คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 6
จัดเล็กๆ เหมือนกันค่ะ ...วันแต่งงาน คือวันที่จนที่สุด
งานเราพอจบงาน มาเปิดซองวันหลัง กำไรเป็นแสน
(แอบนึกสงสารคนใส่ซองนิดๆ น่าจะเลือกโต๊ะจีนที่แพงขึ้นมาหน่อย เพราะไม่คิดว่าญาติๆจะใส่หนักขนาดนี้)
อยู่กันมา เป็นสิบๆปี (ไม่อยากบอกจำนวนปีเด๋วจะมีการเดาอายุคุณป้าได้55) ไม่เคยทะเลาะกันเลย
แหวนแต่งงาน เพชรเท่าขี้ตา ยังเก็บเอาไว้ดูเสมอ ไว้เตือนใจว่าเราเริ่มจากตรงไหน
ทุกวันนี้มีมากกว่านั้น จนไม่อาจจะประเมินได้ ทั้งทรัพย์สินและความรักความเข้าใจ
วันหนึ่ง โจรขึ้นบ้าน สิ่งเดียวที่รีบหาคือแหวนแต่งงาน โจรมันก้ไม่เอาไป นับเป็นเรื่องกรุณามาก
อย่ากังวลไปเลยค่ะ สำหรับเรา งานแต่งงานเป็นเรื่องสมมติ ที่จัดขึ้นเพื่อให้เกียรติพ่อแม่ของเจ้าสาว (ถ้าไม่มีพ่อแม่เราคงไม่จัดงานแน่ๆ)
และเป็นวันดีๆ ที่เอาไว้นึกถึง ว่าผ่านไปอีกปีๆๆๆ แล้วนะตา ..แค่นั้น
งานเราพอจบงาน มาเปิดซองวันหลัง กำไรเป็นแสน
(แอบนึกสงสารคนใส่ซองนิดๆ น่าจะเลือกโต๊ะจีนที่แพงขึ้นมาหน่อย เพราะไม่คิดว่าญาติๆจะใส่หนักขนาดนี้)
อยู่กันมา เป็นสิบๆปี (ไม่อยากบอกจำนวนปีเด๋วจะมีการเดาอายุคุณป้าได้55) ไม่เคยทะเลาะกันเลย
แหวนแต่งงาน เพชรเท่าขี้ตา ยังเก็บเอาไว้ดูเสมอ ไว้เตือนใจว่าเราเริ่มจากตรงไหน
ทุกวันนี้มีมากกว่านั้น จนไม่อาจจะประเมินได้ ทั้งทรัพย์สินและความรักความเข้าใจ
วันหนึ่ง โจรขึ้นบ้าน สิ่งเดียวที่รีบหาคือแหวนแต่งงาน โจรมันก้ไม่เอาไป นับเป็นเรื่องกรุณามาก
อย่ากังวลไปเลยค่ะ สำหรับเรา งานแต่งงานเป็นเรื่องสมมติ ที่จัดขึ้นเพื่อให้เกียรติพ่อแม่ของเจ้าสาว (ถ้าไม่มีพ่อแม่เราคงไม่จัดงานแน่ๆ)
และเป็นวันดีๆ ที่เอาไว้นึกถึง ว่าผ่านไปอีกปีๆๆๆ แล้วนะตา ..แค่นั้น
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 15
เมื่อ อาทิตย์ที่แล้วเพิ่งด่าเพื่อนสนิทไป
พอดีนัดทานข้าวกับเพื่อนสนิทซึ่งเป็นผู้ชาย ตอนกำลังทาน เพื่อนคนนี้ก็เอ่ยปากว่า สิ้นปีจะแต่งงานที่บ้านผู้หญิง อยู่ภาคใต้ จะไปมั๊ย
เรารีบตอบตกลงว่า ไปดิ เพื่อนสนิทแต่งทั้งที่ ไกลก็ไป (ยกเว้น ต่างประเทศไกลๆ ไม่ไป เพราะไม่มีตัง 5555)
เพื่อนเราตอบกลับมาว่า
"จริงๆ ไม่อยากชวนเลย อาย งานบ้านๆ จัดเล็กๆ ข้าวหม้อ แกงหม้อ ผูกข้อไม้ข้อมือ ไม่กล้าชวนใคร"
หืมมมมมมมมมมมมมมมม
เราฟังเสร็จ ก็สวดมันไปชุดใหญ่มากๆๆๆๆๆๆๆๆๆ สวดจนมันยกมือไหว้ ขอร้องให้หยุด
