปัญหาการกระจายรายได้ ในปี 2016 ประเทศไทยถูกจัดอยู่ในลำดับที่ 3 ของประเทศ ที่มีการกระจายรายได้ที่ไม่เป็นธรรมมากที่สุดในโลก รองจากรัสเซีย และอินเดีย (Bangkok Post, 2016) และจากข้อมูลล่าสุดของ Forbes และ Credit Suisse ประมาณการณ์ทรัพย์สินรวมของประเทศไทยอยู่ที่ 434 พันล้าน ดอลลาร์สหรัฐ พบว่า คนไทยที่อยู่ในวัยผู้ใหญ่ที่ร่ำรวยมากที่สุดเพียงร้อยละ 1 (เทียบเท่ากับ 521,850 คน) ครอบครองทรัพย์สินถึงร้อยละ 56.2 ของทั้งประเทศ และเมื่อพิจารณาที่ร้อยละ 10 ของคนไทย วัยผู้ใหญ่ที่ร่ำรวยมากที่สุด คนกลุ่มนี้ ครอบครองทรัพย์สินร้อยละ 78.7 ของประเทศ หรือมูลค่ากว่า 341.55 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่ประชากรกว่าร้อยละ 90 หรือ 47 ล้านคน ครอบครองทรัพย์สินเพียงร้อยละ 21.3 หรือเพียง 92.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น (Credit Suisse, 2017)
และที่น่าตกใจมากกว่านั้นคือ ความมั่งคั่งกว่าร้อยละ 21.84 หรือประมาณ 94.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มคนเพียง 5 ตระกูลเท่านั้น ได้แก่
1.ตระกูลเจียรวนนท์ กลุ่มธุรกิจเจริญโภคภัณฑ์ (CP) ครอบครอง ทรัพย์สินประมาณ 30 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
2.ตระกูลจิราธิวัฒน์ กลุ่มเซ็นทรัล ครอบครองทรัพย์สินประมาณ 21.2 พันล้าน ดอลลาร์สหรัฐ
3.ตระกูลอยู่วิทยา กลุ่มกระทิงแดง ครอบครองทรัพย์สินประมาณ 21 พันล้าน ดอลลาร์สหรัฐ
4.ตระกูลสิริวัฒนภักดี ครอบครองทรัพย์สินประมาณ 17.4 พันล้าน ดอลลาร์สหรัฐ และ
5.ตระกูลศรีวัฒนประภา กลุ่ม King Power ครอบครองทรัพย์สินประมาณ 5.2 พันล้าน ดอลลาร์สหรัฐ
ซึ่งนั่นหมายความว่า คนไทยจำนวนกว่า 47 ล้านคน มีทรัพย์สิน รวมกันไม่เท่ากับสมาชิกของ 5 ตระกูล ที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศ (Forbes Thailand, 2018)
คำถามที่ตามมา คือ แล้วทำไมการกระจายรายได้ของไทยจึงเลวร้ายเช่นนี้ แน่นอนมีหลายสาเหตุครับ บางท่านอาจจะโทษเรื่องของนโยบายรัฐไทยที่เอาใจนายทุน บางท่านอาจจะโทษเรื่องของคอรับชั่นฉ้อราษฎรบังหลวง บางท่านอาจจะโทษไปถึงโครงสร้างของระบบทุนนิยม ฯลฯ แต่สำหรับผม ผมคิดว่าตัวการสำคัญที่มีผลไม่มากก็น้อยคือ ความที่สังคมไทยไม่สามารถปรับตัวให้เท่าทันกับ Technology Disruption ครับ
