มากกว่า 10 ปีเลยทีเดียวที่ Coke ไม่ได้ออกรสชาติใหม่มานำเสนอในตลาด แต่ในสภาวะที่ทุกธุรกิจเครื่องดื่มในบ้านเราต่างติดลบกันทั่วหน้า ไม่เว้นแม้แต่น้ำดำมูลค่า 45,000 ล้านบาท
แน่นอนผู้นำตลาดอย่าง Coke ที่มีส่วนแบ่งตลาดราวๆ 55% ก็ย่อมได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้ เพราะฉะนั้นหนึ่งในวิธีกระตุ้นยอดขายที่ดี คือการออกสินค้าใหม่ที่ยังไม่เคยมีใครเสิร์ฟในตลาดมาก่อน
COKE PLUS COFFEE หรือที่เรียกง่าย ๆ ว่า โค้กกาแฟ จึงถูกเสิร์ฟในประเทศไทย โดยประเทศแรกที่ได้ลิ้มลองความซ่าแบบใหม่นั้นคือประเทศญี่ปุ่น ส่วนประเทศไทยเป็นประเทศที่ 4 โดยบริษัทแม่เองก็มีนโยบายที่จะเสิร์ฟอีกหลายๆ ประเทศทั่วโลก
แล้วทำไม “COKE PLUS COFFEE” ต้องมาเสิร์ฟที่ไทย
หากสังเกตร้านกาแฟในบ้านเรามีอยู่เกลื่อนเมืองและมีอัตราเติบโตขึ้นทุกปี อีกทั้งตลาดกาแฟกระป๋องยังมีมูลค่า 12,000 ล้านบาท นั้นแปลว่าคนไทยชอบดื่มกาแฟเป็นอย่างมาก
การนำ Coke มา Hybrid กับกาแฟโรบัสต้าพร้อมกับลดน้ำตาล 50% แคลอรี่ต่ำ จึงเกิดขึ้น อีกทั้งยังอยู่ในสูตรผสมเครื่องดื่มที่เป็นไปตามเทรนด์ของโลกคือไม่ว่าจะเป็นเครื่องดื่ม อาหาร ขนม,ลูกอม และอีกสารพัดอย่าง พยายามจะลดน้ำตาลให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อเอาใจผู้บริโภคในยุคนี้ที่ใส่ใจสุขภาพมากขึ้น
ในขณะที่ในอดีตเทรนด์เครื่องดื่ม Hybrid ก็มีให้เห็นอย่างมากมายไม่ว่าจะเป็นกลุ่มธุรกิจน้ำผลไม้,ชาพร้อมดื่ม, และอื่นๆ ซึ่งก็ประสบความสำเร็จบางล้มเหลวบาง เหตุผลหลักๆ ก็คือรสชาตินั้นเองที่เป็นตัวชี้วัดหลักๆ ว่าใครจะอยู่ใครจะไป
แล้ว “COKE PLUS COFFEE ” มีรสชาติอย่างไร ได้กลิ่นหอมของกาแฟ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความซ่าในแบบต้นฉบับของ Coke ลดน้อยลงไป ตรงนี้ทำให้ทีมผู้บริหารมั่นใจไม่น้อยว่า Coke รสชาติใหม่นี้จะ “แจ้งเกิด” ในเมืองไทยได้ไม่ยาก
โดยเริ่มต้นวางขายในขนาด 240 มล. ราคา 15 บาท โดยเริ่มต้นขายในช่วงต้นเดือน มิถุนายน ผ่านร้าน 7-11 ทั่วประเทศไทย
แน่นอน Coke จะต้องมีโปรโมชั่นเพราะนี้คือรสชาติใหม่ของ Coke ที่ไม่เคยมีมาก่อน และเป้าหมายแรกของสินค้าใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวคือต้องให้เกิดการทดลองชิมมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
โปรโมชั่นจึงถือเป็นเครื่องมือการตลาดชิ้นดีที่จะช่วยในเรื่องนี้ โดยจะมีการลดราคาขายเหลือกระป๋องละ 13 บาทในวันที่ 21 – 23 มิถุนายน ในร้าน 7- 11
แล้วถ้าผลตอบรับด้านยอดขายอยู่ในระดับที่น่าพอใจ ทางผู้บริหาร Coke ยืนยันแล้วว่าจะเห็น “COKE PLUS COFFEE” กระจายไปทุกช่องทางการขายทั้งโชห่วยและร้านสะดวกซื้อทุกร้าน
https://marketeeronline.co/archives/39268 
โค้กกาแฟ มาขายที่ไทยแล้วจ้า !
