สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 5
สุวิทย์: “หรือว่า เราจะเป็นคนโง่จริงๆ”
วัชรานนท์: โง่ตัวจริงเสียงจริงเลยล่ะคุณ....อ่านต่อไปเรื่อยๆ แล้วจะรู้ว่าโง่อย่างไร? ขนาดไหน?
สุวิทย์: "นักบวชในพระพุทธศาสนาทั่วประเทศ มีไม่ต่ำกว่าสองแสนเศษ มีวัดสามหมื่นกว่า ทุกท่านล้วนแล้วแต่ยังอยู่ดี มีเงินใช้ มีคนไหว้ ได้รับกิจนิมนต์ มีเอกลาภ ได้รับการยอมรับจากทุกกลุ่มทุกสี รังภาครัฐและประชาชน........ไม่ว่าเทพจะมีอำนาจ หรือมาจะครองเมือง นักบวชผู้ชาญฉลาดรู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี ไม่ยี่หระทุกข์ร้อน แม้แต่จะมีประชาชนบาดเจ็บล้มตายสักกี่ราย ...........ขอกรูอยู่ได้ พวกกรูรอดเป็นพอใจ ฉันถึงได้จั่วหัวเรื่องว่า หรือเราจะโง่จริงๆ..."
วัชรานนท์: นี่แหละคือมุมมองของคนโง่อย่างหนึ่ง คือคิดเองเออเองฝ่ายเดียว คิดว่าตัวเองกำลังทำถูกต้องอยู่คนเดียว ส่วนพระอีกหลายแสนรูปนั้นไม่ถูกต้อง และที่สุวิทย์บ่นด่าพระเป็นแสนๆ รูปอยู่นี้ล้วนเป็นเรื่อง “การเมือง” แทบทั้งสิ้น จะให้พระภิกษุสามเณรเข้าไปยุ่งเกี่ยวอย่างสุวิทย์ ควรหรือ?? ก็มีบ้างนะที่ออกมาโยว้ๆ เหมือนสุวิทย์..... ขนาดนั้นก็ยังผิดอยู่ดีนั่นแหละเพราะออกมาโย้วๆ คนละข้างกับสุวิทย์
สุวิทย์: "โง่ที่ไม่รู้จักเอาตัวรอด โง่ที่ไม่รู้จักรักษาผลประโยชน์ของตน โง่ที่ไม่รู้จักรักษาภาพให้ดูดี โง่ที่รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์เกินไป.....บลา บลา บลา"
วัชรานนท์: การพูดแบบลงโทษตัวเองในลักษณะนี้เขาเรียกว่าเรียกคะแนน เพื่อเสริมภาพพจน์ตัวเองให้เด่นกว่าที่เป็นอยู่...อีกทางหนึ่งเป็นการสะท้อนความโง่ ความเจ้าเล่ห์ของตัวเองออกมา ถ้าสุวิทย์คิดว่าตัวเองเป็นพระนะ....สิ่งเหล่านี้สุวิทย์ไม่ต้องข้องแวะเลย เหมือนพระหลายแสนรูปที่สุวิทย์กำลังตำหนิอยู่นั่นแหละท่านถือว่าไม่ใช่กิจของสงฆ์ อย่าอ้างเอาความตายความทุกข์ของประชาชนมารองรับการกระทำ(เห้ๆ ของสุวิทย์) แล้วตีกระทบด่าพระเป็นแสนๆ เลย สุวิทย์เองก็มือโชกเลือดต่อการตายด้วยไม่ใช่หรือ? ตัวเองทำผิดแล้วเที่ยวไปด่าคนอื่นมีแต่คนโง่กับคนโง่ด้วยกันนั่นแหละที่เออออห่อหมกกับการกระทำของสุวิทย์
สุวิทย์: "ฉันคิดเล่นๆ ต่อไปว่า หากฉันฉลาดสักนิด ทำชีวิตให้อยู่สุขสบายเป็นพวกสุขนิยม ทำตนให้เป็นกลางๆ ไม่เข้าข้างใคร เทพก็เข้าได้ มารก็คุยด้วย....ฉันคงไม่ต้องลำบากถึงเพียงนี้"
วัชรานนท์: สุวิทย์ต้องรอลงอเวจีก่อน ลำบากกว่านี้แน่....หากอยากจะฉลาดก็ทำสิครับ จะมาทุกข์ร้อนห่มผ้าเหลืองหลอกชาวบ้านไปวันๆ ทำไม? ริจะเป็นพระก็ต้องลำบาก ลำบากในการเร่งความเพียรให้พ้นฝั่งโลกียะ...ไม่ใช่เพียรในการว่ายไปหาอีกฝั่งตรงข้ามเหมือนที่สุวิทย์ทำอยู่ อย่างนี้เขาเรียกว่าทั้งโง่ทั้งเขลา พระพุทธองค์ตำหนิในความเพียรแบบโง่ๆ ตรงนี้ บอกตรงๆ นะสุวิทย์....ตอนนี้ต้องบอกว่าเสียใจด้วย มันสายไปเสียแล้วที่จะได้เห็นฝั่งโลกิยะ การทำตัวเองแปดเปื้อนมลทินมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เช่นว่า มีส่วนในการตายของมนุษย์ ยักยอกเอาเงินหรือสิ่งของๆ คนอื่นเกินห้ามาสก(หนึ่งบาท) ถือว่าต้องปาราชิกขาดจากความเป็นภิกษุ ห้ามสวรรค์ห้ามนิพพาน......คงเหลือแต่ประตูเดียวเปิดอ้ารอรับสุวิทย์อยู่ เสียใจด้วยจริงๆ....
