คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 27
เมื่อทุกฝ่ายทางโลกยอมรับ ก็เป็นเรื่องถูกต้องของทางโลก ส่วนทางธรรมชาติที่ควรเป็น ก็เป็นไปตามกฏธรรมชาติ นั้นๆ.
ผมก็มีแม่ที่นอนติดเตียงมานี้ 5 ปีเต็ม ย่างปีที่ 6 แล้ว อายุ 93 ปีเต็มย่าง 94 ปี ส่วนผมสะโตรก(ลิ้มเลือดอุดตันในสมองอย่างเฉียบพลัน) ก่อนแม่ 1 ปี แต่เส้นเลือดไม่ถึงกับแตก อาการผมก็ยังป้อเป้ๆ อยู่ในช่วงเวลานั้น ส่วนของแม่เส้นเลือดแตกในสมองเพราะมีความดันสูง ซึ่งในช่วง 1- 4 ปี แม่บ่นอยากตายอยู่เป็นประจำ ผมย่อมรู้ว่าต้องเกิดสภาวะเช่นนี้กับแม่ ตั้งแต่วันที่แม่นอนติดเตียง ก็แนะนำธรรมะ เพิ่มขึ้น ให้ภาวนาเพิ่ม จากที่เคยไหว้พระ สวดมนตร์ และดูลม พุทธ-โธ โดยเพิ่มคำภาวนาต่อ จากนั้นว่า คนเราเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมดา นั้นไม่ใช่เรา นั้นไม่ใช่ของเรา นั้นไม่ใช่ตัวตนของเรา
และแนะนำเพิ่มไปว่า ไม่ต้องไปเครียดไม่ต้องไปคิดมากกับมัน ลูกคนนี้จะทำให้แม่อย่างดีและเหมาะสมที่สุด และบอกต่อไปว่า คนเราเมื่ออยากตาย แต่ไม่ตายก็เป็นทุกข์และเครียดไปเสียเปล่าๆ เช่นเดียวกันไม่อยากตายแต่ความแก่ความเจ็บคืบคลานเขามา ก็เป็นทุกข์ และเครียดไปเสียเปล่า ธรรมชาติเมื่อถึงเวลา มันจะตายมันก็ตายเอง.
ผมแนะนำอย่างนี้ เป็นเวลาถึง 3 ปี ไม่ค่อยได้ผลเพราะแม่กลายเป็นหนังหน้าไฟของลูกที่ขัดแย้งกันในเรื่องค่าใช้จ่ายเพียงเล็กน้อยกันเอง ส่วนผมสละให้มากที่สุดให้แล้ว จึงไม่เคยปัญหากับใคร ธรรมที่ให้แม่ไป ท่านจึงยังไม่เขาใจทำใจไม่ได้ และท่านก็ทุกข์มากจากการโดนกดดัน ผมก็พลอยเป็นทุกข์ ต้องรีบแก้ปัญหาให้ได้ก่อนที่ท่านจะเสียไป เพราะจิตใจของท่านย่ำแย่เป็นทุกข์มาก
จนผมต้องรีบเครียร์ หนิ้สินที่ต้องผ่อนจนหมด จึงมีกำลังเอาแม่มาดูแลที่ศูนย์เอกชนได้ เมื่ออายุท่านย่าง 92 ปี และจะได้บรรเทากรรมของพี่ที่ได้ทำกับแม่อย่างหนักเสียได้ โดยมีพี่ 2 คนช่วยเดือนละ 5000 ยาทต่อเดือน และคนที่มีปัญหากับแม่ได้มาคืนดีกับแม่ ทำให้แม่อโหสิกรรมบรรเทากรรมลงไป แต่ค่าใช้จ่ายต่อเดือน 25,000-28,000 บาท ผมจึงจ่ายหนักหน่อย
เมื่อแม่มาอยู่ในที่เหมาะสมดีขึ้น การภาวนาของท่านจึงเริ่มให้ผล ทำให้ท่านเข้าใจและมีปัญญาขึ้น ความเครียดที่อยากตายบ่นว่าอยากตายจึงค่อยๆ บรรเทาหายไป จนท่านเกือบตายจริงๆ ในปีถัดมา ซึ่งคนดูแลก็บอกว่า จากประสบการณ์ที่ดูแลคนแก่มานาน และป่วยบ่นเพ้ออย่างนี้ืคงอยู่ไม่นาน
พี่และผมจึงนำแม่ไปอยู่ศูนย์ที่ราคาย่อมเยาขึ้น และแม่ก็เพ้อทั้งคืน รู้งขั้นวันใหม่หยุดเพ้ออย่างปลิดทิ้ง และเข้าใจธรรมแบบที่ผมยิ้มได้. ความอยากตายคิดมากจนเครียดจึง ค่อยๆ หายไป ไม่บ่นอีกแล้ว ถ้าถามท่าน ท่านก็บอกว่า "ตายเร็วก็ดี แต่ทำอย่างไรได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็อยู่ไปตามสภาพของมัน"
แล้วสิ่งที่ผมประเมินไว้ก็มาถึงคือ พี่ๆ ที่เคยจ่ายให้บ้างเล็กน้อยก็เลิกจ่าย เพราะเขาก็ไม่มีรายได้มานานแล้วอายุก็ 66 ปี กันแล้ว นี้ก็เป็นธรรมที่แสดงตามความเป็นจริงของโลกให้เห็น ส่วนผมก็รับผิดชอบเต็มๆ ผู้เดียวต่อไป เพี่ยงให้พี่ๆ มาเยี่ยมแม่อาทิตย์ละครั้งก็ ดีแล้ว.
