…ความสาไถยของพุทธอิสระ.../วัชรานนท์

กระทู้คำถาม
มีเพื่อนสมาชิกชักชวนให้ไปดูคลิปของพุทธอิสระที่เฟสบุ๊คของเขา    ซึ่งเป็นคลิปที่ผมขอเรียกว่าเป็นการแสดงความ “สาไถย” อย่างไม่เหมาะไม่ควร   จะว่าไปแล้ว...การที่เขาห่มผ้าเหลืองหลอกชาวบ้านอยู่ทุกวันนี้ก็นับว่าเป็นมลทินแก่ตัวเองและศาสนาแล้ว     “สาไถย” หรือรากศัพท์ภาษาบาลีคือ “สาเถยฺยะ” ที่แปลว่าแสดงการโอ้อวด หลอกลวงให้ผู้อื่นเข้าใจผิด(มารยาสาไถย)  สาเถยฺยะจัดเป็นอุปกิเลสที่เรียกว่า “มละ” (มลทิน ๙ อย่าง) ที่เมื่อใครถูกอุปกิเลสครอบแล้วจะทำให้จิตมัวหมอง   ขอหยุดเรื่องธรรมะไว้ตรงนี้ล่ะกันนะครับ    มาพูดเรื่องนายสุวิทย์ต่อ.....  


พุทธอิสระหรือนายสุวิทย์คนนี้มีพฤติกรรมที่แยบยลอย่างหนึ่งที่เขาคิดว่าคนอื่นไม่รู้ทัน   นั่นก็คือการชอบแอบอ้าง “คนที่มีระดับสูง” ซึ่งคนระดับสูงที่ถูกอ้างนี้ไม่มีชีวิตอยู่ในปัจจุบันพอที่จะยืนยันคำแอบอ้างของนายสุวิทย์คนนี้ว่าจริงเท็จอย่างไร  เช่น   

๑.การพยายามจะบอกว่าหลวงปู่แหวนได้เคยออกมาปูอาสนะต้อนรับ และกราบนมัสการเขาเมื่อตอนที่เขาออกธุดงค์ในช่วงที่บวชใหม่ๆ ซึ่งหลวงปู่แหวนได้มรณะภาพไปนานแล้ว  จริงเท็จอย่างไรก็พิจารณากันเอาเองนะครับ

๒. การที่บอกว่าสมเด็จพระสังฆราชญาณสังวรได้ไปหาเขาที่วัดไม่ต่ำกว่าสองครั้งเพื่อขอร้องให้ช่วยบำรุงพระพุทธศาสนา  อันนี้เขาก็มาพูดเอาตอนที่สมเด็จพระสังฆราชญาณสังวรละสังขารไปแล้ว (ช่วงที่คัดค้านสมเด็จช่วงขึ้นเป็นสังฆราช)

๓. ล่าสุดก็คือการแอบอ้างนำพระปรมาภิไธยย่อทำเป็นพระปลุกเสกแล้วใช้เลือดตัวเองแต้ม  เมื่อถูกซักว่าได้ขอพระบรมราชานุญาตหรือยัง  นายสุวิทย์บอกหน้าตาเฉยว่าได้รับการอนุญาตจากปากนายแก้วขวัญ วัชโรทัยแล้ว !!  ซึ่งตอนนั้นนายแก้วขวัญก็พึ่งตายไปหมาดๆ ด้วย


ที่กล่าวมาเหล่านี้คือพฤติกรรมที่เกิดจากสันดานอันหยาบช้าและไร้ยางอายของนายสุวิทย์ที่หากินและแอบอ้างกับคนที่สิ้นไปแล้ว