ตอนนี้เราพูดถึงเยอะมากในเรื่องของ Industry 4.0 ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงปี 2009-2010 แต่ก่อนหน้า 4.0 เรากำลังพูดถึงการปฏิวัติอุตสาหกรรมรอบที่ 3 หรือ Industry 3.0 ที่เกิดขึ้นในทศวรรษ 1970-1980 ที่คอมพิวเตอร์และระบบออร์โตเมชั่นเริ่มถูกนำมาใช้แทนกำลังคนในภาคการผลิตครับ ช่วงแรกๆ คนก็กลัวกันครับว่า คอมพิวเตอร์จะมาแย่งงานคนระดับล่าง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงก็คือ ในตอนนั้นคอมพิวเตอร์ยังทำความสะอาดบ้าน ยังขับรถส่งสินค้า ยังทำสวน ยังล้างห้องน้ำไม่ได้ครับ คอมพิวเตอร์ ไม่ได้มาทดแทนคนงานระดับล่างครับ หากแต่มันมาทดแทนคนงานในระดับกลาง
จากทศวรรษ 1970 – 2010 เป็นเวลากว่า 40 ปีครับ ที่คอมพิวเตอร์มาแทนคนงานระดับกลางที่ทำงานประจำแบบ Routine ไม่ว่าจะเป็นงานเสมียน งานเลขานุการ งานจองตั๋ว งานนั่งโต๊ะต่างๆ สำนักงานสถาปนิกที่เคยต้องใช้ Draftsman เป็นร้อยๆ คนนั่งเขียนแบบ ถูกแทนที่ด้วย AutoCAD เพียงระบบเดียวที่ทำให้ดีไซเนอร์หนึ่งคนทำงานแทนคนงานที่จบอาชีวะเป็นร้อยๆ คนได้ ลักษณะงานแบบนี้เกิดขึ้นทั่วทั้งประเทศ และทั่วทั้งโลกครับ
แน่นอนคนตรงกลางซึ่งมีจำนวนมากที่สุด ถูกคอมพิวเตอร์แย่งงาน คำถามคือ พวกเขามีทางไปทางใดได้บ้าง คำตอบคือมี 2 ทางครับ ทางเลือกแรกคือเดินขึ้นชั้นบนพัฒนาตนเองจนเป็นผู้ประกอบวิชาชีพชั้นสูง เป็นผู้บริหาร และทางเลือกที่สองคือเดินลงข้างล่างไปทำงานแข่งกับพวกที่ด้อยฝีมือในลักษณะของการทำงานต่ำระดับ (Underemployment) ซึ่ง
แน่นอนว่า การเดินลงข้างล่างง่ายและสะดวกมากกว่าครับ
ทำให้ตลอด 30-40 ปี ที่ผ่านมาเราเห็นงานจำนวนมากที่ใช้ทักษะระดับ ม.ปลาย แต่เราจ้างคนจบป.ตรี มาทำ และเราเป็นคน จบ ป.โท จำนวนมาก มาทำงานที่เอาจริงๆ เด็กจบป.ตรีก็ทำได้ นี่คือการทำงานต่ำระดับ และแน่นอน เมื่อทำงานในลักษณะนี้ พวกเขาก็จะได้ค่าแรงต่ำ และคนจำนวนมากก็มากองอยู่ในกลุ่มนี้ ในขณะที่คนตรงกลางไม่มีงานให้ทำหรือหายไปจากระบบ และคนชั้นบนก็มีจำนวนอยู่แค่หยิบมือเดียวที่เป็นเจ้าของกิจการ เป็นผู้บริหารระดับสูงที่สะสมความมั่งคั่งมาอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้น จึงไม่แปลกครับที่เราจะเห็นว่า แม้ตัวเลขเศรษฐกิจในภาพรวมจะโตขึ้น แต่มันกระจุกอยู่กับคนแค่ไม่กี่คน ในขณะที่คนจำนวนมากไม่ได้อานิสงค์จากการขยายตัวของเศรษฐกิจเท่าไร
คำถามต่อไปและเป็นคำถามที่ใหญ่กว่าด้วย ก็คือ แล้ว Industry 4.0 ที่เกิดขึ้นหลังปี 2010 นี่ล่ะ เราจะเท่าทันหรือไม่ เพราะเที่ยวนี้ปัญญาประดิษฐ์และหุ่นยนต์มันทำงานแทนได้ทั้งคนระดับกลาง ล่าง และบนแล้วครับ
*************************
(คอมเมนต์จากผม :
รศ. ดร.สุวินัย ภรณวลัย)
ตัวการจริงๆ คือ สังคมไทยและคนไทยจำนวนมากยังไม่สามารถปรับตัวกับ Technology Disruption ได้ อันนี้ต่อให้ ก่นด่า เรียกร้องรัฐบาลให้ช่วย หรือ "เร่งเลือกตั้ง" ก็แทบไม่มีผลอะไรครับ
