สวัสดีค่ะ แนะนำตัวเองคร่าวๆหน่อยละกันนะคะ
เราไปเรียนที่ญี่ปุ่น ปริญญาตรี 4 ปี เรียนจบก็ทำงานอยู่เมืองโยโกฮาม่า เป็นบริษัทโปรโมทการท่องเที่ยว ทำอยู่ประมาณ 10 เดือน
สาเหตุที่กลับไทยเพราะแม่ป่วยเป็นเนื้องอกในสมองค่ะ แอบเสียดายนิดๆที่ยังทำงานไม่ครบปีที่บริษัทนั้น
(เพราะหลายๆบริษัท เวลาสัมภาษณ์งานเขาจะถามค่ะ ว่าทำไมอยู่ไม่ครบปี ทนแรงกดดันไม่ได้เหรอ )
พอกลับมาแค่ 9 วัน แม่เราก็เสียค่ะ เราก็เป๋ๆไปพักนึง พอทำใจได้ก็มาเริ่มหางานใหม่ที่ไทย
ทีนี้ก็มีญาติที่ทำงานอยู่โรงพยาบาลนั้นทักมา บอกว่าโรงพยาบาลคนไข้ญี่ปุ่นเยอะนะ มาลองทำมั้ย
ก็คิดว่า มันเป็นงานที่ท้าทายนะ แต่อีกใจก็กลัวว่า จากสายงานท่องเที่ยว จะเปลี่ยนเป็นโรงพยาบาล
มันเหมือนต้องเรียนรู้ศัพท์ใหม่หมด ซึ่งก็ยากอ่าค่ะ แต่ก็อยากลองดู
โรงพยาบาลที่เราไปสัมภาษณ์ เป็นโรงพยาบาลชื่อดังใจกลางเมือง ที่มีคนไข้ชาวญี่ปุ่นเยอะๆ (หลายคนคงพอเดาได้)
พอไปถึง เราก็ไปนั่งรอในห้องประชุมเล็กๆ นั่งรออยู่สักครึ่งชั่วโมง ก็มีคนญี่ปุ่น 2 คน (ชาย หญิง) คนไทย 2 คน (หญิงทั้งคู่) เข้ามา
บทสนทนาต่อไปนี้ ทั้งหมดเป็นภาษาญี่ปุ่นนะคะ แม้แต่กับคนไทยเองก็ใช้ภาษาญี่ปุ่นค่ะ
ก่อนอื่น คนญี่ปุ่นผู้หญิงก็ให้เราแนะนำตัวค่ะ เราก็บอกไปสั้นๆ ว่าจบปีไหน จบอะไรมา ทำงานที่ไหนมาก่อน
ทีนี้เขาก็ถามค่ะ ว่าทำไมถึงกลับไทยล่ะ แถมทำงานไม่ครบปีด้วย (นั่นไง ว่าแล้วต้องโดน)
ก็เลยอธิบายเรื่องแม่ไปค่ะ แต่เราก็เล่าให้มันตลกๆไปนะคะ กลัวทำคณะกรรมการร้องไห้ ฮ่าๆ
จากนั้นเขาก็ถามเรื่องทั่วไปค่ะ ว่าตอนอยู่ญี่ปุ่น มีเรื่องอะไรน่าตกใจบ้าง หรือคิดว่าช่วงเรียนมีอะไรที่ลำบากบ้าง
แล้วก็ถามว่า ตอนนี้บ้านอยู่ไหน ซึ่งบ้านเราค่อนข้างไกลจากโรงพยาบาลค่ะ เลยบอกว่าจะหาห้องอยู่แถวนี้
เขาก็ดูเป็นห่วง แต่ก็บอกไปว่าไม่เป็นไร ที่บ้านอนุญาตแล้ว
แล้วก็มีถามเกี่ยวกับตัวเราอีกนิดๆหน่อยๆ ตรงนี้เราก็ PR ตัวเองให้เต็มที่ไปเลยค่ะ เค้าไม่ถามก็เล่าไปเลย
จากนั้นพี่คนไทยก็บอกว่า "อ่ะ เดี๋ยวจะให้จำลองเหตุการณ์ เป็นหมอคนไทย กับคนไข้ญี่ปุ่น แล้วให้หนูล่ามนะ"
ช็อคค่ะ ช็อคไปเลย 55555 เท่าที่หารีวิวได้ บางคนได้แค่แปลแผ่นพับโรงพยาบาลเองนะ