ส่วนเรื่องคลิปที่เพื่อนสมาชิกชักชวนให้ไปดูนั้น   เป็นคลิปที่เล่นละครแสดงความสาไถยออกมาอย่างเห็นได้ชัด   โดยเฉพาะอย่างยิ่งคลิปและรูปภาพที่กำลังป้อนข้าว อุ้ม  หรือเอามือเอาเท้าของมารดามาลูบหัวตน  พูดจาจ๊ะจ๋า  หนู(สรรพนามที่พุทธอิสระเรียกตัว)อย่างนั้นหนูอย่างนี้  ภาพหรือคลิปที่ปรากฏในเฟสของเขาเหล่านั้น  หากใครไม่รู้จักแยกแยะ   ก็จะหลงกลนายสุวิทย์เจ้าเล่ห์คนนี้ว่าช่างน่ารัก และกตัญญูเสียยิ่งกะไร?  รู้จักพูดจาออดอ้อนออเซาะแม่   ป้อนข้าวป้อนน้ำแม่   ตรงนี้ก็ถือว่านายสุวิทย์เข้าใจเล่นละครบทนี้ชนิดที่แฟนคลับเห็นแล้วต้องซาบซึ้งน้ำตาไหลเลยทีเดียว     เพราะอะไรก็แล้วแต่ที่แสดงออกเกี่ยวกับแม่ในเชิงบวกแล้วล่ะก้อ.....ใครเห็นใครได้ยินก็ซาบซึ้งประทับอกประทับใจกันทั้งนั้น      เรื่องรักแม่และการแสดงออกด้านกตัญญูกตเวทีนั้น  ผมส่วนตัวพอเข้าใจได้และอนุโมทนาด้วย   ผมเคยดูคอนเสิร์ตพี่เบิร์ดเมื่อยี่สิบปีกว่าปีมาแล้ว  พี่เบิร์ดนำแม่มากราบและโอบกอดบนเวทีวันนั้นนั้น  ผมเองก็น้ำตาไหลซึมปลื้มด้วย   แต่พี่เบิร์ดกับพุทธอิสระมีสถานะที่แตกต่างกัน    ดั้งนั้นการแสดงนั้นก็ควรพอเหมาะสมกับสถานะ   



หากนายสุวิทย์อยากจะแสดงความกตัญญูจริงๆ   ผมว่าถอดผ้าเหลืองออกซะเถอะครับ   จะใส่สูทผู้เนคไทหรืออะไรก็แล้วแต่เรื่องของคุณ  จะกอดหรือออเซาะแม่ทั้งวันทั้งคืนก็ถือว่าเป็นสิ่งที่น่าอนุโมทนา  จะให้ช่างกล้องถ่ายมุมไหน   ใช้กล้องกี่ตัวแล้วเอาคลิปมาอวดชาวโลกก็คงจะมีแต่คนอนุโมทนาสาธุด้วย    แต่อย่าทำลักษณะนี้ในขณะที่ห่มผ้าเหลืองเลย    จะโปรโมทตัวเองทั้งทีไม่ควรไปสร้างความลำบากให้คนเฒ่าคนแก่ซึ่งเป็นแม่ของตัวเองด้วย  การเอาผ้าเหลืองมาห่มปลอมเป็นพระ  พูดจ๊ะจ๋า  หนูอย่างนั้นหนูอย่างนี้แล้ว.....ดูคลิปมันขัดหูขัดตาครับ      แม้ในอดีตพุทธกาลแม้จะเคยมีพระเลี้ยงดูบิดามารดา  แต่ท่านก็ไม่เคยออกแอ๊คชั่นขนาดนี้ท่านก็ทำเหมาะสมแก่สมณสารูปของท่าน   



อีกคลิปหนึ่ง....ตอนที่นายสุวิทย์ไปตรวจดโรงครัวทำอาหารของแกที่สนามหลวง  ดูเหมือนแกจะบ่นไปหมดเสียทุกเรื่อง(จิตใจว้าวุ่น)  เห็นมีด เห็นเขียงก็ถามเขาเหมือนไม่มีน้ำใจประมาณว่าล้างกันบ้างหรือเปล่า   สรรพนามที่เรียกตัวเอง “ชั้นอย่างนั้น  ชั้นอย่างนี้”   พ่อบ้านแม่บ้านเขาวางหวีกล้วยลงในตะกร้า  ไม่ถูกใจตนก็ตำหนิว่าเขาวางไม่ถูก(ขนาดวางหวีกล้วยนี่นะ  มีการวางถูกวางผิดด้วย??)  มีช่วงหนึ่งแกตะคอกใส่แม่บ้านเรื่อง “ข้าว” ที่ชาวบ้านเขาเอามาบริจาคเพื่อร่วมทำกุศล   พุทธอิสระตะโกนบอกแม่บ้านว่าข้าวที่บริจาคไม่ได้คุณภาพ   “เมิงไปเอาข้าวอีปูว์มาจากไหน(มาบริจาค) เอากลับไปคืนมัน  กรูไม่รับ”.....โห   ในใจของอลัชชีตนนี้มันมีแต่ความจงเกลียดจงชังมากมายขนาดนี้เชียวหรือ?    ขนาดชาวบ้านเขาเอาข้าวมาบริจาคให้มันแท้ๆ มันยังโยงเข้าหาอคติของมันได้อย่างไม่น่าเชื่อ

