สวัสดี ชาวพันทิปทุกท่าน ในที่สุดก็ได้ฤกษ์งามยามดีตั้กระทู้ที่ 2 ในชีวิต หลังจากห่างหายจากการตั้งกระทู้แรกร่วมปี
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://ppantip.com/topic/36320832
ปีที่แล้ว ช่วงเดือน ต.ค 2560 ผมได้มีโอกาสได้ไป trekking เส้น EBC+ 2 passes (Renjo la + Chola ) เป็นเวลา 19 วัน ณ ประเทศเนปาล
จึงถือโอกาสนำรูปมาฝากเพื่อนๆ นี่ถือเป็นการ Trekking จริงๆจรังๆครั้งแรกในชีวิตถ้าไม่นับรวมการขึ้นภูกระดึง สมัยเรียนมัธยมปลายกับเพื่อนๆ
อุปกรณ์ถ่ายรูป
กล้อง Nikon D810
เลนส์ 3ตัว 14-24 (ซึ่งแถบจะไม่ได้ใช้เลย เพราะแบกไม่ไหว 555 ให้ลูกหาบแบกเกือบทั้งทริป) 24-70/ 70-200 f4
ขาตั้ง Sirui รุ่น carbon แบต 6 ก้อน + ที่ชาร์จพกพาที่ชาร์จกับ Powerbank ได้+ Powerbank 2 ก้อน
จุดเริ่มต้นทริปและการเตรียมตัว
หลังจากเคยเห็นรูปที่ถ่ายจาก EBC หลายๆรูป ผมก็มีความคิดว่าซักวันนึงอยากจะไปสัมผัสประสบการณ์
การ Trekking รูท EBC ซักครั้ง ประจวบกับปีที่แล้วเป็นช่วงที่น้ำหนักตัวเองอยู่ในเกณฑ์ที่รับไม่ไหว จึงเริ่มวิ่งออกกำลังกายเพื่อควบคุมน้ำหนัก
และประจวบเหมาะอีกกับที่ ฟ้า Skytale 1 ในไอด้อลด้านการถ่ายรูปของผม มีทริปไป EBC พอดี ผมคิดว่า ไหนๆเราก็เริ่มวิ่งออกกำลังกายมาซักระยะแล้ว เพิ่มระยะการวิ่งเพื่อความฟิตอีกซักหน่อยหน้าจะไหว จึงไม่รอช้าติดต่อเพื่อขอร่วม join trip ทันที
หลังจากตัดสินใจว่าจะไป ผมมีเวลาเตรียมตัวประมาณ 3เดือนก่อนวันเดินทาง
ในใจนี่เริ่มกังวล นี่เราจะรอดไหมเนี้ย ไม่มีประสบการณ์การเดินเทร็คกิ้งมาก่อนในชีวิต
แถมนี่ต้องเดิน รูทที่ยาวนานร่วมสิบกว่าวัน จึงต้องเริ่มฟิตมากขึ้น
ปกติผมวิ่งประมาณ 5กม ก็เพิ่มระยะเป็น 7กม และ 10 กม ตามลำดับ
เดือนสุดท้ายนี่ ด้วยความกลัวว่าจะเป็นตัวถ่วงคนอื่นเค้า เลยวิ่ง 10กม. 4 วัน/สัปดาห์
ส่วนเรื่องอุปกรณ์เสื้อผ้ารองเท้าต่างๆ มีดังนี้
- เสื้อกันลม Columbia 1ตัว
- เสื้อ Down 1 ตัว
- เสื้อ Heatech 2 ตัว Columbia 1ตัว Uniqlo 1 ตัว
- เสื้อยืด Airlism Uniqlo 2ตัว ซื้อเพิ่มที่ทาเมลอีก 2 ตัว
- กางเกง Heatech 1 ตัว Columbia
- กางเกงกันลม 2 ตัว
