เรื่องเล่าสยองขวัญ (สัจจะของลูก)

ผมชื่อสุวรรณ อายุ 25 ปี  เป็นนายธนาคารอยู่ที่จังหวัดหนึ่งในเขตปริมณฑล ผมกะว่าจะกลับบ้านที่อยู่ต่างต่างจังหวัด จึงลาพักร้อน 1อาทิตย์ เพราะตั้งแต่ผมออกมาจากบ้านก็ปาไป 7 ปีแล้ว ยังไม่ได้กลับไปเยี่ยมทางบ้านเลย  เนื่องจากก่อนหน้าที่ผมจะออกมาสู้ชีวิตก็มีปากเสียงกับทางบ้านจึงไม่เคยติดต่อกลับไป บวกกับช่วงที่ผมเรียนต่อนั้นผมต้องหาเงินส่งตัวเองเรียนไปด้วยจึงไม่มีเวลากลับไปเยี่ยมสักที แต่พอวันเวลาผ่านไป  ทุกอย่างในชีวิตผมค่อนข้างจะลงตัวแล้ว  จึงอยากจะกลับบ้านเกิดสักครั้ง  
  
  การเดินทางกลับของผมในครั้งนี้เป็นไปอย่างราบรื่น  จนกระทั่งมาถึงที่หมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่งที่ห่างไกลจากความเจริญ  พอผมเห็นสถานที่นี้ความทรงจำเก่าๆก็พลั่งพลูเข้ามาในหัวของผม  ตั้งแต่เล็กจนโตผมอยู่ที่นี่กับแม่และน้องของผม ส่วนทางพ่อก็ทิ้งครอบครัวแล้วจากไปตั้งแต่ผมยังเด็ก นานแล้วที่ไม่ได้มาเยือนที่นี่  ที่ที่เรียกว่า "บ้านเกิด" ผมเดินย่ำเท้าไปเรื่อยๆโดยไม่รีบ ผมจำสถานที่นี้ได้ดี ทุกอย่างค่อนข้างเหมือนเดิม มองเห็นไร่และสวนสุดลูกหูลูกตา  บ้านทุกหลังจะอยู่ห่างกันมากจึงทำให้ลำบากในการสัญจรไปมา  พอเดินมาได้สักพักผมก็รู้สึกแปลกใจว่ายังไม่เห็นคนในหมู่บ้านเลย ทั้งๆที่เวลายังบ่ายแก่ๆอยู่เลยแต่ผมก็ไม่ได้เอะใจอะไร  สักพักก็เดินมาถึงบ้านของผม  สภาพบ้านนั้นดูเก่าและรอบๆบ้านนั้นรกทึบไปด้วยต้นไม้  บ้านของผมนั้นจะเป็นบ้านไม้ยกสูงเป็นบ้านหลังเล็กๆพอที่จะอาศัยอยู่ได้ไม่กี่คน พอมองไปที่หน้าประตูบ้านก็เห็นแม่กุญแจคล้องกับโซ่ล็อคจากด้านนอกไว้อยู่

"แปลกจัง! ทำไมประตูล็อคนะ รึว่าไม่มีคนอยู่"

   ผมคิดด้วยความงุนงง  ถ้าแม่กับน้องไม่อยู่แล้วพวกเขาจะไปไหนกัน  รึว่าจะย้ายบ้านออกไปแล้ว  สักพักผมก็นั่งลงบนแคร่หน้าบ้านด้วยความเหนื่อยล้าและคิดว่าจะทำยังไงต่อดี  แต่ทันใดนั้นเอง ผมก็ได้ยินเสียงพูดดังมากจากในบ้านว่า

"สุวรรณเหรอลูก!"

ผมจำเสียงนี้ได้เป็นอย่างดี เป็นเสียงที่ผมคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็ก นั่นคือแม่ผมเอง

"ใช่ครับ  ผมเอง"

   ผมตอบกลับไปด้วยเสียงสั่นเครือ ผมดีใจมากจนน้ำตาแทบไหล ความรู้สึกที่ไม่ได้เจอแม่มา 7 ปี ช่างยากที่จะอัดอั้นจริงๆ ทันได้นั้นเองประตูที่เคยล็อคอยู่ก็ค่อยๆเปิดออก และปรากฏร่างของแม่และน้องของผม
หลังจากนั้นผมก็เข้าไปหาแม่และกราบแม่พร้อมกับพูดด้วยเสียงอันสั่นเครือว่า

"ผมขอโทษนะครับแม่ ที่ไม่ได้มาหาแม่สักที"

