.....คือพุทธอิสระ..../วัชรานนท์

https://ppantip.com/topic/36237219  "ความโอหังของพุทธอิสระ"

พุทธอิสระโพสต์ลงในเฟสบุ๊คของตัวเองวันที่ ๑๖ เมื่อสองวันที่ผ่านมาว่า “ไม่ใช่กิจสงฆ์”  คือเขาประเดิมยกอ้าง “พุทธกิจ” ของพระพุทธเจ้ามาก่อนเป็นอันดับแรก(เข้าใจเล่น)  แล้วตามด้วย “กิจ” ของเหล่าพระสงฆ์ดังๆ ที่มีคนนับถือยกย่องประมาณว่าเป็น “ฮีโร่” ในอดีตเช่น พระวันรัต ครูบาศรีวิชัย สมเด็จพุฒาจารย์ (โต พรมรังสี) หรืออาจารย์ธรรมโชติแห่งบ้านบางระจัน   พุทธอิสระยกเอาวีรกรรมของท่านเหล่านั้นขึ้นมาแล้วตบท้ายในเชิงคำถามว่า “นี่ไม่ใช่กิจสงฆ์”   เพื่อที่จะโยงเข้าหาการกระทำของตัวเองในอดีตและปัจจุบัน ....ได้อ่านแล้วก็เกิดความรู้สึกว่าเห็นจะเฉยไม่ได้  https://www.facebook.com/buddha.isara/posts/10155051249228446


การกล่าวอ้างว่าพระพุทธเจ้าให้พระโมคัลลานะไปทำน้ำพระพุทธมนต์ไปประพรมให้ชาวโกสัมพีนี่....เป็นการกล่าวหาที่สาหัสสากรรมากๆ  คือนอกจากจะกล่าวหาพระพุทธเจ้าแล้ว  ตัวพุทธอิสระเองก็เปลือยกายตัวเองล่อนจ้อนให้เห็นหมด  บ่งชี้ให้เห็นถึงการเป็นพระแบบปลอมๆ ของพุทธอิสระได้อย่างเด่นชัด  ทั้งคัมภีร์ไม่เคยศึกษา   วันๆ เอาแต่เรื่อง "การเมือง" มาสุมใส่หัว

ตู่พระพุทธเจ้าอย่างไร??
๑. ในพระสุตันตปิฏก “สามัญญผลสูตร” ได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่าพระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าการพ่นน้ำมนต์หรือรดน้ำมนต์นั้น  พระภิกษุไม่ควรปฏิบัติและเป็นเดรัจฉานวิชา http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=9&A=1072&Z=1919&pagebreak=0#120 พระพุทธเจ้าย่อมไม่ประพฤติหรือสนับสนุนคนอื่นให้ประพฤติในสิ่งที่พระองค์ทรงประณามว่าไม่ใช่กิจของสงฆ์และไม่ใช่หนทางดับทุกข์แน่ๆ...พุทธอิสระเข้าใจเสียให้ถูก

๒. ผมมั่นใจว่าพุทธอิสระจำมาผิดทั้งเพ  เหตุการณ์นี้ไม่ได้เกิดที่เมืองโกสัมพี   แต่เป็นเมืองเวสาลีและไม่เกี่ยวอะไรกับพระโมคัลลานะแต่เป็นพระอานนท์  เรื่องย่อๆ มีดังนี้   ชาวเมืองเวสาลี(ไม่ใช่โกสัมพี)เกิดภัยพิบัติแห้งแล้งประชาชนล้มป่วยเป็นอันมาก  พระพุทธเจ้าจึงเสด็จไปโปรดแล้วฝนก็ตกห่าใหญ่  ทรงโปรดให้พระอานนท์(ไม่ใช่พระโมคัลลานะ)ท่องจำพระรัตนสูตรนี้แล้วเดินเข้าในเมืองเวสาลี อะไรประมาณนี้   ไม่เกี่ยวอะไรกับเมืองโกสัมพี  พระโมคัลลานะ และน้ำมนต์อย่างที่พุทธอิสระอ้างเพื่อที่จะโยงเข้าหาการกระทำของตนว่า “ชอบธรรม” แล้ว  เพราะขนาดระดับพระพุทธเจ้ายังเคยกระทำมาก่อนอะไรประมาณนี้....หมอนี่นับวันชักจะโอหังมากขึ้นเรื่อยๆ