แก้ไขข้อความเมื่อ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 5
สุวิทย์ปุจฉา...วัชรานนท์ตอบ





สุวิทย์: “หรือว่า  เราจะเป็นคนโง่จริงๆ”
วัชรานนท์: โง่ตัวจริงเสียงจริงเลยล่ะคุณ....อ่านต่อไปเรื่อยๆ แล้วจะรู้ว่าโง่อย่างไร? ขนาดไหน?

สุวิทย์: "นักบวชในพระพุทธศาสนาทั่วประเทศ มีไม่ต่ำกว่าสองแสนเศษ  มีวัดสามหมื่นกว่า  ทุกท่านล้วนแล้วแต่ยังอยู่ดี  มีเงินใช้  มีคนไหว้  ได้รับกิจนิมนต์ มีเอกลาภ  ได้รับการยอมรับจากทุกกลุ่มทุกสี รังภาครัฐและประชาชน........ไม่ว่าเทพจะมีอำนาจ  หรือมาจะครองเมือง  นักบวชผู้ชาญฉลาดรู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี  ไม่ยี่หระทุกข์ร้อน  แม้แต่จะมีประชาชนบาดเจ็บล้มตายสักกี่ราย  ...........ขอกรูอยู่ได้  พวกกรูรอดเป็นพอใจ  ฉันถึงได้จั่วหัวเรื่องว่า หรือเราจะโง่จริงๆ..."
วัชรานนท์: นี่แหละคือมุมมองของคนโง่อย่างหนึ่ง   คือคิดเองเออเองฝ่ายเดียว  คิดว่าตัวเองกำลังทำถูกต้องอยู่คนเดียว  ส่วนพระอีกหลายแสนรูปนั้นไม่ถูกต้อง   และที่สุวิทย์บ่นด่าพระเป็นแสนๆ รูปอยู่นี้ล้วนเป็นเรื่อง “การเมือง” แทบทั้งสิ้น   จะให้พระภิกษุสามเณรเข้าไปยุ่งเกี่ยวอย่างสุวิทย์  ควรหรือ??   ก็มีบ้างนะที่ออกมาโยว้ๆ เหมือนสุวิทย์..... ขนาดนั้นก็ยังผิดอยู่ดีนั่นแหละเพราะออกมาโย้วๆ คนละข้างกับสุวิทย์    


สุวิทย์: "โง่ที่ไม่รู้จักเอาตัวรอด  โง่ที่ไม่รู้จักรักษาผลประโยชน์ของตน  โง่ที่ไม่รู้จักรักษาภาพให้ดูดี  โง่ที่รักชาติ  ศาสน์ กษัตริย์เกินไป.....บลา บลา บลา"
วัชรานนท์:  การพูดแบบลงโทษตัวเองในลักษณะนี้เขาเรียกว่าเรียกคะแนน   เพื่อเสริมภาพพจน์ตัวเองให้เด่นกว่าที่เป็นอยู่...อีกทางหนึ่งเป็นการสะท้อนความโง่ ความเจ้าเล่ห์ของตัวเองออกมา   ถ้าสุวิทย์คิดว่าตัวเองเป็นพระนะ....สิ่งเหล่านี้สุวิทย์ไม่ต้องข้องแวะเลย  เหมือนพระหลายแสนรูปที่สุวิทย์กำลังตำหนิอยู่นั่นแหละท่านถือว่าไม่ใช่กิจของสงฆ์   อย่าอ้างเอาความตายความทุกข์ของประชาชนมารองรับการกระทำ(เห้ๆ ของสุวิทย์)  แล้วตีกระทบด่าพระเป็นแสนๆ  เลย   สุวิทย์เองก็มือโชกเลือดต่อการตายด้วยไม่ใช่หรือ?  ตัวเองทำผิดแล้วเที่ยวไปด่าคนอื่นมีแต่คนโง่กับคนโง่ด้วยกันนั่นแหละที่เออออห่อหมกกับการกระทำของสุวิทย์


