เนื่องจากมีสมาชิกผู้หนึ่งเข้าใจว่าการที่มุสลิมจะเข้าใจอัลกุรอานและตีความหมายบัญญัติในอัลกุรอานได้อย่างถูกต้องนั้นจะต้อง มีความรู้รอบด้านซึ่งประกอบไปด้วย วิชาการต่างๆ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ ในบรรดาวิชาการดังกล่าวนั้น ผมเห็นด้วยว่ามีวิชาที่สำคัญในการเข้าใจอัลกุรอาน เพียง 2-3 อย่างเท่านั้นคือ Logic หรือ ตรรกวิทยา คือวิชาที่ว่าด้วยการหาเหตุผลเพื่อรักษาความคิดให้พ้นจากความผิดพลาด ตรรกวิทยาหรือตรรกศาสตร์ตรงกับภาษาอาหรับว่า " منطق (มันติก)" และ วิชานาฮูและซอราฟ (النحو والصرف) ไวยาการณ์อาหรับ (اَلنَّحْوُ) เป็นวิชาที่สอนให้ผู้เรียน สามารถ “ อ่าน” สระที่พยัญชนะตัวสุดท้ายของคำแต่ละคำในประโยค ได้ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ อาหรับ,และ ภาคไวยกรณ์ ซอราฟ صَرْف หรือ หรือการศึกษาส่วนต่างๆของคำพูด หรือ Parts of Speech คือ การเปลี่ยนรูปแบบของคำ (โดยปกติเกิดขึ้นตอนท้ายคำ) เพื่อแสดงหน้าที่ต่างๆในประโยคหรือลักษณะของประโยค ได้แก่ กาล และ เวลา,มาลา (อารมณ์),บุคคล,ตัวเลข(จำนวน), การก, และเพศ เป็นต้น
ส่วนวิชาการฮาดีษและอื่นๆนั้นไม่มีความจำเป็นในการนำมาตีความหมายของอัลกุรอาน เพราะอัลกุรอานได้แจกแจงให้มุสลิมรู้ว่า ลักษณะของอัลกุรอาน เป็นอย่างไร และ เราควรเข้าใจอัลกุรอานอย่างไร?(3:7) การเอาฮาดีษเข้ามาอธิบายความหมายของบทบัญญัติในอัลกุรอานนั้น มีอันตรายมากที่อาจจะทำให้ความหมายไปสอดคล้องกับฮาดีษทำให้ผิดความหมายที่แท้จริงของอัลกุรอาน ซึ่งมีตัวอย่างให้เห็น ในบัญญัติที่สำคัญๆ เช่น ในบัญญัติที่ 4:24 มีผู้ตีความว่า หญิงที่เป็นทาสหรือเชลยศึกหญิง ชายสามารถหลับนอนได้โดยไม่มีการนิกะห์เสียก่อน โดยไม่เข้าใจว่า ข้อความใน 4:24 นั้น เป็นข้อความที่มีความหมายติดต่อมาจาก 4:23 แต่แทนที่จะทำความเข้าใจกับบัญญัติ 4:23 และ 4:24 นักวิชาการกลับนำเอาฮาดีษ ที่เล่าว่า:
อิบนุกอซิร (Ismail ibn Kathir ابن كثير) อธิบายว่า:
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ฮาดีษลงท้ายว่า เพราะ อัลลอฮ์ทรงประทาน 4:24 ลงมาเพื่อสนองความต้องการทางเพศของทหาร ในที่สุดทหารก็ร่วมเพศกับหญิงเชลยศึกโดยไม่มีการนิกะห์ นั้นก็คือการข่มขืนเชลยศึกหญิงนั้นเอง. จะเห็นได้ว่าเพราะการเอาฮาดีษมาอ้างอิงความหมายของบัญญัติที่ 4:24 จึงทำให้ทหารทำ ซินา กับ เชลยศึกหญิง
คำอธิบายนี้สรุปว่าฮาดีษของ อีมาม อะหมัด อธิบายว่า "ทหารมุสลิมสามารถที่จะร่วมเพศกับเชลยศึกหญิงได้โดยไม่มีการนิกะห์ ตามที่อัลลอฮ์บัญญัติไว้ใน บัญญัติที่ 4:24