... ตนต้องเป็นที่พึ่งแห่งตนเท่านั้นครับ งานนี้ จริงๆแล้ว ผลกระทบแบบนี้จาก Technology Disruption โดนกันทั่วโลกนะครับ โดยเฉพาะคนที่ทำงานระดับกลางที่โดนปัญญาประดิษฐ์เข้ามาแทนที่
ตัวทุนใหญ่เองก็ต้องดิ้นรนหนีตาย โดยเป็นตัวการเอาปัญญาประดิษฐ์เข้ามาใช้เองแทนการจ้างคน หรือมุ่งลดจำนวนพนักงานกลางๆในองค์การ ดังที่เห็นกันอยู่ ขณะที่สังคมไทยเราเข้าสู่ สังคมคนสูงวัยเต็มตัวพอดี คนสูงวัยเหล่านี้ ยากที่จะปรับตัวเพิ่มทักษะ 4.0 เพื่อทำงานร่วมกับปัญญาประดิษฐ์ได้ ขณะที่มหาลัยไทยเองยังเอาไม่รอดจาก Technology Disruption นี้เลย นักศึกษาที่จบออกมาจึงหางานได้ยากขึ้น และจำต้องทำงานที่ต่ำกว่าวุฒิ และไม่ตรงกับสาขาที่เรียนมา
เหตุการณ์แบบนี้ ทางเศรษฐศาสตร์การเมืองเรียกว่า "การปรับตัวครั้งใหญ่ของระบบ" (System Adjustment)ซึ่งหลายสิบปีจะเกิดขึ้นสักครั้ง มิหนำซ้ำ ครั้งนี้มันเป็น เมกะเทรนด์ที่เกิดขึ้นทั่วโลกครับ ตอนนี้มีแต่ประเทศจีนเท่านั้นที่มองการณ์ไกลและปรับตัวเร็วที่สุดในโลก โดยเอาหลักสูตรปัญญาประดิษฐ์เข้าไปสอนเด็กๆ ตั้งแต่ชั้นประถมศึกษา
ทางรอดของประเทศไทย จึงน่าจะอยู่ที่การสร้างคน 4.0 โดยครอบครัวต้องเป็นคนบ่มเพาะเยาวชน 4.0 เองเพราะหวังพึ่งระบบการศึกษาไทยที่กำลังล่มสลายทั้งระบบไม่ได้
การเอาแต่ก่นด่าคนรวย หรือทุนใหญ่ หรือการเรียกร้องให้รัฐช่วย ล้วนผิดประเด็นครับ เพราะรัฐเองก็ยังปรับตัวลำบาก ขืนใช้นโยบายประชานิยม อาจล้มละลายทั้งประเทศแบบเวเนซุเอล่า ทุนใหญ่เองก็มุ่งยึดอำนาจรัฐและใช้ประโยชน์จากอำนาจรัฐในการกอบโกยให้รอด เราจะเห็นพันธมิตรระหว่างข้าราชการ-ทหาร-นักการเมือง-นายทุน เกิดขึ้นเป็นขุมพลังทางการเมืองที่ทรงอิทธิพลที่สุดในประเทศนี้อย่างแน่นอนหลังจากนี้โดยฝ่ายขั้วอำนาจคสช. ไม่ใช่ฝ่ายระบอบทักษิณ ส่วนพรรคประชาธิปัตย์น่าจะหลงทาง ไปไม่เป็นภายใต้การนำของมาร์ค อภิสิทธิ์
Thomas Piketty เขียนไว้ใน Capital in the 21st Century บอกว่า ประเทศที่มีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจต่ำกว่าอัตราผลตอบแทนระยะยาวของเงินลงทุนโดยทั่วไป (เฉลี่ย อยู่ที่ 3-4% ต่อปี) การระจายรายได้จะแย่ลงไปเรื่อยๆ เพราะผลประโยชน์ของเศรษฐกิจที่โตขึ้นจะตกไปอยู่ที่เจ้าของทุนเกือบหมด ซึ่งเจ้าของทุนก็คือคนที่รวยกว่านั่นเอง คนรวยก็จะยิ่งรวยขึ้น ในขณะที่คนจนก็จะอยู่ที่เดิม คนชั้นกลางส่วนใหญ่ก็จะถูกบีบให้กลายเป็นคนจนไปทีละนิดทุกปี อันนี้เป็นธรรมชาติของระบบทุนนิยม
Thai economy: ทำไมเศรษฐกิจโตตั้ง 4.8% แล้วเรารู้สึกว่า “ไม่ใช่อ่ะ”/ โดย ผศ.ดร.ปิติ ศรีแสงนาม 29/5/2561 สรายุทธ กันหลง
https://ppantip.com/topic/37715529
Cr: Apibarn A.