มันเป็นวันที่น่ายินดีๆ ของคน 2 คน ซึ่งสิ่งสำคัญมากกว่าการจัดงานใหญ่โต คือ "ความรัก" ที่มีให้กัน ทำไมต้องอาย ทำไมต้องรู้สึกต่ำต้อยด้อยค่า
อย่าแบกค่านิยมของสังคมไว้จนเกินตัว เกินกำลัง จนลืมนึกถึงแก่นสำคัญของงานว่าคืออะไร
ส่วนตัวเรายังคิดว่า ถ้ามีโอกาสจัด จะจัดให้เล็กที่สุด ทำบุญเลี้ยงพระ ตอนเช้าเฉพาะญาติๆ ตอนเย็นเลี้ยงเล็กๆกับเพื่อนๆ แค่นั้นพอ จะสิ้นเปลืองเงินให้เป็นหนี้เป็นสินทำไม เก็บเงินไว้สร้างอนาคตดีกว่า
พอดีนัดทานข้าวกับเพื่อนสนิทซึ่งเป็นผู้ชาย ตอนกำลังทาน เพื่อนคนนี้ก็เอ่ยปากว่า สิ้นปีจะแต่งงานที่บ้านผู้หญิง อยู่ภาคใต้ จะไปมั๊ย
เรารีบตอบตกลงว่า ไปดิ เพื่อนสนิทแต่งทั้งที่ ไกลก็ไป (ยกเว้น ต่างประเทศไกลๆ ไม่ไป เพราะไม่มีตัง 5555)
เพื่อนเราตอบกลับมาว่า
"จริงๆ ไม่อยากชวนเลย อาย งานบ้านๆ จัดเล็กๆ ข้าวหม้อ แกงหม้อ ผูกข้อไม้ข้อมือ ไม่กล้าชวนใคร"
หืมมมมมมมมมมมมมมมม
เราฟังเสร็จ ก็สวดมันไปชุดใหญ่มากๆๆๆๆๆๆๆๆๆ สวดจนมันยกมือไหว้ ขอร้องให้หยุด
มันเป็นวันที่น่ายินดีๆ ของคน 2 คน ซึ่งสิ่งสำคัญมากกว่าการจัดงานใหญ่โต คือ "ความรัก" ที่มีให้กัน ทำไมต้องอาย ทำไมต้องรู้สึกต่ำต้อยด้อยค่า
อย่าแบกค่านิยมของสังคมไว้จนเกินตัว เกินกำลัง จนลืมนึกถึงแก่นสำคัญของงานว่าคืออะไร
ส่วนตัวเรายังคิดว่า ถ้ามีโอกาสจัด จะจัดให้เล็กที่สุด ทำบุญเลี้ยงพระ ตอนเช้าเฉพาะญาติๆ ตอนเย็นเลี้ยงเล็กๆกับเพื่อนๆ แค่นั้นพอ จะสิ้นเปลืองเงินให้เป็นหนี้เป็นสินทำไม เก็บเงินไว้สร้างอนาคตดีกว่า
แสดงความคิดเห็น
คุณอายไหม ถ้าการแต่งงานของคุณไม่ใหญ่โตเหมือนคนอื่นๆ (เรื่องจริงที่อยากบอกต่อ)
คือเรากับแฟน คบกันได้มา ปีกว่าๆได้ค่ะ เนื่องจากเป็นคนหมู่บ้านเดียวกัน การคบหาดูใจก็มีคนคอยแนะนำว่า คนนี้เขาดี เขาขยัน ถ้าคบก็จะดีนะ เราเลยคบหาดูใจกัน เนื่องจากว่าแม่เราป่วย เราเลยต้องลาออกจากงานที่ทำ(กรุงเทพ) มาอยู่บ้าน (ภาคเหนือ) ณ ตอนนั้นก็ตันค่ะ ไม่รู้จะทำงานอะไร เนา เลยมาช่วยเรา ชวนเราไปทำงานด้วย แรกๆเราก็ไม่ค่อยชอบงานนี้เท่าไหร่ เขาก็พาเราไปโน่น มานี่ จนเริ่มทำงานคล่อง เราก็ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด
จนถึงวันหนึ่งที่เราตัดสินใจเช่าตึกเพื่อเปิดร้านเป็นของตัวเอง เนื่องจากว่าเราต้องย้ายมานอนที่ร้านเลยต้องหาทางออกด้วยการหมั้น จึงพาพ่อแม่ทั้ง 2 ฝ่ายมาคุยกัน ด้วยทางฝั่งแฟนฐานะก็ค่อนข้างจน ทางฝั่งเราก็ค่อนข้างมีเงินมีทอง พ่อฝั่งเราเลยบอกว่าก็แต่งใบแบบเมืองๆไปเลย(แต่งแบบคนเหนือ) คือ มัดมือสู่ขวัญพาเข้าหอ เรื่องโต๊ะนั่ง สถานที่ การเลี้ยงแขก เดี๋ยวพ่อฝั่งเราจัดการเอง ส่วนเรื่องอาหารการกินให้ฝั่งแฟนดูแล ซึ่งก็ตกลงกัน