"ไม่เป็นไรหรอกลูกแม่เข้าใจ เดินทางมาไกลเดี๋ยวเข้าไปกินน้ำกินท่ากันก่อนนะลูก ภพไปเอาน้ำมาให้พี่เค้ากินหน่อยนะ"

น้องผมชื่อภพอายุห่างจากผม 8 ปี ตอนนี้เค้าคงจะมีอายุ 17 ปีแล้ว ช่วงที่ผมออกจากบ้านผมอายุ 18 ปี ตอนนั้นน้องผมอายุ 10 ปี แต่ปัจุบันนี้ภพยังไม่โตขึ้นเท่าไหร่เลยผมคิดในใจ

"แม่ครับ ภพมันตัวเล็กจัง มันกินข้าวบ้างรึเปล่าเนี่ย"

ผมพูดติดตลกกับแม่

"อย่าไปว่าน้องสิลูก แม่อยากเจอสุวรรณมากเลยอยู่กับแม่นานๆนะ"

"ผมลางานอาทิตย์นึงครับแม่ น่าจะนานพอให้เราได้คุยกันทุกเรื่องอยู่นะ เมื่อกี้ผมเห็นประตูมันล็อคอยู่ คือ..."

"อ๋อ แม่คล้องไว้เฉยๆไม่ได้ล็อคน่ะ"

   ตอนแรกผมสงสัยเลยถามเพื่อความมั่นใจ  พอแม่พูดผมก็ไม่ได้ติดใจอะไรอีก  หลังจากนั้นผมก็ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับแม่กับน้อง  ที่นี่ไม่ค่อยมีอะไรมากมาย เพราะอยู่ไกลจากความเจริญ  ครอบครัวผมมีอาชีพเป็นชาวนา  และช่วงนี้ก็เป็นฤดูเกี่ยวข้าวพอดี  ส่วนหนึ่งที่ผมลางานก็เพราะจะได้มาช่วยเกี่ยวข้าวด้วย  นอกเหนือจากนั้นก็จะมีไปเก็บผักบ้าง  จับปลาบ้างตามประสาวิถีชาวบ้าน  และคุยเรื่องราวในชีวิตกันอยู่ทุกวัน  ตั้งแต่คืนแรกผมก็ฝันแปลกๆ  ฝันเห็นงานศพแม่กับน้อง ทั้ง 2 ก็ยืนข้างโลงศพตัวเอง  แม่กับน้องกำลังร้องไห้และหันหน้ามาหาผมอยู่  ภาพที่ผมเห็นมันเกินกว่าที่ผมจะรับมันได้  จนมาถึงคืนหนึ่งของวันที่ 4 ผมปวดฉี่กลางดึกเวลาประมาณตี 2 กว่า ผมกำลังจะไปเข้าห้องน้ำ ในส่วนของห้องน้ำจะแยกออกจากตัวบ้าน  มุงด้วยสังกะสีขึ้นสนิมอยู่เท่านั้น  แต่แปลกที่ว่าผมไม่เห็นแม่และน้อง ก็นึกสงสัยว่าทั้ง 2 คนไปไหนกัน จึงลงจากบ้านไปเข้าห้องน้ำ เมื่อเสร็จธุระแล้วช่วงที่กำลังจะขึ้นบ้านนั้น ผมได้ยินเสียงน้ำหยดจากข้างบนบ้านลงมาใต้ถุน  ผมจึงเดินไปดูว่าน้ำอะไร  แต่สิ่งที่ผมเห็นนั้นมันทำให้ผมตกใจถึงขีดสุด  มันคือเลือด  เมื่อเห็นดังนั้นผมจึงรีบวิ่งขึ้นไปข้างบนเพื่อดูว่ามีแม่กับน้องอยู่หรือเปล่า  แล้วคราวนี้ผมก็เห็นแม่กับน้องก็นอนอยู่จริงๆด้วย  เลยถามทั้ง 2 คน

"แม่ ภพ มีใครเป็นอะไรหรือเปล่า!"

ผมถามไปด้วยความรีบร้อน

"มีอะไรเหรอลูกเสียงดังทำไมกัน"

"ผมเห็นเลือดหยดลงมาจากบนบ้านก็เลยรีบมาดู แล้วมีใครเป็นอะไรไหมผมขอดูหน่อย"

"ไม่มีใครเป็นอะไรหรอก ลูกตาฝาดหรือเปล่า"

"ใช่ครับพี่ ผมกับแม่ไม่ได้เป็นอะไร"

"แต่พี่เห็นเลือดจริงๆนะ ไม่เชื่อไปดูด้วยกันได้เลย"