สมเด็จพุทธาจารย์ (โต พรมรังสี)
กรณีสมเด็จโตจุดคบเพลิงเข้าวัง(ประท้วงร.๔)นี้   เป็นเหตุการณ์ที่ยกอ้างกันบ่อยมากและหลายแง่มุมหลายเวอร์ชั่น   พุทธอิสระเองก็ไม่พลาดที่จะนำมาอ้างแล้วพยายามโยงเข้าหาตัวเอง  โดยถามตบท้ายด้วยประโยคให้ฉงนว่า “นี่ก็ไม่ใช่กิจสงฆ์”  โถ...สมเด็จโตท่านออกจะดังและขลังขนาดนั้น   ขืนให้ชาวบ้านชาวช่องไปว่าสิ่งที่ท่านทำว่าไม่ใช่กิจสงฆ์ดูสิ....บาปกินหัว         สำหรับผม....บอกชัดเปรี้ยงได้อย่างไม่ต้องคิดว่า  การกระทำของสมเด็จพุฒาจารย์(โต)ไม่ใช่กิจสงฆ์อย่างแน่นอน  และรวมไปถึงเรื่องการสร้างพระ(สมเด็จ)  นั่งปลุกเสกอะไรประเภทนั้นด้วย   ไม่ใช่กิจสงฆ์แน่ๆ  



อาจารย์ธรรมโชติแห่งบ้านบางระจัน
พุทธอิสระบอกว่า "ท่านอาจารย์ธรรมโชติในสมัยกรุงศรีอยุธยา ทำการฝึกอบรมชาวบ้านให้เป็นทหารอาสา สร้างกองกำลังสู้รบกับพม่าเพื่อปกป้องแผ่นดิน นี่ก็ไม่ใช่กิจของสงฆ์”    มาอีกแระ...เรื่องต่อสู้ปกป้องแผ่นดิน   การต่อสู้เพื่อปกป้องแผ่นดินถือเป็นเรื่องดี...ตรงนี้ไม่เถียง     แต่ก็ต้องแยกแยะเสียบ้างว่านั่นเป็นเรื่องของโลกิยะ...เป็นเรื่องของการปรุงแต่งจิตด้วย ลาภะ โทสะ และโมหะ   ส่วนการเป็นพระสงฆ์นั้นอยู่ในโลกแห่ง​ “โลกุตะระ”   ควรที่จะข่มแล้วกำจัดเสียซึ่งลาภะ โทสะ และโมหะ     ถามว่าสิ่งที่พระอาจารย์ธรรมโชติทำนั้นเป็นกิจของสงฆ์ไหม?.....ก็ไม่ใช่ทั้งเพเลยล่ะ(พระบร้าอะไร? จะมาสอนให้คนอื่นจับดาบไปฆ่าคนอื่น  หรือพระบร้าอะไร? ยินดีที่เห็นคนอื่นเอาปืนใส่ถุงป็อปคอร์นเที่ยวไปไล่ยิงชาวบ้าน)     เปรียบเทียบให้เห็นจะๆ ในยุคเดียวกันและเหตุการณ์เดียวกันเลย...คือยุคที่พม่ายกทัพมาโจมตีกรุงศรีที่มีอาจารย์ธรรมโชติสู้อุตส่าห์ฝึกทหารสู้กับพม่าปกป้องแผ่นดินนั่นแหละ    อีกทางหนึ่ง....พระอีกรูปหนึ่งคือสมเด็จพระเจ้าอุทุมพร  ท่านเคยเป็นถึงพระเจ้าแผ่นดิน  ต่อมาก็ยกบัลลังก์ให้พระเชษฐาแล้วพระองค์ก็ออกผนวช   เมื่อพม่ายกทัพมาครั้งแรก(ศึกอะลองพญา) พระองค์(สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร)ก็ทรงลาผนวชออกมาต่อสู้ปกป้องแผ่นดินช่วยพระเชษฐา(พระเจ้าเอกทัศน์)จนพม่าถอยทัพกลับไป   ท่านไม่ได้ทำให้ผ้า "กาสาวพัตร์" ต้องมีมลทินแม้แต่น้อย     เสร็จศึกแล้วพระองค์ก็ทรงออกผนวชต่ออีก(จนชาวบ้านเรียกพระองค์ว่า “ขุนหลวงหาวัด”)   เมื่อพม่ายกทัพกลับมาอีกครั้ง....พระเจ้าเอกทัศน์(พระเชษฐา)ก็ไปขอความช่วยเหลือจากท่านอีก   แต่คราวนี้ท่านไม่ประสงค์ที่จะลาผนวช  และท่านก็ปฏิบัติธรรมของท่านไปอย่างปรกติท่ามกลางเสียงดาบ เสียงปืนใหญ่และคาวเลือด   จนกรุงศรีต้องเสียกรุงครั้งที่สอง   ตัวท่านเองก็ทรงถูกพม่าควบคุมตัวไปยังพม่าในขณะที่เป็นสมณะเพศและมรณภาพที่นั่น    ตรงนี้...จึงอยากถามพุทธอิสระว่ามองกรณีของสมเด็จพระเจ้าอุทุมพรพระกับอาจารย์ธรรมโชติแห่งบ้านบางระจันในมุมมองของ "ความเป็นพระ" ของทั้งสองท่านว่าอย่างไร?  