แน่นอนผู้นำตลาดอย่าง Coke ที่มีส่วนแบ่งตลาดราวๆ 55% ก็ย่อมได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้ เพราะฉะนั้นหนึ่งในวิธีกระตุ้นยอดขายที่ดี คือการออกสินค้าใหม่ที่ยังไม่เคยมีใครเสิร์ฟในตลาดมาก่อน
COKE PLUS COFFEE หรือที่เรียกง่าย ๆ ว่า โค้กกาแฟ จึงถูกเสิร์ฟในประเทศไทย โดยประเทศแรกที่ได้ลิ้มลองความซ่าแบบใหม่นั้นคือประเทศญี่ปุ่น ส่วนประเทศไทยเป็นประเทศที่ 4 โดยบริษัทแม่เองก็มีนโยบายที่จะเสิร์ฟอีกหลายๆ ประเทศทั่วโลก
แล้วทำไม “COKE PLUS COFFEE” ต้องมาเสิร์ฟที่ไทย
หากสังเกตร้านกาแฟในบ้านเรามีอยู่เกลื่อนเมืองและมีอัตราเติบโตขึ้นทุกปี อีกทั้งตลาดกาแฟกระป๋องยังมีมูลค่า 12,000 ล้านบาท นั้นแปลว่าคนไทยชอบดื่มกาแฟเป็นอย่างมาก
การนำ Coke มา Hybrid กับกาแฟโรบัสต้าพร้อมกับลดน้ำตาล 50% แคลอรี่ต่ำ จึงเกิดขึ้น อีกทั้งยังอยู่ในสูตรผสมเครื่องดื่มที่เป็นไปตามเทรนด์ของโลกคือไม่ว่าจะเป็นเครื่องดื่ม อาหาร ขนม,ลูกอม และอีกสารพัดอย่าง พยายามจะลดน้ำตาลให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อเอาใจผู้บริโภคในยุคนี้ที่ใส่ใจสุขภาพมากขึ้น
ในขณะที่ในอดีตเทรนด์เครื่องดื่ม Hybrid ก็มีให้เห็นอย่างมากมายไม่ว่าจะเป็นกลุ่มธุรกิจน้ำผลไม้,ชาพร้อมดื่ม, และอื่นๆ ซึ่งก็ประสบความสำเร็จบางล้มเหลวบาง เหตุผลหลักๆ ก็คือรสชาตินั้นเองที่เป็นตัวชี้วัดหลักๆ ว่าใครจะอยู่ใครจะไป
แล้ว “COKE PLUS COFFEE ” มีรสชาติอย่างไร ได้กลิ่นหอมของกาแฟ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความซ่าในแบบต้นฉบับของ Coke ลดน้อยลงไป ตรงนี้ทำให้ทีมผู้บริหารมั่นใจไม่น้อยว่า Coke รสชาติใหม่นี้จะ “แจ้งเกิด” ในเมืองไทยได้ไม่ยาก
โดยเริ่มต้นวางขายในขนาด 240 มล. ราคา 15 บาท โดยเริ่มต้นขายในช่วงต้นเดือน มิถุนายน ผ่านร้าน 7-11 ทั่วประเทศไทย
แน่นอน Coke จะต้องมีโปรโมชั่นเพราะนี้คือรสชาติใหม่ของ Coke ที่ไม่เคยมีมาก่อน และเป้าหมายแรกของสินค้าใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวคือต้องให้เกิดการทดลองชิมมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
โปรโมชั่นจึงถือเป็นเครื่องมือการตลาดชิ้นดีที่จะช่วยในเรื่องนี้ โดยจะมีการลดราคาขายเหลือกระป๋องละ 13 บาทในวันที่ 21 – 23 มิถุนายน ในร้าน 7- 11
แล้วถ้าผลตอบรับด้านยอดขายอยู่ในระดับที่น่าพอใจ ทางผู้บริหาร Coke ยืนยันแล้วว่าจะเห็น “COKE PLUS COFFEE” กระจายไปทุกช่องทางการขายทั้งโชห่วยและร้านสะดวกซื้อทุกร้าน
https://marketeeronline.co/archives/39268