“อีมาม อะหมัดบันทึกว่า อะบูซอิด อัลคุดริ ได้กล่าวว่า “เราได้จับหญิงเชลยศึกที่แต่งงานแล้ว มาจากสงครามที่เมือง “เอาตัส”, เราไม่อยากจะร่วมเพศจากหญิงเหล่านั้นเพราะว่า “พวกนางมีสามีแล้ว” ดังนั้นเราจึงถามท่านรอซูลถึงเรื่องนี้,ดังนั้น อายะนี้(4:24) จึงถูกประทานมา,”
ซึ่งหมายความว่า “หญิงที่เป็นเชลยศึกนั้นถึงแม้ว่ามีสามีแล้ว ทหารชายมุสลิมสามารถ ร่วมเพศ(ข่มขืน) ได้เพราะอัลกุรอานบัญัติไว้ดังนั้น
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้{4:23} ที่ได้ถูกห้ามแก่พวกเธอนั้น คือมารดาของพวกเธอ บุตรีของพวกเธอ พี่น้องหญิงของพวกเธอ พี่น้องเพศหญิงร่วมบิดาของพวกเธอ และพี่น้องเพศหญิงร่วมมารดาของพวกเธอ บุตรีของพี่น้องเพศชายของพวกเธอ บุตรีของพี่น้องเพศหญิงของพวกเธอ และมารดาของพวกเธอที่ให้นมแก่พวกเธอ และพี่น้องเพศหญิงของพวกเธอเนื่องจากการให้นม และมารดาภรรยาของพวกเธอ และเหล่าลูกเลี้ยงของพวกเธอที่อยู่ในบ้านของพวกเธอ จากภรรยาของพวกเธอที่พวกเธอได้สมสู่กับนาง แต่ถ้าพวกเธอยังไม่ได้สมสู่กับนาง ก็ไม่เป็นความผิดอันใดสำหรับพวกเธอ และภรรยาของบุตรพวกเธอที่มาจากเชื้อสายของพวกเธอ และการที่พวกเธอรวมระหว่างหญิงสองพี่น้องไว้ด้วยกัน นอกจากที่ได้ผ่านพ้นไปแล้วเท่านั้น แท้จริงอัลลอฮฺคือพระผู้ทรงอภัย พระผู้ทรงปรานีเสมอ
{4:24} และบรรดาหญิงมีสามี ยกเว้น(นอกจาก) เชลย ที่มือขวาของพวกเธอครอบครอง เป็นบัญญัติของอัลลอฮฺที่มีแก่พวกเธอ และได้ถูกอนุมัติให้แก่พวกเธอที่นอกเหนือจากนั้น ในการที่พวกเธอจะแสวงหามาด้วยทรัพย์ของพวกเธอ ในฐานะเป็นผู้สมรส ไม่ใช่ในฐานะผู้ทำผิดประเวณี ดังนั้นหญิงใดที่พวกเธอเสพสุขกับนาง ในบรรดาหญิงเหล่านั้น ก็จงให้สินตอบแทนของพวกนางนั้นแก่พวกนาง ตามที่มีกําหนดไว้ และไม่เป็นความผิดอันใดสำหรับพวกเธอในสิ่งที่พวกเธอต่างยินยอมกันในสิ่งนั้นหลังจากที่มีกําหนดนั้นขึ้น แท้จริง อัลลอฮฺคือพระผู้ทรงรอบรู้ พระผู้ทรงปรีชาญาณ ทั้งนี้เพราะบัญญัติที่ 4:24 บัญญัติไว้ตอนต้นของบัญญัติว่า "
และบรรดาหญิงมีสามี ยกเว้น(นอกจาก) เชลย ที่มือขวาของพวกเธอครอบครอง"
ความหมายที่ถูกต้องตามบริบทของอัลกุรอาน 4:23 และ 4:24 นั้น มีข้อความต่อเนื่องกัน ตือ "และบรรดาหญิงมีสามี (แต่งงานด้วยไม่ได้) ยกเว้น เชลยศึกหญิง ที่มือขวาของพวกเธอครอบครอง(ที่มีสามีแล้วนั้นแต่งงานด้วยได้)" จะเห็นว่า ไม่มีประโยคใดในบัญญัติที่4:24 อนุมัติ ให้ทหารมุสลิมข่มขืนหรือร่วมเพศกับเชลยศึกหญิงได้โดยไม่ต้องนิกะห์เป็นภรรยาเสียก่อน ตามที่ฮาดีษดังกล่าวอ้างอิง