   หลังจากนั้นผม แม่ และน้องก็ลงมาดูจุดที่ผมเห็นเลือด แต่ต้องแปลกใจที่บริเวณนั้นไม่มีเลือดเลย หรือแม้แต่รอยน้ำหยดก็ยังไม่มี มันทำให้ผมงุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

"เมื่อกี้ผมยังเห็นมันหยดตรงนี้อยู่เลย"

"แม่ว่าแล้วว่าลูกต้องตาฝาดแน่ๆ แต่แม่ว่ารีบขึ้นไปนอนเถอะมันดึกมากแล้ว กลางค่ำกลางคืนไม่ควรออกมาข้างนอกนะ"

"นี่เราตาฝาดหรอกเหรอ แต่มันเหมือนจริงมากเลย"
ผมคิดในใจ

   แต่หลังจากเหตุการณ์นั้นผมก็พยายามคิดว่ามันเป็นแค่ภาพหลอนที่เราคิดไปเอง ผ่านมาถึงวันที่ 6 ผมก็ไม่ได้ตื่นมากลางดึกสักวัน มีแค่ฝันเรื่องเดิมๆซ้ำๆ แต่ผมก็ไม่ได้เล่าให้แม่ฟังอยู่ดีเพราะกลัวแม่กับน้องจะไม่สบายใจกับเรา

"หลังจากวันนี้ไปเราคงจะต้องกลับแล้วสินะ"
ผมคิดในใจ

   ผ่านมาถึงช่วงเที่ยงเรา 3 แม่ลูกก็ทานข้าวด้วยกันในตอนนั้นผมคิดไว้ว่าจะพาแม่และน้องไปอยู่ด้วย จึงถามออกไปว่า

"แม่ครับ ผมอยากพาแม่ไปอยู่กับผมด้วย จะได้ดูแลแม่กับน้องได้สะดวก แม่จะไปกับผมไหม"

"ไม่เป็นไรหรอกลูก แม่ไม่อยากเป็นภาระของลูกน่ะ อีกอย่างใครจะดูแลบ้านกับไร่นาที่นี่กันล่ะ"

"ไม่เป็นไรครับแม่ ผมเลี้ยงแม่กับน้องได้ครับ ส่วนที่นี่รอผมมีเงินเก็บผมจะมาสร้างบ้านใหม่ แล้วเราค่อยมาอยู่ด้วยกัน"

"สุวรรณเอ๋ยแม่ไปด้วยไม่ได้จริงๆเดี๋ยวลูกก็เข้าใจเองแหละ  แต่ตอนนี้แม่อยากให้ลูกอยู่กับแม่ให้นานที่สุด  นี่คือสิ่งที่แม่ต้องการที่สุดตอนนี้" หลังจากแม่พูดประโยคนี้ผมก็เห็นน้ำใสๆซึมออกมาจากดวงตาของแม่ พอเห็นดังนั้นผมจึงพูดว่า

"เข้าใจแล้วครับแม่ เดี๋ยวผมจะมาเยี่ยมบ่อยๆนะครับ ผมสัญญา"

   ผมไม่เข้าใจสิ่งที่แม่พูดเลยตอนนั้น  แต่ผมเห็นความห่วงหาอาทรของแม่ที่มีให้ผมมันคือของจริง  ทำให้ผมรู้สึกว่าเราไม่ควรไปจากท่านนานขนาดนี้เลย ผมได้แต่โทษตัวเอง  และคืนสุดท้ายก็มาถึง  คืนนี้ผมนอนไม่ค่อยหลับ  เพราะมัวแต่คิดถึงเรื่องพรุ่งนี้จะต้องจากแม่กับน้องแล้ว  เวลาช่างสั้นเหลือเกิน
ตอนนี้เวลาประมาณตี 2 กว่าๆอีกเช่นเคย  ผมกะว่าจะมองหน้าแม่และน้องให้มากที่สุดก่อนจะจากกันไป  ทันใดนั้นเอง ผมสัมผัสได้ว่ามีน้ำลื่นๆไหลมาโดนมือผมจึงลุกไปเปิดไฟดูว่ามันคือน้ำอะไร แต่แล้วผมก็ต้องตกใจจนแทบทรงตัวไม่อยู่  สิ่งที่ผมเห็นในตอนนี้คือ  มีเลือดเต็มพื้นไปหมด  เห็นดังนั้นผมหันไปหาแม่และน้องทันที  แล้วผมก็ตกใจหนักขึ้นไปอีก  สิ่งที่เห็นคือแม่ผมนอนแน่นิ่งและหัวของแม่เป็นแผลใหญ่จนกระโหลกเปิดออก  ส่วนน้องนั้นบริเวณคอเป็นแผลเปิดขนาดใหญ่จนศีรษะเกือบจะหลุดจากบ่า  สิ่งที่ผมเห็นนั้นผมหวังแค่ว่ามันต้องเป็นแค่ความฝัน  มันไม่ใช่เรื่องจริง  แต่ยิ่งมองเท่าไหร่ภาพมันก็ยิ่งชัดขึ้นเรื่อยๆ  ทันใดนั้นทุกอย่างก็เริ่มเลือนลางจนในที่สุดผมก็สลบไป  หลังจากนั้นผมก็ฝันเห็นแม่กับน้อง แม่เอ่ยถามผมว่า