ไปอ่านข้างล่างครับ จะเห็นว่าตรงกับ "รวยกระจุก จนกระจาย" การพัฒนาท้องถิ่นของไทยจึงเกิดได้ยาก..
.. สรายุทธ
ทำไมเศรษฐกิจโตตั้ง 4.8% แล้วเรารู้สึกว่า “ไม่ใช่อ่ะ”/
โดย ผศ.ดร.ปิติ ศรีแสงนาม คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ตัวเลขล่าสุดโดยสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แจ้งว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 1 ปี 2561 ขยายตัวที่อัตรา 4.8% สูงที่สุดในรอบ 5 ปี และยังปรับตัวเลขคาดการณ์ว่าปีนี้เศรษฐกิจไทยน่าจะโตได้ถึง 4.2-4.7% แต่คนไทยจำนวนมากกลับตะโกนอยู่ในใจดังๆ ว่า เศรษฐกิจดีจริงหรือ ? ทำเงินในกระเป๋า ยังมีเท่าเดิมหรือบางทีลดลงด้วยซ้ำ? ตัวเลขหลอกรึเปล่า ?
ผมยืนยันครับว่าตัวเลขเหล่านี้เป็นตัวเลขจริงครับ แต่มันสะท้อนความจริงหรือไม่ เป็นอีกเรื่องครับ ทั้งนี้เพราะมูลค่าผลผลิตมวลรวมภายในประเทศเกิดขึ้นจากการรวบรวมมูลค่าผลผลิตที่เกิดขึ้นภายในประเทศ เอาเฉพาะที่อยู่ในระบบเศรษฐกิจที่เป็นทางการ ถูกต้องตามกฎหมาย มีการจดบันทึก ในระยะเวลาหนึ่งๆ ในที่นี้ก็คือไตรมาสที่ 1 ปี 2561 และบันทึกในระดับราคาที่วางจำหน่ายในท้องตลาด ณ ระดับราคาในช่วงเวลานั้นๆ นั่นทำให้บางครั้งตัวเลขที่เกิดขึ้นกับมูลค่าจริงๆ อาจจะไม่ถูกต้องตรงกัน
แต่ผมคิดว่า ทาง สศช. เองก็มีความพยายามที่จะปรับตัวเลขมูลค่า GDP นี้ให้ถูกต้องสะท้อนความเป็นจริงให้มากที่สุด ซึ่งเมื่อนักเศรษฐศาสตร์ทำงานร่วมกับนักสถิติ เรื่องเหล่านี้ก็สามารถทำให้ถูกต้องตรงตามความเป็นจริงได้ครับ หากแต่ที่มันยังค้านความรู้สึกของพวกเราก็เป็นเพราะ มันเป็นตัวเลขที่มองในระดับมหภาคครับ คือมองมูลค่าผลผลิต มองรายได้ และรายจ่ายของคนทั้งประเทศ ซึ่งในความเป็นจริงมันไม่ได้สะท้อนภาพของการกระจายรายได้ที่ไม่เท่าเทียมกันครับ
รายได้ของทั้งประเทศที่ขยายตัว 4.8% ไม่ได้แปลว่า ทุกคนมีรายได้เพิ่มขึ้น 4.8% เท่ากันหมด แบบหน้ากระดานเรียงหนึ่ง หากแต่อาจจะมีคนบางกลุ่มรวยขึ้นอย่างมากมายมหาศาล ในขณะที่คนอีกจำนวนหนึ่งจนลงก็ได้ แต่โดยเฉลี่ยแล้วรายได้ในภายรวมมันสูงขึ้น 4.8% ก็เท่านั้นเอง