แม่ก็เริ่มแก่งอมขึ้น ด้วยสภาวะการติดเตียง และคนดูแลต่างก็บอกว่าแม่ผมดูแลง่าย ไม่หลงเลืม จิตใจดี ไม่มีปัญหาอะไรเลย แผลกดทับก็ไม่มี จับไข้หนักๆ ก็ไม่มี มีแต่ไอมาก เพราะเป็นแผลเป็นเป็นรอยขีดอยู่ที่หลอดลม จากผลเอ็กชเร ไม่ต้องให้อาหารเหลวทางท่อเข้าจมูก.
แต่มีคนหญิงชราอีกคนหนึ่งอายุ 91-92 ปี ติดเตียงให้อาหารทางท่อเข้าจมูก มีแผลกดทับ และต้องระบายเลือดออกจากท่อปัสสวะ สภาพน่าทรมานกว่าแม่เสียอีก และได้เสียไปแล้วเมื่อวันที่ 1. พ.ค นี้เอง ในวันที่ผมไปดูแม่พอดี.
แต่แม่ผมได้บอกกับผมและพี่ๆ หรือคนดูแลเก่าว่า ถ้าท่านน็อกไป ไม่ต้องกระตุ้นหรือป้ำหัวใจท่านขึ้นมา ไม่เจาะคอ และไม่เอาอาหารทางสายยาง ผมก็วิตกอยู่เหมือนกัน เพราะระยะหลังแม่เริ่มกินอาหารบดได้ลดลง แต่ยังกินกล้ยวน้ำว้า และนม นมถั่วเหลืองได้เหมือนเดิม. ถ้าเกิดแม่ไม่ยอมกินอาหารบดแล้วจะทำอย่างไรต่อ เพราะยังไปคิดถึงการให้อาหารเหลวทางท่อเข้าทางจมูกอยู่ ถ้าไม่ทำเดียวก็จะมีคนตำหนิ หรือโดนกดดันได้ เพราะคนทั่วไปเขาทำกันอย่างนั้นจนคิดว่าเป็นเรื่องปกติ.
ผมก็ยังไม่รู้ว่าถึงจุดที่แม่ไม่กินอาหารเหลวแล้วผมจะทำอย่างไร จะบังคับให้อาหารทางสายยางหรือ? จึงถามคนดูแลว่าจะทำอย่างไร เมื่อหลายเดือนก่อนหน้าโน้น คนดูแลก็บอกว่า ก็ต้องให้อาหารทางสายยาง ถามแฟน แฟนก็บอกว่าต้องให้อาหารทางสายยางถ้าร่างยังดีอยู่ แต่ถ้าสภาพร่างกายไม่ไหวแล้วก็ต้องปล่อย จึงวิตกว่าจะเอาอย่างไรดี.
วันที่ผ่านมาผมได้คุยกับคนดูแล และถามว่ามีไหม? ที่คนแก่งอมมากแล้ว 90 กว่า ปี ไม่ต้องให้อาหารทางสายยางเพราะมันทรมานกับคนแก่มาก จนท่านเสียไปเอง คนดูแลบอกว่ามี แต่เป็นการดูแลกันเองที่บ้าน ย่าหรือทวดเขาก็เป็นอย่างนั้น อายุ 95-96 ปี เมื่อแก่มากแล้วก็จะนอนนานเพียงอย่างเดียว ก็ปลุกขึ้นมาให้กินอาหารเหลว นานไป ก็ปลุกขึ้นมาให้กินอาหารเหลว แต่กินไม่แล้ว จึงหยอดน้ำให้อย่างเดียวอยู่ ประมาณ 5-6 วันท่านก็ไป.