"ลูกรู้แล้วใช่ไหม แม่ไม่อยากให้ลูกเห็นแม่กับน้องในสภาพนี้เลย"  

ผมตอบไปว่า
"มันไม่จริงใช่ไหมแม่ แม่ตายแล้วเหรอ แล้วแม่กับน้องเป็นอะไรตาย"
ผมถามอย่างกล้าๆกลัวๆ แม่จึงตอบกลับว่า

"มันคงเป็นเวณกรรมของแม่กับน้องแหละ ตอนนี้แม่คงตายตาหลับได้แล้ว สิ่งสุดท้ายที่แม่ต้องการแม่ก็ได้มาแล้ว"

ประโยคนี้ของแม่ทำให้ผมกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ทั้งๆที่รู้อยู่แล้วว่าสิ่งนั้นคืออะไร แต่ผมก็อยากได้ยินจากปากของแม่เป็นครั้งสุดท้ายอยู่ดี

"สิ่งนั้นคืออะไรครับแม่"

"แม่อยากเจอลูกอีกสักครั้ง แม่อยู่ที่นี่เพื่อที่จะพบกับลูกอีกสักครั้ง ถึงแม่จะไปกับลูกไม่ได้ และอาจไม่ได้เจอกันอีก แต่ก็ขอให้ลูกอยู่ดีมีสุข เป็นที่รักใคร่ของทุกคน และเป็นเด็กดีของแม่นะ ต่อไปนี้แม่กับน้องก็จะไปแล้ว ถ้าชาติหน้ามีจริงก็ขอให้เราได้เกิดเป็นแม่ลูกกันอีกนะ"

"พี่ครับ  ผมรักพี่นะครับ ดูแลตัวเองด้วย"

สิ่งที่แม่และน้องบอกผมนั้น ทำให้ผมร้องให้ออกมาไม่มีหยุด มันเป็นน้ำตาที่ออกมาจากความซาบซึ้งอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ผมจึงตอบออกไปด้วยเสียงสั่นเครือว่า

"ผมสัญญาครับแม่ ผมจะเป็นอย่างที่แม่บอกไว้ทุกอย่าง ถ้าชาติหน้ามีจริงผมขอเกิดเป็นลูกแม่ทุกชาติไปนะครับ ภพ  พี่ก็รักเองมากเหมือนกัน พี่ขอโทษนะ  แม่ผมขอโทษนะครับที่ไม่ได้ดูแลแม่กับน้องเลยผมขอโทษจริงๆ  ขอให้ทั้ง 2 ไปสู่สุคตินะ"

   แสงอรุณยามเช้าสาดส่องมาที่หน้าของผม ตอนนี้เวลา 7 โมงเช้าของวันที่ 7 ผมลุกขึ้นมาสำรวจสิ่งรอบตัว  ปรากฏว่าผมยังอยู่ที่บ้านของผม  แต่ภายในบ้านตอนนี้ไม่เหลือเค้าโครงเดิมอีกแล้ว  สภาพบ้านตอนนี้ไม่ต่างจากบ้านร้างมาเป็น 10 ปี มีหยากไย่เต็มไปหมด  บริเวณข้าวของมีฝุ่นหนาเตอะ  ผมจึงเก็บข้าวของเตรียมที่จะออกไป  เมื่อผมเดินไปที่หน้าประตูบ้านปรากฏว่าโดนล็อคจากด้านนอก  ผมจึงต้องกระโดดลงมาจากหน้าต่าง  โชคดีที่มันไม่สูงมาก  ผมหันหลังกลับไปดูบ้านสักพักแล้วก็พูดในใจ

"ผมจะบวชให้แม่กับน้องนะครับ"