เราก็ยิ้มไว้ก่อนค่ะ แต่ในใจนี่คิดละ ว่าจะรอดมั้ย ศัพท์แพทย์ยิ่งน้อยๆอยู่
ระหว่างหมอกับคนไข้ คือ เราล่ามคั่นกลางตลอดนะคะ
หมอ : วันนี้คนไข้เป็นอะไรมาคะ
คนไข้ : รู้สึกปวดศีรษะ เป็นมา 2 วันแล้ว
หมอ : มีอาการอื่นร่วมด้วยมั้ยคะ เช่น เป็นไข้ ไอ จาม
คนไข้ : ไม่มีครับ แค่ปวดหัว ปวดจนทำงานไม่ได้เลย
หมอ : เวลาปวดเห็นภาพซ้อนด้วยมั้ยคะ
(ซวยละ ภาพซ้อนคืออะไร เลยเลี่ยงไปอธิบายว่า เห็นของสิ่งหนึ่งเป็นหลายๆสิ่งมั้ย)
คนไข้ : ไม่มีครับ แต่รู้สึกปวดตรงต้นคอ ลามมาถึงไหล่
หมอ : ไหล่แข็งๆด้วยใช่มั้ยคะ
คนไข้ : ใช่ๆ
หมอ : งั้นเดี๋ยวเชิญขึ้นเตียง นอนลงเลยนะคะ หมอจะไม่ไห้ขยับศีรษะ แต่แค่กลอกตาตามนิ้วหมอนะ
(เงิบ คำว่า กลอกตา 555 เขาเลยทำท่าร่วมด้วย แล้วเราก็ล่ามตามไป)
หมอ : เดี๋ยวหมอจะกดไหล่นะ เจ็บมั้ย เจ็บไปถึงศีรษะมั้ย
คนไข้ : เจ็บครับ
หมอ : งั้นเดี๋ยวเชิญลงมานั่งที่เก้าอี้ค่ะ เดี๋ยวจะอธิบายอาการต่อ
หมอ : เท่าที่เห็นอาการคิดว่าน่าจะเพราะทำงานหน้าจอคอมนานเกินไป
เดี๋ยวหมอจะให้ยาทาน แล้วดูอาการ 2-3 วัน ถ้าไม่ดีขึ้น จะให้กลับมาตรวจอีกรอบค่ะ
ไม่ทราบว่าคนไข้มีโรคประจำตัวมั้ยคะ
(เคยรู้คำว่าโรคประจำตัว แต่ ณ ตอนนั้นแบล็งมาก 555 เขาเลยช่วยบอกว่า ใช้คำว่า ทานยาอะไรเป็นประจำมั้ย)
คนไข้ : ทานยาเกี่ยวกับความดัน และคอเรสเตอรอลสูงอยู่ครับ
หมอ : ถ้างั้นเดี๋ยวให้ยาคลายกล้ามเนื้อไปทานนะ
(ยาคลายกล้ามเนื้อ....สตั๊นไปอีก เขาเลยอธิบายว่า ยาที่ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนลง รีแล็กซ์ขึ้น ซึ่งเราก็แปลไปตามนั้นค่ะ)
คนไข้ : แล้วสามารถทานร่วมกับยาที่ทานอยู่ได้มั้ยครับ
หมอ : ทานได้ค่ะ
คนไข้ : จริงๆผมกลัวว่า มันจะเกิดอะไรขึ้นกับสมองมั้ย อยากให้ช่วยตรวจด้วย
หมอ : รอดูอาการก่อนค่ะ ถ้าทานยาไม่หาย ครั้งหน้าก็ให้มาตรวจสมองด้วยเลย
คนไข้ : เข้าใจแล้วครับ
หมอ : ถ้างั้นรบกวนไปรอที่เคาเตอร์การเงินด้วยค่ะ
(ตรงนี้เราแปลไปว่าเคาเตอร์เฉยๆ ลืมคำว่าการเงินซะงั้น สติหายไปหมดแล้วจริงๆค่า)
เรารู้สึกเป็นการล่ามที่ยาวนานมากกก คนไข้ก็ถามละเอียดจังงง หมอก็ซักเยอะมากกก
ส่วนล่ามก็เอ๋อกับคำศัพท์แปลกๆไป แต่ก็ถือว่าโอเคล่ะมั้ง