ผมกิคิดว่า ออ... คนที่แก่มากจนงอมแล้วไม่ยอมรับอาหารที่กินได้ตามปกติโดยที่ไม่ต้องสอดสายยางทางจมูกให้อาหารเป็นธรรมชาติอย่างนี้ๆ เอง ผมจะได้ทำใจวางใจได้ถูก เพราะแม่เองก็ไม่ยอมอยู่แล้วที่จะให้อาหารทางสายยางเจาะเข้าจมูก ลงไปถึงกระเพาะ นอกจากไปบังคับท่าน และท่านก็สภาพร่างของท่านก็งอมมากไปเรื่อยๆ ตามสภาพอายุ ก็คงจะไม่ฝืนท่านเมื่อถึงสภาวะ ณ. จุดนั้น.
สรุป ธรรมก็คือ ชีวิตนั้นเอง จะดีหรือไม่ดี ที่ยกขึ้นมาสนทนาเรียนรู้เข้าใจกันได้ แลกเปลี่ยนกันได้ ปฏิบัติกันได้อย่างเหมาะสม.
ผมก็มีแม่ที่นอนติดเตียงมานี้ 5 ปีเต็ม ย่างปีที่ 6 แล้ว อายุ 93 ปีเต็มย่าง 94 ปี ส่วนผมสะโตรก(ลิ้มเลือดอุดตันในสมองอย่างเฉียบพลัน) ก่อนแม่ 1 ปี แต่เส้นเลือดไม่ถึงกับแตก อาการผมก็ยังป้อเป้ๆ อยู่ในช่วงเวลานั้น ส่วนของแม่เส้นเลือดแตกในสมองเพราะมีความดันสูง ซึ่งในช่วง 1- 4 ปี แม่บ่นอยากตายอยู่เป็นประจำ ผมย่อมรู้ว่าต้องเกิดสภาวะเช่นนี้กับแม่ ตั้งแต่วันที่แม่นอนติดเตียง ก็แนะนำธรรมะ เพิ่มขึ้น ให้ภาวนาเพิ่ม จากที่เคยไหว้พระ สวดมนตร์ และดูลม พุทธ-โธ โดยเพิ่มคำภาวนาต่อ จากนั้นว่า คนเราเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมดา นั้นไม่ใช่เรา นั้นไม่ใช่ของเรา นั้นไม่ใช่ตัวตนของเรา
และแนะนำเพิ่มไปว่า ไม่ต้องไปเครียดไม่ต้องไปคิดมากกับมัน ลูกคนนี้จะทำให้แม่อย่างดีและเหมาะสมที่สุด และบอกต่อไปว่า คนเราเมื่ออยากตาย แต่ไม่ตายก็เป็นทุกข์และเครียดไปเสียเปล่าๆ เช่นเดียวกันไม่อยากตายแต่ความแก่ความเจ็บคืบคลานเขามา ก็เป็นทุกข์ และเครียดไปเสียเปล่า ธรรมชาติเมื่อถึงเวลา มันจะตายมันก็ตายเอง.