   หลังจากนั้นผมจึงเดินเท้าไปยังทางออกของหมู่บ้าน  โชคดีที่ขาออกมาเจอคนในหมู่บ้านผ่านมาพอดี  และก็เป็นคนที่ผมรู้จักด้วยเหมือนกัน  คนๆนั้นคือลุงเบิ้ม  ลุงเบิ้มนั้นเป็นเพื่อนบ้านสมัยตอนที่ผมอยู่ที่นี่  แกใจดีมากและหลานแกก็เป็นเพื่อนกับผมด้วย  ผมจึงถามลุงเบิ้มเกี่ยวกับแม่และน้องของผมแต่ผมไม่ได้บอกเหตุการณ์ที่ผมเจอมา  และก็ได้ข้อสรุปว่า
  
   หลังจากที่ผมออกจากที่นี่ไปนั้นผ่านไปแค่ 1 เดือน พ่อผมก็กลับมาบ้านหลังจากที่หายไปกว่า 5 ปี และเวลาในตอนนั้นก็คือตี 2 กว่า
พ่อกลับมาเพราะอยากจะเอาโฉนดที่ดินทั้งหมดของแม่ผมเพื่อที่จะเอาไปจ่ายหนี้พนัน  หลังจากนั้นแม่ก็มีปากเสียงกันพ่อ  สักพักพ่อจึงลงไปเอาขวานจากใต้ถุนบ้านมาและลงมือจามไปที่ขมับด้านซ้ายของแม่จนกระโหลกเปิด  ส่วนน้องที่ตอนนั้นยังตัวเล็กอยู่จึงได้แต่ร้องห่มร้องไห้  พ่อเห็นดังนั้นก็กลัวว่าถ้าปล่อยไปน้องก็จะเล่าให้คนอื่นฟัง  จึงลงมือเอาขวานปาดคอน้องอีกคนจนคอเกือบขาด  เหตุการณทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นที่บ้านของผม  ตรงที่ผมเห็นศพแม่กับน้องก็เป็นจุดที่ทั้งสองเสียชีวิตด้วยเหมือนกัน  หลังจากที่พ่อผมได้ฆาตกรรมคนในครอบครัวลงไปแล้ว  ก็ได้รื้อข้าวของจนทั่วบ้านแต่ก็ไม่พบโฉนดที่ดิน และได้หลบหนีออกไป  สุดท้ายก็โดนจับขณะปล้นชิงทรัพย์และได้สืบสาวมาเรื่อยๆจนได้รู้ว่าเกี่ยวข้องในการตายของแม่และน้องผมตอนนี้พ่อติดคุกตลอดชีวิต  ส่วนศพในบ้านนั้นกว่าจะมีคนมาเจอก็ผ่านไปแล้ว 3 วันจนศพมีกลิ่นเหม็นและเป่งบวมไปหมด  จึงนำศพมาทำพิธีที่วัดในหมู่บ้าน  ตอนนี้กระดูกของแม่และน้องทางวัดเก็บไว้ให้  รอผมมานำกลับไปด้วยตัวเองอยู่  ลุงแกได้เสริมเล็กๆว่าช่วงที่ผ่านมาได้เห็นผมทำกิจกรรมต่างคนเดียวอยู่บริเวณบ้านหลังนั้น  แต่ก็ไม่กล้าเข้าไปบอกเพราะคนทั้งหมู่บ้านรู้กันทั่วว่าบ้านผมเฮี้ยนขนาดไหน  ลุงแกเห็นผมไม่เป็นอะไรแกก็ดีใจ  
  
   หลังจากได้รู้ทุกอย่างแล้วผมจึงไปที่วัดในหมู่บ้านเพื่อที่จะเอาเถ้ากระดูกกลับไปพร้อมผมด้วย  หลังจากนั้นผมจึงกลับไปที่ทำงานของผม  ทุกวันผมจะทำบุญตักบาตรและอุทิศส่วนกุศลให้แม่และน้องเป็นประจำไม่เคยขาด  พอถึงช่วงวันหยุดยาวผมจึงบอกที่ทำงานว่าผมจะขอลาบวช 1 เดือนให้แม่กับน้องผม  หลังจากนั้นก็กลับมาที่บ้านเกิดและบวชที่วัดประจำหมู่บ้าน  ก่อนจะมาบวชผมก็นำเถ้ากระดูกไปทำพิธีลอยอังคาร  เพื่อส่งดวงวิญญาณของทั้ง 2 คนไปสู่สุคติ  หลังจากนั้นผมก็ใช้ชีวิตที่มีของผมให้คุ้มค่าที่สุดและเป็นคนดีของสังคม  ดั่งที่ท่านผู้นั้นต้องการให้ผมเป็น ผู้ที่เรียกว่า  "แม่"
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 1
ใครมี Comment อะไรก็สามารถติชมได้นะครับ เรื่องนี้ผมพึ่งแต่งเรื่องแรกกำลังหาประสบการณ์อยู่ครับ อมยิ้ม04
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่