สุวิทย์: "ฉันคิดเล่นๆ ต่อไปว่า  หากฉันฉลาดสักนิด  ทำชีวิตให้อยู่สุขสบายเป็นพวกสุขนิยม  ทำตนให้เป็นกลางๆ ไม่เข้าข้างใคร  เทพก็เข้าได้  มารก็คุยด้วย....ฉันคงไม่ต้องลำบากถึงเพียงนี้"
วัชรานนท์:  สุวิทย์ต้องรอลงอเวจีก่อน  ลำบากกว่านี้แน่....หากอยากจะฉลาดก็ทำสิครับ   จะมาทุกข์ร้อนห่มผ้าเหลืองหลอกชาวบ้านไปวันๆ ทำไม?    ริจะเป็นพระก็ต้องลำบาก   ลำบากในการเร่งความเพียรให้พ้นฝั่งโลกียะ...ไม่ใช่เพียรในการว่ายไปหาอีกฝั่งตรงข้ามเหมือนที่สุวิทย์ทำอยู่   อย่างนี้เขาเรียกว่าทั้งโง่ทั้งเขลา  พระพุทธองค์ตำหนิในความเพียรแบบโง่ๆ ตรงนี้   บอกตรงๆ นะสุวิทย์....ตอนนี้ต้องบอกว่าเสียใจด้วย   มันสายไปเสียแล้วที่จะได้เห็นฝั่งโลกิยะ   การทำตัวเองแปดเปื้อนมลทินมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า  เช่นว่า มีส่วนในการตายของมนุษย์   ยักยอกเอาเงินหรือสิ่งของๆ คนอื่นเกินห้ามาสก(หนึ่งบาท)  ถือว่าต้องปาราชิกขาดจากความเป็นภิกษุ   ห้ามสวรรค์ห้ามนิพพาน......คงเหลือแต่ประตูเดียวเปิดอ้ารอรับสุวิทย์อยู่   เสียใจด้วยจริงๆ....


สุวิทย์: "ฉันคิดต่อไปว่า   หากชีวิตฉันเป็นเช่นนั้นจริง  ไม่รู้ว่าควรหายใจต่อไปไหม  และหากฉันทำให้พ่อแม่ต้องเสียใจ  ฉันไม่ขอหายใจดีกว่า"
วัชรานนท์: ถ้าพ่อแม่ของสุวิทย์ตั้งมั่นในหลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า    ผมเชื่อว่าท่านคงเสียใจต่อการกระทำของสุวิทย์(ในขณะที่เป็นพระนะ)    พ่อแม่ทุกคนย่อมมีความสุขที่ได้เห็นลูกชายอยู่ในผ้ากาสาวพัตร์  ปฏิบัติธรรม  ยังกิจของสงฆ์ให้สมบูรณ์   เร่งความเพียรเพื่อการหลุดพ้น   ประพฤติตามกรอบพระวินัย   อบรมสั่งสอนพุทธศาสนิกชนในแนวทางที่พระพุทธองค์ทรงวางเอาไว้แล้ว    ไม่มัวเมาและส่งเสริมการกระทำใดๆ อันเป็นอกุศล   หรือไม่ชี้ทางในสิ่งที่ตัวเองไม่แน่ใจและยังพิสูจน์ข้อเท็จจริงไม่ได้........ถ้าทำตามนี้พ่อแม่ย่อมไม่เสียใจ    ส่วนการที่จะไม่ขอหายใจหรือหายใจต่อนั้น   เป็นสิทธิของสุวิทย์นะ.....อ๊อกซิเจนไม่เคยเลือกข้างอยู่แล้วว่าจะเข้าไปอยู่ในปอดของคนดีหรือคนชั่ว   ตัดสินใจเอาเองก็แล้วกัน....อย่าทำอะไรโง่ๆ อีกล่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่