สุวิทย์: "ฉันคิดต่อไปว่า หากชีวิตฉันเป็นเช่นนั้นจริง ไม่รู้ว่าควรหายใจต่อไปไหม และหากฉันทำให้พ่อแม่ต้องเสียใจ ฉันไม่ขอหายใจดีกว่า"
วัชรานนท์: ถ้าพ่อแม่ของสุวิทย์ตั้งมั่นในหลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ผมเชื่อว่าท่านคงเสียใจต่อการกระทำของสุวิทย์(ในขณะที่เป็นพระนะ) พ่อแม่ทุกคนย่อมมีความสุขที่ได้เห็นลูกชายอยู่ในผ้ากาสาวพัตร์ ปฏิบัติธรรม ยังกิจของสงฆ์ให้สมบูรณ์ เร่งความเพียรเพื่อการหลุดพ้น ประพฤติตามกรอบพระวินัย อบรมสั่งสอนพุทธศาสนิกชนในแนวทางที่พระพุทธองค์ทรงวางเอาไว้แล้ว ไม่มัวเมาและส่งเสริมการกระทำใดๆ อันเป็นอกุศล หรือไม่ชี้ทางในสิ่งที่ตัวเองไม่แน่ใจและยังพิสูจน์ข้อเท็จจริงไม่ได้........ถ้าทำตามนี้พ่อแม่ย่อมไม่เสียใจ ส่วนการที่จะไม่ขอหายใจหรือหายใจต่อนั้น เป็นสิทธิของสุวิทย์นะ.....อ๊อกซิเจนไม่เคยเลือกข้างอยู่แล้วว่าจะเข้าไปอยู่ในปอดของคนดีหรือคนชั่ว ตัดสินใจเอาเองก็แล้วกัน....อย่าทำอะไรโง่ๆ อีกล่ะ
สุวิทย์ปุจฉา...วัชรานนท์ตอบ
สุวิทย์: “หรือว่า เราจะเป็นคนโง่จริงๆ”
วัชรานนท์: โง่ตัวจริงเสียงจริงเลยล่ะคุณ....อ่านต่อไปเรื่อยๆ แล้วจะรู้ว่าโง่อย่างไร? ขนาดไหน?
สุวิทย์: "นักบวชในพระพุทธศาสนาทั่วประเทศ มีไม่ต่ำกว่าสองแสนเศษ มีวัดสามหมื่นกว่า ทุกท่านล้วนแล้วแต่ยังอยู่ดี มีเงินใช้ มีคนไหว้ ได้รับกิจนิมนต์ มีเอกลาภ ได้รับการยอมรับจากทุกกลุ่มทุกสี รังภาครัฐและประชาชน........ไม่ว่าเทพจะมีอำนาจ หรือมาจะครองเมือง นักบวชผู้ชาญฉลาดรู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี ไม่ยี่หระทุกข์ร้อน แม้แต่จะมีประชาชนบาดเจ็บล้มตายสักกี่ราย ...........ขอกรูอยู่ได้ พวกกรูรอดเป็นพอใจ ฉันถึงได้จั่วหัวเรื่องว่า หรือเราจะโง่จริงๆ..."