ผมแนะนำอย่างนี้ เป็นเวลาถึง 3 ปี ไม่ค่อยได้ผลเพราะแม่กลายเป็นหนังหน้าไฟของลูกที่ขัดแย้งกันในเรื่องค่าใช้จ่ายเพียงเล็กน้อยกันเอง ส่วนผมสละให้มากที่สุดให้แล้ว จึงไม่เคยปัญหากับใคร ธรรมที่ให้แม่ไป ท่านจึงยังไม่เขาใจทำใจไม่ได้ และท่านก็ทุกข์มากจากการโดนกดดัน ผมก็พลอยเป็นทุกข์ ต้องรีบแก้ปัญหาให้ได้ก่อนที่ท่านจะเสียไป เพราะจิตใจของท่านย่ำแย่เป็นทุกข์มาก
จนผมต้องรีบเครียร์ หนิ้สินที่ต้องผ่อนจนหมด จึงมีกำลังเอาแม่มาดูแลที่ศูนย์เอกชนได้ เมื่ออายุท่านย่าง 92 ปี และจะได้บรรเทากรรมของพี่ที่ได้ทำกับแม่อย่างหนักเสียได้ โดยมีพี่ 2 คนช่วยเดือนละ 5000 ยาทต่อเดือน และคนที่มีปัญหากับแม่ได้มาคืนดีกับแม่ ทำให้แม่อโหสิกรรมบรรเทากรรมลงไป แต่ค่าใช้จ่ายต่อเดือน 25,000-28,000 บาท ผมจึงจ่ายหนักหน่อย
เมื่อแม่มาอยู่ในที่เหมาะสมดีขึ้น การภาวนาของท่านจึงเริ่มให้ผล ทำให้ท่านเข้าใจและมีปัญญาขึ้น ความเครียดที่อยากตายบ่นว่าอยากตายจึงค่อยๆ บรรเทาหายไป จนท่านเกือบตายจริงๆ ในปีถัดมา ซึ่งคนดูแลก็บอกว่า จากประสบการณ์ที่ดูแลคนแก่มานาน และป่วยบ่นเพ้ออย่างนี้ืคงอยู่ไม่นาน
พี่และผมจึงนำแม่ไปอยู่ศูนย์ที่ราคาย่อมเยาขึ้น และแม่ก็เพ้อทั้งคืน รู้งขั้นวันใหม่หยุดเพ้ออย่างปลิดทิ้ง และเข้าใจธรรมแบบที่ผมยิ้มได้. ความอยากตายคิดมากจนเครียดจึง ค่อยๆ หายไป ไม่บ่นอีกแล้ว ถ้าถามท่าน ท่านก็บอกว่า "ตายเร็วก็ดี แต่ทำอย่างไรได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็อยู่ไปตามสภาพของมัน"
แล้วสิ่งที่ผมประเมินไว้ก็มาถึงคือ พี่ๆ ที่เคยจ่ายให้บ้างเล็กน้อยก็เลิกจ่าย เพราะเขาก็ไม่มีรายได้มานานแล้วอายุก็ 66 ปี กันแล้ว นี้ก็เป็นธรรมที่แสดงตามความเป็นจริงของโลกให้เห็น ส่วนผมก็รับผิดชอบเต็มๆ ผู้เดียวต่อไป เพี่ยงให้พี่ๆ มาเยี่ยมแม่อาทิตย์ละครั้งก็ ดีแล้ว.
แม่ก็เริ่มแก่งอมขึ้น ด้วยสภาวะการติดเตียง และคนดูแลต่างก็บอกว่าแม่ผมดูแลง่าย ไม่หลงเลืม จิตใจดี ไม่มีปัญหาอะไรเลย แผลกดทับก็ไม่มี จับไข้หนักๆ ก็ไม่มี มีแต่ไอมาก เพราะเป็นแผลเป็นเป็นรอยขีดอยู่ที่หลอดลม จากผลเอ็กชเร ไม่ต้องให้อาหารเหลวทางท่อเข้าจมูก.
แต่มีคนหญิงชราอีกคนหนึ่งอายุ 91-92 ปี ติดเตียงให้อาหารทางท่อเข้าจมูก มีแผลกดทับ และต้องระบายเลือดออกจากท่อปัสสวะ สภาพน่าทรมานกว่าแม่เสียอีก และได้เสียไปแล้วเมื่อวันที่ 1. พ.ค นี้เอง ในวันที่ผมไปดูแม่พอดี.
แต่แม่ผมได้บอกกับผมและพี่ๆ หรือคนดูแลเก่าว่า ถ้าท่านน็อกไป ไม่ต้องกระตุ้นหรือป้ำหัวใจท่านขึ้นมา ไม่เจาะคอ และไม่เอาอาหารทางสายยาง ผมก็วิตกอยู่เหมือนกัน เพราะระยะหลังแม่เริ่มกินอาหารบดได้ลดลง แต่ยังกินกล้ยวน้ำว้า และนม นมถั่วเหลืองได้เหมือนเดิม. ถ้าเกิดแม่ไม่ยอมกินอาหารบดแล้วจะทำอย่างไรต่อ เพราะยังไปคิดถึงการให้อาหารเหลวทางท่อเข้าทางจมูกอยู่ ถ้าไม่ทำเดียวก็จะมีคนตำหนิ หรือโดนกดดันได้ เพราะคนทั่วไปเขาทำกันอย่างนั้นจนคิดว่าเป็นเรื่องปกติ.