ครูบาศรีวิชัย
อันนี้ผมขอข้ามไปเลยนะครับ  เพราะไม่อยากลงรายละเอียดมากนัก(เกรงจะกระทบถึงความปลอดภัยต่อล็อคอินผม)  ถ้าจะถกกันจริงๆ เรื่องนี้ยาวมาก   และอย่าหาว่าอวดตัวอะไรเลย... ผมเชื่อว่า...พุทธอิสระรู้กรณีครูบาศรีวิชัยไม่ถึงครึ่งที่ผมรู้แน่ๆ ผมจึงขอข้าม


ข้อความในเฟสบุ๊คของพุทธอิสระยาว  สุดท้ายก็มาขมวดท้ายรำพึงรำพันว่า :-
พุทธะอิสระไปช่วยเหลือพี่น้องทางใต้ที่ประสบภัยสึนามิ ด้วยการช่วยสร้างบ้านซ่อมเรือนับสิบๆ หลัง นี่ก็ไม่ใช่กิจของสงฆ์
พุทธะอิสระจัดประชุม พุทธ-อิสลามจากสามจังหวัดชายแดนใต้ เพื่อสันติ นี่ก็ไม่ใช่กิจของสงฆ์
พุทธะอิสระออกตระเวนทำโรงครัวเคลื่อนที่ เพื่อช่วยเหลือพี่น้องผู้ประสบภัยน้ำท่วมเมื่อปี ๕๔-๕๕ นี่ก็ไม่ใช่กิจของสงฆ์
พุทธะอิสระขอพระราชทานพระบรมฉายาลักษณ์ ทรงผนวชของพระเจ้าอยู่หัวในรัชกาลที่ ๙ เพื่อถวายทุกวัดทั่วประเทศจำนวน ๓๕,๐๐๐ วัด โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ นี่ก็ไม่ใช่กิจของสงฆ์




ไม่ใช่เลยครับ...เหล่านั้นไม่ใช่กิจสงฆ์แต่เป็นกิจของบ้านเมืองล้วนๆ แต่คุณไปเผือกเอง  แล้วยังจะมาบ่นหาพระแสงคาบค่ายอะไรอีกล่ะครับ??    “บางคน” แค่เขาชอบ “ไก่ชน”...เขายังละอายแก่ใจว่าไม่ใช่สิ่งที่ควรประพฤติเขายังสึกออกมา    แต่บางคนนี่กระเหี้ยนกระหือรืออยากโลดแล่นบนเวทีทางการเมือง....ก็ได้แต่อาศัยศรัทธาของพุทธศาสนิกชนที่มีต่อผ้าเหลืองโลดแล่นไปวันๆ..........
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 1
https://ppantip.com/topic/36891065 "ความสาไถยของพุทธอิสระ"