ซึ่งในกรณีของไทยนั้น การกระจายตัวของรายได้มันไม่เป็นธรรมอย่างยิ่งครับ ปัญหาการกระจายรายได้ ในปี 2016 ประเทศไทยถูกจัดอยู่ในลำดับที่ 3 ของประเทศ ที่มีการกระจายรายได้ที่ไม่เป็นธรรมมากที่สุดในโลก รองจากรัสเซีย และอินเดีย (Bangkok Post, 2016) และจากข้อมูลล่าสุดของ Forbes และ Credit Suisse ประมาณการณ์ทรัพย์สินรวมของประเทศไทยอยู่ที่ 434 พันล้าน ดอลลาร์สหรัฐ พบว่า คนไทยที่อยู่ในวัยผู้ใหญ่ที่ร่ำรวยมากที่สุดเพียงร้อยละ 1 (เทียบเท่ากับ 521,850 คน) ครอบครองทรัพย์สินถึงร้อยละ 56.2 ของทั้งประเทศ และเมื่อพิจารณาที่ร้อยละ 10 ของคนไทย วัยผู้ใหญ่ที่ร่ำรวยมากที่สุด คนกลุ่มนี้ ครอบครองทรัพย์สินร้อยละ 78.7 ของประเทศ หรือมูลค่ากว่า 341.55 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่ประชากรกว่าร้อยละ 90 หรือ 47 ล้านคน ครอบครองทรัพย์สินเพียงร้อยละ 21.3 หรือเพียง 92.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น (Credit Suisse, 2017)
และที่น่าตกใจมากกว่านั้นคือ ความมั่งคั่งกว่าร้อยละ 21.84 หรือประมาณ 94.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มคนเพียง 5 ตระกูลเท่านั้น ได้แก่
1.ตระกูลเจียรวนนท์ กลุ่มธุรกิจเจริญโภคภัณฑ์ (CP) ครอบครอง ทรัพย์สินประมาณ 30 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
2.ตระกูลจิราธิวัฒน์ กลุ่มเซ็นทรัล ครอบครองทรัพย์สินประมาณ 21.2 พันล้าน ดอลลาร์สหรัฐ
3.ตระกูลอยู่วิทยา กลุ่มกระทิงแดง ครอบครองทรัพย์สินประมาณ 21 พันล้าน ดอลลาร์สหรัฐ
4.ตระกูลสิริวัฒนภักดี ครอบครองทรัพย์สินประมาณ 17.4 พันล้าน ดอลลาร์สหรัฐ และ
5.ตระกูลศรีวัฒนประภา กลุ่ม King Power ครอบครองทรัพย์สินประมาณ 5.2 พันล้าน ดอลลาร์สหรัฐ
ซึ่งนั่นหมายความว่า คนไทยจำนวนกว่า 47 ล้านคน มีทรัพย์สิน รวมกันไม่เท่ากับสมาชิกของ 5 ตระกูล ที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศ (Forbes Thailand, 2018)
คำถามที่ตามมา คือ แล้วทำไมการกระจายรายได้ของไทยจึงเลวร้ายเช่นนี้ แน่นอนมีหลายสาเหตุครับ บางท่านอาจจะโทษเรื่องของนโยบายรัฐไทยที่เอาใจนายทุน บางท่านอาจจะโทษเรื่องของคอรับชั่นฉ้อราษฎรบังหลวง บางท่านอาจจะโทษไปถึงโครงสร้างของระบบทุนนิยม ฯลฯ แต่สำหรับผม ผมคิดว่าตัวการสำคัญที่มีผลไม่มากก็น้อยคือ ความที่สังคมไทยไม่สามารถปรับตัวให้เท่าทันกับ Technology Disruption ครับ
ตอนนี้เราพูดถึงเยอะมากในเรื่องของ Industry 4.0 ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงปี 2009-2010 แต่ก่อนหน้า 4.0 เรากำลังพูดถึงการปฏิวัติอุตสาหกรรมรอบที่ 3 หรือ Industry 3.0 ที่เกิดขึ้นในทศวรรษ 1970-1980 ที่คอมพิวเตอร์และระบบออร์โตเมชั่นเริ่มถูกนำมาใช้แทนกำลังคนในภาคการผลิตครับ ช่วงแรกๆ คนก็กลัวกันครับว่า คอมพิวเตอร์จะมาแย่งงานคนระดับล่าง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงก็คือ ในตอนนั้นคอมพิวเตอร์ยังทำความสะอาดบ้าน ยังขับรถส่งสินค้า ยังทำสวน ยังล้างห้องน้ำไม่ได้ครับ คอมพิวเตอร์ ไม่ได้มาทดแทนคนงานระดับล่างครับ หากแต่มันมาทดแทนคนงานในระดับกลาง