ผมก็ยังไม่รู้ว่าถึงจุดที่แม่ไม่กินอาหารเหลวแล้วผมจะทำอย่างไร จะบังคับให้อาหารทางสายยางหรือ? จึงถามคนดูแลว่าจะทำอย่างไร เมื่อหลายเดือนก่อนหน้าโน้น คนดูแลก็บอกว่า ก็ต้องให้อาหารทางสายยาง ถามแฟน แฟนก็บอกว่าต้องให้อาหารทางสายยางถ้าร่างยังดีอยู่ แต่ถ้าสภาพร่างกายไม่ไหวแล้วก็ต้องปล่อย จึงวิตกว่าจะเอาอย่างไรดี.
วันที่ผ่านมาผมได้คุยกับคนดูแล และถามว่ามีไหม? ที่คนแก่งอมมากแล้ว 90 กว่า ปี ไม่ต้องให้อาหารทางสายยางเพราะมันทรมานกับคนแก่มาก จนท่านเสียไปเอง คนดูแลบอกว่ามี แต่เป็นการดูแลกันเองที่บ้าน ย่าหรือทวดเขาก็เป็นอย่างนั้น อายุ 95-96 ปี เมื่อแก่มากแล้วก็จะนอนนานเพียงอย่างเดียว ก็ปลุกขึ้นมาให้กินอาหารเหลว นานไป ก็ปลุกขึ้นมาให้กินอาหารเหลว แต่กินไม่แล้ว จึงหยอดน้ำให้อย่างเดียวอยู่ ประมาณ 5-6 วันท่านก็ไป.
ผมกิคิดว่า ออ... คนที่แก่มากจนงอมแล้วไม่ยอมรับอาหารที่กินได้ตามปกติโดยที่ไม่ต้องสอดสายยางทางจมูกให้อาหารเป็นธรรมชาติอย่างนี้ๆ เอง ผมจะได้ทำใจวางใจได้ถูก เพราะแม่เองก็ไม่ยอมอยู่แล้วที่จะให้อาหารทางสายยางเจาะเข้าจมูก ลงไปถึงกระเพาะ นอกจากไปบังคับท่าน และท่านก็สภาพร่างของท่านก็งอมมากไปเรื่อยๆ ตามสภาพอายุ ก็คงจะไม่ฝืนท่านเมื่อถึงสภาวะ ณ. จุดนั้น.
สรุป ธรรมก็คือ ชีวิตนั้นเอง จะดีหรือไม่ดี ที่ยกขึ้นมาสนทนาเรียนรู้เข้าใจกันได้ แลกเปลี่ยนกันได้ ปฏิบัติกันได้อย่างเหมาะสม.
แสดงความคิดเห็น
ท่านคิดอย่างไร...กรณีนักวิทยาศาสตร์อายุ 104 ปี ร้องขอความตาย และมีคนจัดให้ (ทำการุณยฆาต) !?
(ข่าวไม่ได้บอกว่าเป็นโรคอะไร แค่แก่ชรา ยังพูดคุยสื่อสารโต้ตอบได้ ยังรับประทานอาหารได้---แต่เห็นนั่งรถเข็น...ข่าวไม่ได้บอกว่า ในการดำเนินชีวิตประจำวัน ท่านยังลุกเดินพยุงร่างกายได้หรือไม่)
เพียงแต่ท่านเห็นว่าเริ่มคุณภาพชีวิตไม่ดี จึงต้องการตาย ตัดปัญหา...
คนที่ช่วยให้ท่านตาย (ทำการุณยฆาต) คือ คลินิก (แพทย์ ?)
****************
คือ เราต้องพิจารณาสภาพจิตใจของทั้ง 2 ฝ่าย ด้วยนะครับ
ฝ่ายที่ 1 ผู้ร้องขอความตาย (ได้โปรดทำให้ผมตาย---กรุณาฆ่าผมหน่อยครับ ขอร้อง!)
ฝ่ายที่ 2 ผู้ลงมือกระทำการตามคำร้องขอ (อืมม...คุณอยากตายเหรอครับ...อะไรนะ !? จะให้ผมช่วยเหรอครับ/จะให้หนูช่วยเหรอคะ...อืมม...)
...และ/หรือ อาจจะรวม ฝ่ายที่ 3 ผู้ร่างกฎหมาย ผู้พิจารณาให้ผ่านกฎหมายการุณยฆาต (การร้องขอความตายด้วยความสมัครใจ และการกระทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายอย่างถูกกฎหมาย...ทั้งผู้ร้องขอ และผู้กระทำตามคำร้องขอ)
****************
ฝ่าย 1 ควร/ไม่ควร ?
ฝ่าย 2 ฝ่าย 3 ควร/ไม่ควร ?