พอถึงวันแต่ง
เราทั้ง 2 ก็มัวแต่วุ่นกับร้านเครียงานเครียเอกสารต่างๆมากมาย บ่ายเราก็กลับบ้านมา คือทุกอย่างเกือบจะเสร็จเพราะพ่อแม่เรา พ่อแม่แฟน และญาติๆมาช่วยงานกันจนเต็มบ้าน เราก็รีบไปอาบน้ำแต่งตัว แฟนก็ไปอาบน้ำแต่งตัวที่บ้านเขา พอถึงฤกษ์แต่ง ชุดก็ชุดพื้นบ้านค่ะ เสื้อเราใส่เหมือนกันคือชุดม่อฮ่อมสีบานเย็น จะออกชุดพื้นบ้านหน่อยๆ จัดวางสร้อย แหวน เงิน ทองเสร็จสรรพ ก็มัดมือสู่ขวัญ แทบจะไม่ได้เชิญใครเลย แต่ก็มากันจนล้นบ้าน หลังจากมัดมือสู่ขวัญเสร็จ ทางผู้ใหญ่ก็พาขึ้นห้องหอ รับพรพ่อแม่ทั้ง2ฝ่าย ก็เป็นอันเสร็จพิธี ซึ่งเรียบง่ายและรวบรัดมาก
เสียงดนตรี ไม่มีค่ะ เราเน้นพูดคุย ของชำร่วยไม่มีค่ะเพราะไม่มีเวลาเตรียมเลย เงินที่มีก็เอาไปลงทุนกับร้านจนแทบจะหมด
รายจ่ายสรุปรวมวันนั้น คือ หมื่นต้นๆค่ะ เรื่องจริงที่ไม่ได้โกหก เสียคือเหล้าเบียร์ และค่าอาหารบางส่วนเท่านั้น เพราะอาหารต่างๆผักต่างๆก็มีอยู่หมดแล้วแทบจะไม่ต้องไปหาที่ไหนมันเลยทำให้งบเราไม่บานปลาย
แฟนถาม
อายไหม? ที่เราไม่ได้จัดงานแต่งที่ใหญ่โต
อายไหม? ที่เราไม่มีการ์ดเชิญไม่มีของชำร่วยเหมือนใครเขา
อายไหม? ที่แต่งกับคนจนๆอย่างเขา
คำตอบเราคือ ไม่ค่ะ เราไม่อาย ถึงแม่ว่างานแต่งงานของเราทั้ง 2 จะไม่หรูหรา ใหญ่โตเหมือนใคร เเต่เราดีใจที่ญาติๆมาช่วยมากมายขนาดนี้ ทั้งเพื่อน พี่ น้อง แม้เราจะได้ได้เอ่ยปากชวน เพียงแค่ส่งข้อความให้เขาก็ยินดีมาหาเรา ทุกคนช่วยงานเราทั้ง2ทำให้ผ่านไปด้วยดี เรารูสึกดีใจมากค่ะ รู้สึกขอบคุณทุกๆคน ขอบคุณที่มาช่วยงาน ขอบคุณในคำอวยพร ขอบคุณในคำแนะนำ ขอบคุณมากๆจริงๆ
การแต่งงาน ถ้าคน 2 คนรักกันจริง แม้จะไม่มีงานแต่งเลย เขาก็รักกันและอยู่ด้วยกันมาจนถึงปัจจุบัน ตัวอย่างหลายคู่มากค่ะ
จนถึงตอนนี้ ก็ เกือนจะ 2 ปีแล้วค่ะที่เราอยู่ด้วยกันมา มีปัญหาเราก็คอยจับมือและคอยให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ทะเลาะกันบ้าง แต่เราก็ยอมที่จะให้อภัย กล้าตอบแบบมั่นใจเลยค่ะ เราไม่อายเลย ที่เราได้เจอกับผู้ชายคนนี้ แม้เขาจะไม่ร่ำรวยเหมือนใครเขา เราก็รักเขาค่ะ และไม่เคยคิดจะเสียใจเลยที่มีเขาเป็นคู่ชีวิต
อย่าอายค่ะถ้าการแต่งงานมันจะมีคำนินทา ขอแค่เราเชื่อมั่นในความรักของเรา แล้วเราจะผ่านเรื่องนั้นมาได้