มีเพื่อนสมาชิกชักชวนให้ไปดูคลิปของพุทธอิสระที่เฟสบุ๊คของเขา    ซึ่งเป็นคลิปที่ผมขอเรียกว่าเป็นการแสดงความ “สาไถย” อย่างไม่เหมาะไม่ควร   จะว่าไปแล้ว...การที่เขาห่มผ้าเหลืองหลอกชาวบ้านอยู่ทุกวันนี้ก็นับว่าเป็นมลทินแก่ตัวเองและศาสนาแล้ว     “สาไถย” หรือรากศัพท์ภาษาบาลีคือ “สาเถยฺยะ” ที่แปลว่าแสดงการโอ้อวด หลอกลวงให้ผู้อื่นเข้าใจผิด(มารยาสาไถย)  สาเถยฺยะจัดเป็นอุปกิเลสที่เรียกว่า “มละ” (มลทิน ๙ อย่าง) ที่เมื่อใครถูกอุปกิเลสครอบแล้วจะทำให้จิตมัวหมอง   ขอหยุดเรื่องธรรมะไว้ตรงนี้ล่ะกันนะครับ    มาพูดเรื่องนายสุวิทย์ต่อ.....  


พุทธอิสระหรือนายสุวิทย์คนนี้มีพฤติกรรมที่แยบยลอย่างหนึ่งที่เขาคิดว่าคนอื่นไม่รู้ทัน   นั่นก็คือการชอบแอบอ้าง “คนที่มีระดับสูง” ซึ่งคนระดับสูงที่ถูกอ้างนี้ไม่มีชีวิตอยู่ในปัจจุบันพอที่จะยืนยันคำแอบอ้างของนายสุวิทย์คนนี้ว่าจริงเท็จอย่างไร  เช่น   

๑.การพยายามจะบอกว่าหลวงปู่แหวนได้เคยออกมาปูอาสนะต้อนรับ และกราบนมัสการเขาเมื่อตอนที่เขาออกธุดงค์ในช่วงที่บวชใหม่ๆ ซึ่งหลวงปู่แหวนได้มรณะภาพไปนานแล้ว  จริงเท็จอย่างไรก็พิจารณากันเอาเองนะครับ

๒. การที่บอกว่าสมเด็จพระสังฆราชญาณสังวรได้ไปหาเขาที่วัดไม่ต่ำกว่าสองครั้งเพื่อขอร้องให้ช่วยบำรุงพระพุทธศาสนา  อันนี้เขาก็มาพูดเอาตอนที่สมเด็จพระสังฆราชญาณสังวรละสังขารไปแล้ว (ช่วงที่คัดค้านสมเด็จช่วงขึ้นเป็นสังฆราช)

๓. ล่าสุดก็คือการแอบอ้างนำพระปรมาภิไธยย่อทำเป็นพระปลุกเสกแล้วใช้เลือดตัวเองแต้ม  เมื่อถูกซักว่าได้ขอพระบรมราชานุญาตหรือยัง  นายสุวิทย์บอกหน้าตาเฉยว่าได้รับการอนุญาตจากปากนายแก้วขวัญ วัชโรทัยแล้ว !!  ซึ่งตอนนั้นนายแก้วขวัญก็พึ่งตายไปหมาดๆ ด้วย


ที่กล่าวมาเหล่านี้คือพฤติกรรมที่เกิดจากสันดานอันหยาบช้าและไร้ยางอายของนายสุวิทย์ที่หากินและแอบอ้างกับคนที่สิ้นไปแล้ว