คณะกรรมการเขาก็มีชม บอกว่าศัพท์บางคำ ไม่คิดว่าจะรู้ก็รู้
ก็เลยบอกว่าไป เคยเข้าโรงพยาบาลที่ญี่ปุ่นมาก่อน เคยเป็นไข้หวัดใหญ่ ตอนนั้นไม่มีใครช่วยเลยด้วย
เราถึงเข้าใจความรู้สึกคนป่วยที่มีปัญหาด้านภาษา เราอยากทำงานนี้จริงๆ
เขาก็บอก อืม จริงๆวันนี้ไม่รู้ศัพท์ก็ไม่เป็นไร เพราะยังไม่เริ่มงาน แต่เขาอยากเห็นว่าเราสามารถเอาตัวรอดได้มั้ย
พอเสร็จ เขาก็คุยเรื่องการเข้างาน 8 โมง -5 โมง หรือ 9 โมง -6โมง บางวันก็จะมีโอทีถึงสามทุ่มด้วย
ซึ่งส่วนมากจะไม่ได้หยุดวันเสาร์ อาทิตย์ เพราะคนไข้เยอะ แต่ก็จะได้หยุดวันธรรมดาแน่นอน 2 วัน
ก็ไว้รอคุยเรื่องเงินเดือนกับสวัสดิการอื่นๆกับฝ่ายบุคคล เขาจจะโทรมาคุยอีกทีค่ะ
ถ้าใครอยากลองสมัครล่ามโรงพยาบาลก็อ่านเป็นตัวอย่างไปก็ได้ค่ะ เผื่อจะเตรียมตัวไปก่อน
อย่างน้อยถ้ารู้บ้างว่าจะเจอกับอะไร ก็หายเครียดไปบ้าง (หรือเครียดหนักกว่าเดิมหว่า?)
ที่มาเขียนเพราะก่อนเราไปสัมภาษณ์ หารีวิวแทบไม่มีเลย แล้วก็นั่งกังวลอยู่คนเดียว วันจริงก็ลุยๆไป
ขอจบการรีวิวแต่เพียงเท่านี้ค่ะ !
รีวิวสัมภาษณ์งานล่ามภาษาญี่ปุ่น ที่โรงพยาบาล
เราไปเรียนที่ญี่ปุ่น ปริญญาตรี 4 ปี เรียนจบก็ทำงานอยู่เมืองโยโกฮาม่า เป็นบริษัทโปรโมทการท่องเที่ยว ทำอยู่ประมาณ 10 เดือน
สาเหตุที่กลับไทยเพราะแม่ป่วยเป็นเนื้องอกในสมองค่ะ แอบเสียดายนิดๆที่ยังทำงานไม่ครบปีที่บริษัทนั้น
(เพราะหลายๆบริษัท เวลาสัมภาษณ์งานเขาจะถามค่ะ ว่าทำไมอยู่ไม่ครบปี ทนแรงกดดันไม่ได้เหรอ )
พอกลับมาแค่ 9 วัน แม่เราก็เสียค่ะ เราก็เป๋ๆไปพักนึง พอทำใจได้ก็มาเริ่มหางานใหม่ที่ไทย
ทีนี้ก็มีญาติที่ทำงานอยู่โรงพยาบาลนั้นทักมา บอกว่าโรงพยาบาลคนไข้ญี่ปุ่นเยอะนะ มาลองทำมั้ย
ก็คิดว่า มันเป็นงานที่ท้าทายนะ แต่อีกใจก็กลัวว่า จากสายงานท่องเที่ยว จะเปลี่ยนเป็นโรงพยาบาล
มันเหมือนต้องเรียนรู้ศัพท์ใหม่หมด ซึ่งก็ยากอ่าค่ะ แต่ก็อยากลองดู
โรงพยาบาลที่เราไปสัมภาษณ์ เป็นโรงพยาบาลชื่อดังใจกลางเมือง ที่มีคนไข้ชาวญี่ปุ่นเยอะๆ (หลายคนคงพอเดาได้)
พอไปถึง เราก็ไปนั่งรอในห้องประชุมเล็กๆ นั่งรออยู่สักครึ่งชั่วโมง ก็มีคนญี่ปุ่น 2 คน (ชาย หญิง) คนไทย 2 คน (หญิงทั้งคู่) เข้ามา