นอกจากนี้ยังมีตัวอย่างอีกหลายบัญญัติที่แสดงให้เห็นว่า มุสลิมที่มีความรู้โดยเฉลี่ยสามาถที่จะเข้าใจอัลกุรอานได้ตามที่บัญญัติไว้ โดยไม่จำเป็นจะต้อง มีความรู้ต่างๆตามที่ สมาชิกผู้นั้นอ้างอิง และการใช้ฮาดีษมาอธิบายอัลกุรอานนั้นอาจจะทำความหมายของอัลกุรอานผิดจากพระประสงค์ของอัลลอฮ์
มุสลิมควรจะศึกษาอัลกุรอาน ตามข้อความที่บัญญัติไว้ ด้วยเหตุผล
ส่วนวิชาการฮาดีษและอื่นๆนั้นไม่มีความจำเป็นในการนำมาตีความหมายของอัลกุรอาน เพราะอัลกุรอานได้แจกแจงให้มุสลิมรู้ว่า ลักษณะของอัลกุรอาน เป็นอย่างไร และ เราควรเข้าใจอัลกุรอานอย่างไร?(3:7) การเอาฮาดีษเข้ามาอธิบายความหมายของบทบัญญัติในอัลกุรอานนั้น มีอันตรายมากที่อาจจะทำให้ความหมายไปสอดคล้องกับฮาดีษทำให้ผิดความหมายที่แท้จริงของอัลกุรอาน ซึ่งมีตัวอย่างให้เห็น ในบัญญัติที่สำคัญๆ เช่น ในบัญญัติที่ 4:24 มีผู้ตีความว่า หญิงที่เป็นทาสหรือเชลยศึกหญิง ชายสามารถหลับนอนได้โดยไม่มีการนิกะห์เสียก่อน โดยไม่เข้าใจว่า ข้อความใน 4:24 นั้น เป็นข้อความที่มีความหมายติดต่อมาจาก 4:23 แต่แทนที่จะทำความเข้าใจกับบัญญัติ 4:23 และ 4:24 นักวิชาการกลับนำเอาฮาดีษ ที่เล่าว่า:
อิบนุกอซิร (Ismail ibn Kathir ابن كثير) อธิบายว่า:
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
“อีมาม อะหมัดบันทึกว่า อะบูซอิด อัลคุดริ ได้กล่าวว่า “เราได้จับหญิงเชลยศึกที่แต่งงานแล้ว มาจากสงครามที่เมือง “เอาตัส”, เราไม่อยากจะร่วมเพศจากหญิงเหล่านั้นเพราะว่า “พวกนางมีสามีแล้ว” ดังนั้นเราจึงถามท่านรอซูลถึงเรื่องนี้,ดังนั้น อายะนี้(4:24) จึงถูกประทานมา,”
ซึ่งหมายความว่า “หญิงที่เป็นเชลยศึกนั้นถึงแม้ว่ามีสามีแล้ว ทหารชายมุสลิมสามารถ ร่วมเพศ(ข่มขืน) ได้เพราะอัลกุรอานบัญัติไว้ดังนั้น [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ ทั้งนี้เพราะบัญญัติที่ 4:24 บัญญัติไว้ตอนต้นของบัญญัติว่า "และบรรดาหญิงมีสามี ยกเว้น(นอกจาก) เชลย ที่มือขวาของพวกเธอครอบครอง"
ความหมายที่ถูกต้องตามบริบทของอัลกุรอาน 4:23 และ 4:24 นั้น มีข้อความต่อเนื่องกัน ตือ "และบรรดาหญิงมีสามี (แต่งงานด้วยไม่ได้) ยกเว้น เชลยศึกหญิง ที่มือขวาของพวกเธอครอบครอง(ที่มีสามีแล้วนั้นแต่งงานด้วยได้)" จะเห็นว่า ไม่มีประโยคใดในบัญญัติที่4:24 อนุมัติ ให้ทหารมุสลิมข่มขืนหรือร่วมเพศกับเชลยศึกหญิงได้โดยไม่ต้องนิกะห์เป็นภรรยาเสียก่อน ตามที่ฮาดีษดังกล่าวอ้างอิง
นอกจากนี้ยังมีตัวอย่างอีกหลายบัญญัติที่แสดงให้เห็นว่า มุสลิมที่มีความรู้โดยเฉลี่ยสามาถที่จะเข้าใจอัลกุรอานได้ตามที่บัญญัติไว้ โดยไม่จำเป็นจะต้อง มีความรู้ต่างๆตามที่ สมาชิกผู้นั้นอ้างอิง และการใช้ฮาดีษมาอธิบายอัลกุรอานนั้นอาจจะทำความหมายของอัลกุรอานผิดจากพระประสงค์ของอัลลอฮ์