วัชรานนท์: นี่แหละคือมุมมองของคนโง่อย่างหนึ่ง คือคิดเองเออเองฝ่ายเดียว คิดว่าตัวเองกำลังทำถูกต้องอยู่คนเดียว ส่วนพระอีกหลายแสนรูปนั้นไม่ถูกต้อง และที่สุวิทย์บ่นด่าพระเป็นแสนๆ รูปอยู่นี้ล้วนเป็นเรื่อง “การเมือง” แทบทั้งสิ้น จะให้พระภิกษุสามเณรเข้าไปยุ่งเกี่ยวอย่างสุวิทย์ ควรหรือ?? ก็มีบ้างนะที่ออกมาโยว้ๆ เหมือนสุวิทย์..... ขนาดนั้นก็ยังผิดอยู่ดีนั่นแหละเพราะออกมาโย้วๆ คนละข้างกับสุวิทย์
สุวิทย์: "โง่ที่ไม่รู้จักเอาตัวรอด โง่ที่ไม่รู้จักรักษาผลประโยชน์ของตน โง่ที่ไม่รู้จักรักษาภาพให้ดูดี โง่ที่รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์เกินไป.....บลา บลา บลา"
วัชรานนท์: การพูดแบบลงโทษตัวเองในลักษณะนี้เขาเรียกว่าเรียกคะแนน เพื่อเสริมภาพพจน์ตัวเองให้เด่นกว่าที่เป็นอยู่...อีกทางหนึ่งเป็นการสะท้อนความโง่ ความเจ้าเล่ห์ของตัวเองออกมา ถ้าสุวิทย์คิดว่าตัวเองเป็นพระนะ....สิ่งเหล่านี้สุวิทย์ไม่ต้องข้องแวะเลย เหมือนพระหลายแสนรูปที่สุวิทย์กำลังตำหนิอยู่นั่นแหละท่านถือว่าไม่ใช่กิจของสงฆ์ อย่าอ้างเอาความตายความทุกข์ของประชาชนมารองรับการกระทำ(เห้ๆ ของสุวิทย์) แล้วตีกระทบด่าพระเป็นแสนๆ เลย สุวิทย์เองก็มือโชกเลือดต่อการตายด้วยไม่ใช่หรือ? ตัวเองทำผิดแล้วเที่ยวไปด่าคนอื่นมีแต่คนโง่กับคนโง่ด้วยกันนั่นแหละที่เออออห่อหมกกับการกระทำของสุวิทย์
สุวิทย์: "ฉันคิดเล่นๆ ต่อไปว่า หากฉันฉลาดสักนิด ทำชีวิตให้อยู่สุขสบายเป็นพวกสุขนิยม ทำตนให้เป็นกลางๆ ไม่เข้าข้างใคร เทพก็เข้าได้ มารก็คุยด้วย....ฉันคงไม่ต้องลำบากถึงเพียงนี้"
วัชรานนท์: สุวิทย์ต้องรอลงอเวจีก่อน ลำบากกว่านี้แน่....หากอยากจะฉลาดก็ทำสิครับ จะมาทุกข์ร้อนห่มผ้าเหลืองหลอกชาวบ้านไปวันๆ ทำไม? ริจะเป็นพระก็ต้องลำบาก ลำบากในการเร่งความเพียรให้พ้นฝั่งโลกียะ...ไม่ใช่เพียรในการว่ายไปหาอีกฝั่งตรงข้ามเหมือนที่สุวิทย์ทำอยู่ อย่างนี้เขาเรียกว่าทั้งโง่ทั้งเขลา พระพุทธองค์ตำหนิในความเพียรแบบโง่ๆ ตรงนี้ บอกตรงๆ นะสุวิทย์....ตอนนี้ต้องบอกว่าเสียใจด้วย มันสายไปเสียแล้วที่จะได้เห็นฝั่งโลกิยะ การทำตัวเองแปดเปื้อนมลทินมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เช่นว่า มีส่วนในการตายของมนุษย์ ยักยอกเอาเงินหรือสิ่งของๆ คนอื่นเกินห้ามาสก(หนึ่งบาท) ถือว่าต้องปาราชิกขาดจากความเป็นภิกษุ ห้ามสวรรค์ห้ามนิพพาน......คงเหลือแต่ประตูเดียวเปิดอ้ารอรับสุวิทย์อยู่ เสียใจด้วยจริงๆ....