บทสนทนาต่อไปนี้ ทั้งหมดเป็นภาษาญี่ปุ่นนะคะ แม้แต่กับคนไทยเองก็ใช้ภาษาญี่ปุ่นค่ะ
ก่อนอื่น คนญี่ปุ่นผู้หญิงก็ให้เราแนะนำตัวค่ะ เราก็บอกไปสั้นๆ ว่าจบปีไหน จบอะไรมา ทำงานที่ไหนมาก่อน
ทีนี้เขาก็ถามค่ะ ว่าทำไมถึงกลับไทยล่ะ แถมทำงานไม่ครบปีด้วย (นั่นไง ว่าแล้วต้องโดน)
ก็เลยอธิบายเรื่องแม่ไปค่ะ แต่เราก็เล่าให้มันตลกๆไปนะคะ กลัวทำคณะกรรมการร้องไห้ ฮ่าๆ
จากนั้นเขาก็ถามเรื่องทั่วไปค่ะ ว่าตอนอยู่ญี่ปุ่น มีเรื่องอะไรน่าตกใจบ้าง หรือคิดว่าช่วงเรียนมีอะไรที่ลำบากบ้าง
แล้วก็ถามว่า ตอนนี้บ้านอยู่ไหน ซึ่งบ้านเราค่อนข้างไกลจากโรงพยาบาลค่ะ เลยบอกว่าจะหาห้องอยู่แถวนี้
เขาก็ดูเป็นห่วง แต่ก็บอกไปว่าไม่เป็นไร ที่บ้านอนุญาตแล้ว
แล้วก็มีถามเกี่ยวกับตัวเราอีกนิดๆหน่อยๆ ตรงนี้เราก็ PR ตัวเองให้เต็มที่ไปเลยค่ะ เค้าไม่ถามก็เล่าไปเลย
จากนั้นพี่คนไทยก็บอกว่า "อ่ะ เดี๋ยวจะให้จำลองเหตุการณ์ เป็นหมอคนไทย กับคนไข้ญี่ปุ่น แล้วให้หนูล่ามนะ"
ช็อคค่ะ ช็อคไปเลย 55555 เท่าที่หารีวิวได้ บางคนได้แค่แปลแผ่นพับโรงพยาบาลเองนะ
เราก็ยิ้มไว้ก่อนค่ะ แต่ในใจนี่คิดละ ว่าจะรอดมั้ย ศัพท์แพทย์ยิ่งน้อยๆอยู่
ระหว่างหมอกับคนไข้ คือ เราล่ามคั่นกลางตลอดนะคะ
หมอ : วันนี้คนไข้เป็นอะไรมาคะ
คนไข้ : รู้สึกปวดศีรษะ เป็นมา 2 วันแล้ว
หมอ : มีอาการอื่นร่วมด้วยมั้ยคะ เช่น เป็นไข้ ไอ จาม
คนไข้ : ไม่มีครับ แค่ปวดหัว ปวดจนทำงานไม่ได้เลย
หมอ : เวลาปวดเห็นภาพซ้อนด้วยมั้ยคะ
(ซวยละ ภาพซ้อนคืออะไร เลยเลี่ยงไปอธิบายว่า เห็นของสิ่งหนึ่งเป็นหลายๆสิ่งมั้ย)
คนไข้ : ไม่มีครับ แต่รู้สึกปวดตรงต้นคอ ลามมาถึงไหล่
หมอ : ไหล่แข็งๆด้วยใช่มั้ยคะ
คนไข้ : ใช่ๆ
หมอ : งั้นเดี๋ยวเชิญขึ้นเตียง นอนลงเลยนะคะ หมอจะไม่ไห้ขยับศีรษะ แต่แค่กลอกตาตามนิ้วหมอนะ
(เงิบ คำว่า กลอกตา 555 เขาเลยทำท่าร่วมด้วย แล้วเราก็ล่ามตามไป)
หมอ : เดี๋ยวหมอจะกดไหล่นะ เจ็บมั้ย เจ็บไปถึงศีรษะมั้ย
คนไข้ : เจ็บครับ
หมอ : งั้นเดี๋ยวเชิญลงมานั่งที่เก้าอี้ค่ะ เดี๋ยวจะอธิบายอาการต่อ
หมอ : เท่าที่เห็นอาการคิดว่าน่าจะเพราะทำงานหน้าจอคอมนานเกินไป
เดี๋ยวหมอจะให้ยาทาน แล้วดูอาการ 2-3 วัน ถ้าไม่ดีขึ้น จะให้กลับมาตรวจอีกรอบค่ะ