จากทศวรรษ 1970 – 2010 เป็นเวลากว่า 40 ปีครับ ที่คอมพิวเตอร์มาแทนคนงานระดับกลางที่ทำงานประจำแบบ Routine ไม่ว่าจะเป็นงานเสมียน งานเลขานุการ งานจองตั๋ว งานนั่งโต๊ะต่างๆ สำนักงานสถาปนิกที่เคยต้องใช้ Draftsman เป็นร้อยๆ คนนั่งเขียนแบบ ถูกแทนที่ด้วย AutoCAD เพียงระบบเดียวที่ทำให้ดีไซเนอร์หนึ่งคนทำงานแทนคนงานที่จบอาชีวะเป็นร้อยๆ คนได้ ลักษณะงานแบบนี้เกิดขึ้นทั่วทั้งประเทศ และทั่วทั้งโลกครับ
แน่นอนคนตรงกลางซึ่งมีจำนวนมากที่สุด ถูกคอมพิวเตอร์แย่งงาน คำถามคือ พวกเขามีทางไปทางใดได้บ้าง คำตอบคือมี 2 ทางครับ ทางเลือกแรกคือเดินขึ้นชั้นบนพัฒนาตนเองจนเป็นผู้ประกอบวิชาชีพชั้นสูง เป็นผู้บริหาร และทางเลือกที่สองคือเดินลงข้างล่างไปทำงานแข่งกับพวกที่ด้อยฝีมือในลักษณะของการทำงานต่ำระดับ (Underemployment) ซึ่ง
แน่นอนว่า การเดินลงข้างล่างง่ายและสะดวกมากกว่าครับ
ทำให้ตลอด 30-40 ปี ที่ผ่านมาเราเห็นงานจำนวนมากที่ใช้ทักษะระดับ ม.ปลาย แต่เราจ้างคนจบป.ตรี มาทำ และเราเป็นคน จบ ป.โท จำนวนมาก มาทำงานที่เอาจริงๆ เด็กจบป.ตรีก็ทำได้ นี่คือการทำงานต่ำระดับ และแน่นอน เมื่อทำงานในลักษณะนี้ พวกเขาก็จะได้ค่าแรงต่ำ และคนจำนวนมากก็มากองอยู่ในกลุ่มนี้ ในขณะที่คนตรงกลางไม่มีงานให้ทำหรือหายไปจากระบบ และคนชั้นบนก็มีจำนวนอยู่แค่หยิบมือเดียวที่เป็นเจ้าของกิจการ เป็นผู้บริหารระดับสูงที่สะสมความมั่งคั่งมาอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้น จึงไม่แปลกครับที่เราจะเห็นว่า แม้ตัวเลขเศรษฐกิจในภาพรวมจะโตขึ้น แต่มันกระจุกอยู่กับคนแค่ไม่กี่คน ในขณะที่คนจำนวนมากไม่ได้อานิสงค์จากการขยายตัวของเศรษฐกิจเท่าไร
คำถามต่อไปและเป็นคำถามที่ใหญ่กว่าด้วย ก็คือ แล้ว Industry 4.0 ที่เกิดขึ้นหลังปี 2010 นี่ล่ะ เราจะเท่าทันหรือไม่ เพราะเที่ยวนี้ปัญญาประดิษฐ์และหุ่นยนต์มันทำงานแทนได้ทั้งคนระดับกลาง ล่าง และบนแล้วครับ
*************************
(คอมเมนต์จากผม :
รศ. ดร.สุวินัย ภรณวลัย)
ตัวการจริงๆ คือ สังคมไทยและคนไทยจำนวนมากยังไม่สามารถปรับตัวกับ Technology Disruption ได้ อันนี้ต่อให้ ก่นด่า เรียกร้องรัฐบาลให้ช่วย หรือ "เร่งเลือกตั้ง" ก็แทบไม่มีผลอะไรครับ