ส่วนเรื่องคลิปที่เพื่อนสมาชิกชักชวนให้ไปดูนั้น   เป็นคลิปที่เล่นละครแสดงความสาไถยออกมาอย่างเห็นได้ชัด   โดยเฉพาะอย่างยิ่งคลิปและรูปภาพที่กำลังป้อนข้าว อุ้ม  หรือเอามือเอาเท้าของมารดามาลูบหัวตน  พูดจาจ๊ะจ๋า  หนู(สรรพนามที่พุทธอิสระเรียกตัว)อย่างนั้นหนูอย่างนี้  ภาพหรือคลิปที่ปรากฏในเฟสของเขาเหล่านั้น  หากใครไม่รู้จักแยกแยะ   ก็จะหลงกลนายสุวิทย์เจ้าเล่ห์คนนี้ว่าช่างน่ารัก และกตัญญูเสียยิ่งกะไร?  รู้จักพูดจาออดอ้อนออเซาะแม่   ป้อนข้าวป้อนน้ำแม่   ตรงนี้ก็ถือว่านายสุวิทย์เข้าใจเล่นละครบทนี้ชนิดที่แฟนคลับเห็นแล้วต้องซาบซึ้งน้ำตาไหลเลยทีเดียว     เพราะอะไรก็แล้วแต่ที่แสดงออกเกี่ยวกับแม่ในเชิงบวกแล้วล่ะก้อ.....ใครเห็นใครได้ยินก็ซาบซึ้งประทับอกประทับใจกันทั้งนั้น      เรื่องรักแม่และการแสดงออกด้านกตัญญูกตเวทีนั้น  ผมส่วนตัวพอเข้าใจได้และอนุโมทนาด้วย   ผมเคยดูคอนเสิร์ตพี่เบิร์ดเมื่อยี่สิบปีกว่าปีมาแล้ว  พี่เบิร์ดนำแม่มากราบและโอบกอดบนเวทีวันนั้นนั้น  ผมเองก็น้ำตาไหลซึมปลื้มด้วย   แต่พี่เบิร์ดกับพุทธอิสระมีสถานะที่แตกต่างกัน    ดั้งนั้นการแสดงนั้นก็ควรพอเหมาะสมกับสถานะ   



หากนายสุวิทย์อยากจะแสดงความกตัญญูจริงๆ   ผมว่าถอดผ้าเหลืองออกซะเถอะครับ   จะใส่สูทผู้เนคไทหรืออะไรก็แล้วแต่เรื่องของคุณ  จะกอดหรือออเซาะแม่ทั้งวันทั้งคืนก็ถือว่าเป็นสิ่งที่น่าอนุโมทนา  จะให้ช่างกล้องถ่ายมุมไหน   ใช้กล้องกี่ตัวแล้วเอาคลิปมาอวดชาวโลกก็คงจะมีแต่คนอนุโมทนาสาธุด้วย    แต่อย่าทำลักษณะนี้ในขณะที่ห่มผ้าเหลืองเลย    จะโปรโมทตัวเองทั้งทีไม่ควรไปสร้างความลำบากให้คนเฒ่าคนแก่ซึ่งเป็นแม่ของตัวเองด้วย  การเอาผ้าเหลืองมาห่มปลอมเป็นพระ  พูดจ๊ะจ๋า  หนูอย่างนั้นหนูอย่างนี้แล้ว.....ดูคลิปมันขัดหูขัดตาครับ      แม้ในอดีตพุทธกาลแม้จะเคยมีพระเลี้ยงดูบิดามารดา  แต่ท่านก็ไม่เคยออกแอ๊คชั่นขนาดนี้ท่านก็ทำเหมาะสมแก่สมณสารูปของท่าน   



อีกคลิปหนึ่ง....ตอนที่นายสุวิทย์ไปตรวจดโรงครัวทำอาหารของแกที่สนามหลวง  ดูเหมือนแกจะบ่นไปหมดเสียทุกเรื่อง(จิตใจว้าวุ่น)  เห็นมีด เห็นเขียงก็ถามเขาเหมือนไม่มีน้ำใจประมาณว่าล้างกันบ้างหรือเปล่า   สรรพนามที่เรียกตัวเอง “ชั้นอย่างนั้น  ชั้นอย่างนี้”   พ่อบ้านแม่บ้านเขาวางหวีกล้วยลงในตะกร้า  ไม่ถูกใจตนก็ตำหนิว่าเขาวางไม่ถูก(ขนาดวางหวีกล้วยนี่นะ  มีการวางถูกวางผิดด้วย??)  มีช่วงหนึ่งแกตะคอกใส่แม่บ้านเรื่อง “ข้าว” ที่ชาวบ้านเขาเอามาบริจาคเพื่อร่วมทำกุศล   พุทธอิสระตะโกนบอกแม่บ้านว่าข้าวที่บริจาคไม่ได้คุณภาพ   “เมิงไปเอาข้าวอีปูว์มาจากไหน(มาบริจาค) เอากลับไปคืนมัน  กรูไม่รับ”.....โห   ในใจของอลัชชีตนนี้มันมีแต่ความจงเกลียดจงชังมากมายขนาดนี้เชียวหรือ?    ขนาดชาวบ้านเขาเอาข้าวมาบริจาคให้มันแท้ๆ มันยังโยงเข้าหาอคติของมันได้อย่างไม่น่าเชื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่