ไม่ทราบว่าคนไข้มีโรคประจำตัวมั้ยคะ
(เคยรู้คำว่าโรคประจำตัว แต่ ณ ตอนนั้นแบล็งมาก 555 เขาเลยช่วยบอกว่า ใช้คำว่า ทานยาอะไรเป็นประจำมั้ย)
คนไข้ : ทานยาเกี่ยวกับความดัน และคอเรสเตอรอลสูงอยู่ครับ
หมอ : ถ้างั้นเดี๋ยวให้ยาคลายกล้ามเนื้อไปทานนะ
(ยาคลายกล้ามเนื้อ....สตั๊นไปอีก เขาเลยอธิบายว่า ยาที่ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนลง รีแล็กซ์ขึ้น ซึ่งเราก็แปลไปตามนั้นค่ะ)
คนไข้ : แล้วสามารถทานร่วมกับยาที่ทานอยู่ได้มั้ยครับ
หมอ : ทานได้ค่ะ
คนไข้ : จริงๆผมกลัวว่า มันจะเกิดอะไรขึ้นกับสมองมั้ย อยากให้ช่วยตรวจด้วย
หมอ : รอดูอาการก่อนค่ะ ถ้าทานยาไม่หาย ครั้งหน้าก็ให้มาตรวจสมองด้วยเลย
คนไข้ : เข้าใจแล้วครับ
หมอ : ถ้างั้นรบกวนไปรอที่เคาเตอร์การเงินด้วยค่ะ
(ตรงนี้เราแปลไปว่าเคาเตอร์เฉยๆ ลืมคำว่าการเงินซะงั้น สติหายไปหมดแล้วจริงๆค่า)
เรารู้สึกเป็นการล่ามที่ยาวนานมากกก คนไข้ก็ถามละเอียดจังงง หมอก็ซักเยอะมากกก
ส่วนล่ามก็เอ๋อกับคำศัพท์แปลกๆไป แต่ก็ถือว่าโอเคล่ะมั้ง
คณะกรรมการเขาก็มีชม บอกว่าศัพท์บางคำ ไม่คิดว่าจะรู้ก็รู้
ก็เลยบอกว่าไป เคยเข้าโรงพยาบาลที่ญี่ปุ่นมาก่อน เคยเป็นไข้หวัดใหญ่ ตอนนั้นไม่มีใครช่วยเลยด้วย
เราถึงเข้าใจความรู้สึกคนป่วยที่มีปัญหาด้านภาษา เราอยากทำงานนี้จริงๆ
เขาก็บอก อืม จริงๆวันนี้ไม่รู้ศัพท์ก็ไม่เป็นไร เพราะยังไม่เริ่มงาน แต่เขาอยากเห็นว่าเราสามารถเอาตัวรอดได้มั้ย
พอเสร็จ เขาก็คุยเรื่องการเข้างาน 8 โมง -5 โมง หรือ 9 โมง -6โมง บางวันก็จะมีโอทีถึงสามทุ่มด้วย
ซึ่งส่วนมากจะไม่ได้หยุดวันเสาร์ อาทิตย์ เพราะคนไข้เยอะ แต่ก็จะได้หยุดวันธรรมดาแน่นอน 2 วัน
ก็ไว้รอคุยเรื่องเงินเดือนกับสวัสดิการอื่นๆกับฝ่ายบุคคล เขาจจะโทรมาคุยอีกทีค่ะ
ถ้าใครอยากลองสมัครล่ามโรงพยาบาลก็อ่านเป็นตัวอย่างไปก็ได้ค่ะ เผื่อจะเตรียมตัวไปก่อน
อย่างน้อยถ้ารู้บ้างว่าจะเจอกับอะไร ก็หายเครียดไปบ้าง (หรือเครียดหนักกว่าเดิมหว่า?)
ที่มาเขียนเพราะก่อนเราไปสัมภาษณ์ หารีวิวแทบไม่มีเลย แล้วก็นั่งกังวลอยู่คนเดียว วันจริงก็ลุยๆไป
ขอจบการรีวิวแต่เพียงเท่านี้ค่ะ !