คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 14
ดูก่อนอานนท์! ภาวนา ย่อมมีเพราะการตั้งจิตไว้ อย่างนี้ แล.
[ หมายเหตุผู้รวบรวม : ผู้ศึกษาพึงสังเกตให้เห็นว่า
แม้การแก้ไขอุปสรรคแห่งการเจริญสติ ปัฏฐาน ๔
ซึ่งเป็นธรรมอันเอกอันสูงสุด ก็ยังต้องใช้วิธีการที่เรียกว่า
ปฏิจจสมุปบาท ดังที่ปรากฏ อยู่ในพระบาลีนี้ ซึ่งมีใจความสำคัญว่า
นิมิตอันเป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใสนั้น
สามารถ กำจัดนิวรณ์หรืออุปสรรคของสมาธิได้,
ข้อนี้เป็นการชี้ให้เห็นวิธีการกำจัดนิวรณ์โดยวิธีที่ละเอียด
ลึกซึ้งเกินกว่าที่ทราบ หรือสอน ๆ กันอยู่.]
(อัมพปาลิวรรค มหาวาร.สํ. ๑๙/๒๐๗/๗๑๖, ตรัสแก่พระอานนท์ ที่เชตวัน.
[ หมายเหตุผู้รวบรวม : ผู้ศึกษาพึงสังเกตให้เห็นว่า
แม้การแก้ไขอุปสรรคแห่งการเจริญสติ ปัฏฐาน ๔
ซึ่งเป็นธรรมอันเอกอันสูงสุด ก็ยังต้องใช้วิธีการที่เรียกว่า
ปฏิจจสมุปบาท ดังที่ปรากฏ อยู่ในพระบาลีนี้ ซึ่งมีใจความสำคัญว่า
นิมิตอันเป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใสนั้น
สามารถ กำจัดนิวรณ์หรืออุปสรรคของสมาธิได้,
ข้อนี้เป็นการชี้ให้เห็นวิธีการกำจัดนิวรณ์โดยวิธีที่ละเอียด
ลึกซึ้งเกินกว่าที่ทราบ หรือสอน ๆ กันอยู่.]
(อัมพปาลิวรรค มหาวาร.สํ. ๑๙/๒๐๗/๗๑๖, ตรัสแก่พระอานนท์ ที่เชตวัน.
แสดงความคิดเห็น
นิมิต เป็นครูของผู้ปฏิบัติธรรม
จิตเริ่มเป็นฌาน นิมิต จึงจะเกิดได้
จืตมีสติที่นิ่ง จึงเกิดนิมิต
นิมิตเป็นประโยชน์ เป็นครู อันดับแรกของผู้ปฏิบัติธรรม
นิมิตมีทั้งที่เป็นรูปธรรม และเป็นนามธรรม
ถ้าตนปฏิบัติไม่เห็นนิมิต วิปัสสนาญาณไม่เกิด
ไม่เห็นถึงการแยกรูป นาม
การเห็นรูป นามต้องอาศัยนิมิต
จะเกิดญาณกำหนดแยกนามรูปได้
ญาณจับปัจจัยแห่งนามรูป ได้
นิมิตเกิดตนต้องรู้ว่านิมิตเกิดเป็นอย่างไร
รู้แล้วต้องวางให้ลง อย่าไปหลงนิมิต
ให้รู้ว่านิมิตเป็นอนัตตา เป็นไตรลักษณ์ เป็นอนิจจัง เป็นทุกข์
จะรู้ญาณที่เห็นสังขตลักษณะคือความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปของนามรูป และเริ่มเห็นไตรลักษณ์
จะเห็นญาณตามเห็นความเกิดและความดับแห่งนามรูป
เวลาเห็นนิมิต เป็นของน่ากลัว เกิดกลัว จะเกิด
ญาณอันมองเห็นสังขารปรากฏเป็นของน่ากลัว ไม่แน่นอน ดุจกลัวต่อมรณะที่จะเกิด
และนิมิตที่ใจคือเกิดความเบื่อหน่ายคลายกำหนัด
วิปัสสนาญาณอาศัยนิมิตทั้งหมด
เป็นนิมิต รูปธรรมนามธรรม
ใครไม่รู้จักนิมิต พอนิมิตเกิดก็ไปบังคับจิตไม่ให้มีนิมิต ก็เลยหลงทาง
เช่นคนได้ยินเสียงก็ไปบังคับไม่ให้ได้ยิน ก็เลยไม่รู้ว่าจิตได้ยินเรื่องอะไร
ตาเห็นก็นิมิตก็เกิดกลัวก็ไปบังคับจิตไม่ให้เห็น ก็เลยไม่เกิดวิปัสสนา
จมูกได้กลิ่น ก็ไปบังคับไม่ให้ได้กลิ่น ก็ไปขวางสติปัฏฐาน4
กายเกิดสั่น ไหว ขนลุกหนาว ร้อน ก็ไปนึกบังคับจิตไม่ให้เกิดแบบนั้น ก็เลยหลง
สติปัฏฐาน4 กาย เวทนา จิต ธรรม เวลาทำสมาธิ เกิดนิมิตอะไรให้ศึกษาธรรมนั้นๆ
อย่างไปขวาง อย่าไปปรุงแต่จิต ทำให้เกิดอัตตา เกิดสังขารธรรมขึ้นมา
เวลานั่งสมาธิ
กายหนาว ร้อน สั่นไหว โยกไปมา ก็รู้
กายเกิดเวทนาก็รู้
เห็นนิมิต แล้วกลัว ก็รู้ในธรรมารมณ์
จิตเกิดความฟุ้งซ่านก็รู้ เกิดนิวรณธรรมก็รู้
อย่าไปนึก ว่าไม่เอาๆๆๆๆ
ไม่ดูๆๆๆๆๆ ไม่เห็นๆๆๆๆๆ กลัวๆๆๆๆ
ให้ดูเฉยๆๆ แล้วศึกษาจิตตนว่าเกิดอารมณ์อะไรที่เห็นนิมิตเหล่านั้น
ให้เห็นเป็นขณะจิต เป็นปรมัติอารมณ์คือ มีอารมณ์ปัจจุบันขึ้นมา
เราก็ดูอารมณ์นั้น อย่าไปตามนิมิต อย่าไปหลงนิมิต
นิมิตที่ล่วงไปเป็นอดีต ก็ปล่อยวางไปอย่าไปนึกขึ้นมา
ไปนึกขึ้นมานิมิตนั้นจะเป็นอัตตาทันที เกิดการปรุงแต่ง
เป็นสังขารธรรม สังขารขันธ์ทำงานทันที
ก็จะทำให้เกิดอนาคตธรรม ไม่เป็นปัจจุบันธรรม