สุวิทย์: "ฉันคิดต่อไปว่า หากชีวิตฉันเป็นเช่นนั้นจริง ไม่รู้ว่าควรหายใจต่อไปไหม และหากฉันทำให้พ่อแม่ต้องเสียใจ ฉันไม่ขอหายใจดีกว่า"
วัชรานนท์: ถ้าพ่อแม่ของสุวิทย์ตั้งมั่นในหลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ผมเชื่อว่าท่านคงเสียใจต่อการกระทำของสุวิทย์(ในขณะที่เป็นพระนะ) พ่อแม่ทุกคนย่อมมีความสุขที่ได้เห็นลูกชายอยู่ในผ้ากาสาวพัตร์ ปฏิบัติธรรม ยังกิจของสงฆ์ให้สมบูรณ์ เร่งความเพียรเพื่อการหลุดพ้น ประพฤติตามกรอบพระวินัย อบรมสั่งสอนพุทธศาสนิกชนในแนวทางที่พระพุทธองค์ทรงวางเอาไว้แล้ว ไม่มัวเมาและส่งเสริมการกระทำใดๆ อันเป็นอกุศล หรือไม่ชี้ทางในสิ่งที่ตัวเองไม่แน่ใจและยังพิสูจน์ข้อเท็จจริงไม่ได้........ถ้าทำตามนี้พ่อแม่ย่อมไม่เสียใจ ส่วนการที่จะไม่ขอหายใจหรือหายใจต่อนั้น เป็นสิทธิของสุวิทย์นะ.....อ๊อกซิเจนไม่เคยเลือกข้างอยู่แล้วว่าจะเข้าไปอยู่ในปอดของคนดีหรือคนชั่ว ตัดสินใจเอาเองก็แล้วกัน....อย่าทำอะไรโง่ๆ อีกล่ะ
แสดงความคิดเห็น
…ความสาไถยของพุทธอิสระ.../วัชรานนท์
พุทธอิสระหรือนายสุวิทย์คนนี้มีพฤติกรรมที่แยบยลอย่างหนึ่งที่เขาคิดว่าคนอื่นไม่รู้ทัน นั่นก็คือการชอบแอบอ้าง “คนที่มีระดับสูง” ซึ่งคนระดับสูงที่ถูกอ้างนี้ไม่มีชีวิตอยู่ในปัจจุบันพอที่จะยืนยันคำแอบอ้างของนายสุวิทย์คนนี้ว่าจริงเท็จอย่างไร เช่น
๑.การพยายามจะบอกว่าหลวงปู่แหวนได้เคยออกมาปูอาสนะต้อนรับ และกราบนมัสการเขาเมื่อตอนที่เขาออกธุดงค์ในช่วงที่บวชใหม่ๆ ซึ่งหลวงปู่แหวนได้มรณะภาพไปนานแล้ว จริงเท็จอย่างไรก็พิจารณากันเอาเองนะครับ
๒. การที่บอกว่าสมเด็จพระสังฆราชญาณสังวรได้ไปหาเขาที่วัดไม่ต่ำกว่าสองครั้งเพื่อขอร้องให้ช่วยบำรุงพระพุทธศาสนา อันนี้เขาก็มาพูดเอาตอนที่สมเด็จพระสังฆราชญาณสังวรละสังขารไปแล้ว (ช่วงที่คัดค้านสมเด็จช่วงขึ้นเป็นสังฆราช)
๓. ล่าสุดก็คือการแอบอ้างนำพระปรมาภิไธยย่อทำเป็นพระปลุกเสกแล้วใช้เลือดตัวเองแต้ม เมื่อถูกซักว่าได้ขอพระบรมราชานุญาตหรือยัง นายสุวิทย์บอกหน้าตาเฉยว่าได้รับการอนุญาตจากปากนายแก้วขวัญ วัชโรทัยแล้ว !! ซึ่งตอนนั้นนายแก้วขวัญก็พึ่งตายไปหมาดๆ ด้วย
ที่กล่าวมาเหล่านี้คือพฤติกรรมที่เกิดจากสันดานอันหยาบช้าและไร้ยางอายของนายสุวิทย์ที่หากินและแอบอ้างกับคนที่สิ้นไปแล้ว