... ตนต้องเป็นที่พึ่งแห่งตนเท่านั้นครับ งานนี้ จริงๆแล้ว ผลกระทบแบบนี้จาก Technology Disruption โดนกันทั่วโลกนะครับ โดยเฉพาะคนที่ทำงานระดับกลางที่โดนปัญญาประดิษฐ์เข้ามาแทนที่
ตัวทุนใหญ่เองก็ต้องดิ้นรนหนีตาย โดยเป็นตัวการเอาปัญญาประดิษฐ์เข้ามาใช้เองแทนการจ้างคน หรือมุ่งลดจำนวนพนักงานกลางๆในองค์การ ดังที่เห็นกันอยู่ ขณะที่สังคมไทยเราเข้าสู่ สังคมคนสูงวัยเต็มตัวพอดี คนสูงวัยเหล่านี้ ยากที่จะปรับตัวเพิ่มทักษะ 4.0 เพื่อทำงานร่วมกับปัญญาประดิษฐ์ได้ ขณะที่มหาลัยไทยเองยังเอาไม่รอดจาก Technology Disruption นี้เลย นักศึกษาที่จบออกมาจึงหางานได้ยากขึ้น และจำต้องทำงานที่ต่ำกว่าวุฒิ และไม่ตรงกับสาขาที่เรียนมา
เหตุการณ์แบบนี้ ทางเศรษฐศาสตร์การเมืองเรียกว่า "การปรับตัวครั้งใหญ่ของระบบ" (System Adjustment)ซึ่งหลายสิบปีจะเกิดขึ้นสักครั้ง มิหนำซ้ำ ครั้งนี้มันเป็น เมกะเทรนด์ที่เกิดขึ้นทั่วโลกครับ ตอนนี้มีแต่ประเทศจีนเท่านั้นที่มองการณ์ไกลและปรับตัวเร็วที่สุดในโลก โดยเอาหลักสูตรปัญญาประดิษฐ์เข้าไปสอนเด็กๆ ตั้งแต่ชั้นประถมศึกษา
ทางรอดของประเทศไทย จึงน่าจะอยู่ที่การสร้างคน 4.0 โดยครอบครัวต้องเป็นคนบ่มเพาะเยาวชน 4.0 เองเพราะหวังพึ่งระบบการศึกษาไทยที่กำลังล่มสลายทั้งระบบไม่ได้
การเอาแต่ก่นด่าคนรวย หรือทุนใหญ่ หรือการเรียกร้องให้รัฐช่วย ล้วนผิดประเด็นครับ เพราะรัฐเองก็ยังปรับตัวลำบาก ขืนใช้นโยบายประชานิยม อาจล้มละลายทั้งประเทศแบบเวเนซุเอล่า ทุนใหญ่เองก็มุ่งยึดอำนาจรัฐและใช้ประโยชน์จากอำนาจรัฐในการกอบโกยให้รอด เราจะเห็นพันธมิตรระหว่างข้าราชการ-ทหาร-นักการเมือง-นายทุน เกิดขึ้นเป็นขุมพลังทางการเมืองที่ทรงอิทธิพลที่สุดในประเทศนี้อย่างแน่นอนหลังจากนี้โดยฝ่ายขั้วอำนาจคสช. ไม่ใช่ฝ่ายระบอบทักษิณ ส่วนพรรคประชาธิปัตย์น่าจะหลงทาง ไปไม่เป็นภายใต้การนำของมาร์ค อภิสิทธิ์
Thomas Piketty เขียนไว้ใน Capital in the 21st Century บอกว่า ประเทศที่มีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจต่ำกว่าอัตราผลตอบแทนระยะยาวของเงินลงทุนโดยทั่วไป (เฉลี่ย อยู่ที่ 3-4% ต่อปี) การระจายรายได้จะแย่ลงไปเรื่อยๆ เพราะผลประโยชน์ของเศรษฐกิจที่โตขึ้นจะตกไปอยู่ที่เจ้าของทุนเกือบหมด ซึ่งเจ้าของทุนก็คือคนที่รวยกว่านั่นเอง คนรวยก็จะยิ่งรวยขึ้น ในขณะที่คนจนก็จะอยู่ที่เดิม คนชั้นกลางส่วนใหญ่ก็จะถูกบีบให้กลายเป็นคนจนไปทีละนิดทุกปี อันนี้เป็นธรรมชาติของระบบทุนนิยม