ส่วนเรื่องคลิปที่เพื่อนสมาชิกชักชวนให้ไปดูนั้น เป็นคลิปที่เล่นละครแสดงความสาไถยออกมาอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งคลิปและรูปภาพที่กำลังป้อนข้าว อุ้ม หรือเอามือเอาเท้าของมารดามาลูบหัวตน พูดจาจ๊ะจ๋า หนู(สรรพนามที่พุทธอิสระเรียกตัว)อย่างนั้นหนูอย่างนี้ ภาพหรือคลิปที่ปรากฏในเฟสของเขาเหล่านั้น หากใครไม่รู้จักแยกแยะ ก็จะหลงกลนายสุวิทย์เจ้าเล่ห์คนนี้ว่าช่างน่ารัก และกตัญญูเสียยิ่งกะไร? รู้จักพูดจาออดอ้อนออเซาะแม่ ป้อนข้าวป้อนน้ำแม่ ตรงนี้ก็ถือว่านายสุวิทย์เข้าใจเล่นละครบทนี้ชนิดที่แฟนคลับเห็นแล้วต้องซาบซึ้งน้ำตาไหลเลยทีเดียว เพราะอะไรก็แล้วแต่ที่แสดงออกเกี่ยวกับแม่ในเชิงบวกแล้วล่ะก้อ.....ใครเห็นใครได้ยินก็ซาบซึ้งประทับอกประทับใจกันทั้งนั้น เรื่องรักแม่และการแสดงออกด้านกตัญญูกตเวทีนั้น ผมส่วนตัวพอเข้าใจได้และอนุโมทนาด้วย ผมเคยดูคอนเสิร์ตพี่เบิร์ดเมื่อยี่สิบปีกว่าปีมาแล้ว พี่เบิร์ดนำแม่มากราบและโอบกอดบนเวทีวันนั้นนั้น ผมเองก็น้ำตาไหลซึมปลื้มด้วย แต่พี่เบิร์ดกับพุทธอิสระมีสถานะที่แตกต่างกัน ดั้งนั้นการแสดงนั้นก็ควรพอเหมาะสมกับสถานะ
หากนายสุวิทย์อยากจะแสดงความกตัญญูจริงๆ ผมว่าถอดผ้าเหลืองออกซะเถอะครับ จะใส่สูทผู้เนคไทหรืออะไรก็แล้วแต่เรื่องของคุณ จะกอดหรือออเซาะแม่ทั้งวันทั้งคืนก็ถือว่าเป็นสิ่งที่น่าอนุโมทนา จะให้ช่างกล้องถ่ายมุมไหน ใช้กล้องกี่ตัวแล้วเอาคลิปมาอวดชาวโลกก็คงจะมีแต่คนอนุโมทนาสาธุด้วย แต่อย่าทำลักษณะนี้ในขณะที่ห่มผ้าเหลืองเลย จะโปรโมทตัวเองทั้งทีไม่ควรไปสร้างความลำบากให้คนเฒ่าคนแก่ซึ่งเป็นแม่ของตัวเองด้วย การเอาผ้าเหลืองมาห่มปลอมเป็นพระ พูดจ๊ะจ๋า หนูอย่างนั้นหนูอย่างนี้แล้ว.....ดูคลิปมันขัดหูขัดตาครับ แม้ในอดีตพุทธกาลแม้จะเคยมีพระเลี้ยงดูบิดามารดา แต่ท่านก็ไม่เคยออกแอ๊คชั่นขนาดนี้ท่านก็ทำเหมาะสมแก่สมณสารูปของท่าน
อีกคลิปหนึ่ง....ตอนที่นายสุวิทย์ไปตรวจดโรงครัวทำอาหารของแกที่สนามหลวง ดูเหมือนแกจะบ่นไปหมดเสียทุกเรื่อง(จิตใจว้าวุ่น) เห็นมีด เห็นเขียงก็ถามเขาเหมือนไม่มีน้ำใจประมาณว่าล้างกันบ้างหรือเปล่า สรรพนามที่เรียกตัวเอง “ชั้นอย่างนั้น ชั้นอย่างนี้” พ่อบ้านแม่บ้านเขาวางหวีกล้วยลงในตะกร้า ไม่ถูกใจตนก็ตำหนิว่าเขาวางไม่ถูก(ขนาดวางหวีกล้วยนี่นะ มีการวางถูกวางผิดด้วย??) มีช่วงหนึ่งแกตะคอกใส่แม่บ้านเรื่อง “ข้าว” ที่ชาวบ้านเขาเอามาบริจาคเพื่อร่วมทำกุศล พุทธอิสระตะโกนบอกแม่บ้านว่าข้าวที่บริจาคไม่ได้คุณภาพ “เมิงไปเอาข้าวอีปูว์มาจากไหน(มาบริจาค) เอากลับไปคืนมัน กรูไม่รับ”.....โห ในใจของอลัชชีตนนี้มันมีแต่ความจงเกลียดจงชังมากมายขนาดนี้เชียวหรือ? ขนาดชาวบ้านเขาเอาข้าวมาบริจาคให้มันแท้ๆ มันยังโยงเข้าหาอคติของมันได้อย่างไม่น่าเชื่อ