- ถุงเท้าหนา 6 คู่-ถุงมือ1คู้ หมวกไหมพนม 1คู่
- ถุงนอน
- รองเท้าหุ้มข้อ ของ Northface
- ไม้ trek ซื้อที่ทาเมล
- แว่นกันแดด หมวกแก๊ป ผ้าบัฟ
- อย่าลืมทำประกันที่คลอบคลุมการขึ้นเฮลิคอปเตอร์ฉุกเฉินในกรณีป่วยเป็น AMS ด้วยนะครับ
เรื่องราวระหว่างทาง
จุดเริ่มต้นการ trekking เส้นEBC เราต้องนั่งครื่องบินจาก เมืองกาฏมัณฑุ ไปสู่จุดหมายของการเริ่มเดินที่เมือง Lukla
ทริปนี้งานงอกตั้งแต่วันแรก ไฟลท์ที่บินไป Lukla ต้องดีเลย์เนื่องจากสภาพอากาศเลวร้าย สนามบินที่ Lukla นี่ขึ้นชื่อเรื่องความอันตรายติดอันดับต้นๆของโลก ต้องฟ้าเปิดเท่านั้นถึงจะมีการบิน
ผมรอตั้งแต่ 7โมงเช้า ยัน บ่าย3 ก็ไม่มีวี่แววว่าจะได้บิน ในกรุ๊ปจึงตัดสินใจ นั่ง เฮลิคอปเตอร์ไป ซึ่ง ฮ. สามารถบินไปได้ แต่ต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ซึ่งสูงเอาเรื่อง เพราะถ้ารอบินวันรุ่งขึ้นก็มีความน่าจะเป็นที่จะไม่ได้บินอีก ซึ่งถ้าไม่ได้บินจะทำให้แผนการเดินมีปัญหา
ทีมผมจึงต้องแบ่งเป็น 2 กรุ๊ป กรุ๊ปละ 5คน แบ่งขึ้น ฮ 2 ลำ ลำแรกไปก่อน ส่วนผมนั่งรอเพื่อจะขึ้นลำที่2
หลังจาก ฮ. ลำแรกออกไปได้ ครึ่งชม. กรุ๊ปของผมก็ได้รีบแจ้งว่า ตอนนี้ ฮ.ไม่สามารถบินได้แล้วเพราะสภาพอากาศเลวร้าย ต้องรอวันรุ่งขึ้น ส่วน ฮ ลำแรกก็ต้องลงจอด เมืองก่อนถึง Lukla และต้องเดินเท้าเพิ่มขึ้นอีก 2 ชม.
เพิ่อไปถึง Lukla กรุ๊ปผมจึงต้องแยกเป็น 2 ทีม โดยปริยาย
กว่าจะเดินถึง Namche Bazaar นี่แถบรากเลือด อาจจะเพราะยังไม่ชินกับสภาวะความสูงจากระดับน้ำทะเล เดินไม่กี่ก้าวนี่ก็หอบแฮ่กๆ แล้ว
แถมวันแรกที่เดิน จากLukla ถึง Monjo ฝนตกตั้งแต่เริ่มเดินยันถึงจุดหมาย เปียกชุ่มทั้งตัว เริ่มมา2-3วันก็มันส์ซะแล้วววว รับน้องได้โหดมากค่ะ
ยอดThamserku ถ่ายจากจุดชมวิว Hotel Everest สถานที่ที่เราต้องเดินขึ้นจากหมู่บ้าน Namche Bazaar เพื่อ acclimatization หรือการปรับสภาพร่างกายให้ปรับตัวเข้ากับที่สูงในสภาพอากาศบางเบา แล้วเดินกลับลงไปนอน ที่ หมู่บ้านNamche Bazaar เหมือนเดิม
ณ จุดชมวิว หมู่บ้าน Tengboche
ช่วงที่ผมไปนี่ ตกเย็นฟ้ามักจะปิด หมอกหนาตึ้บแทบจะมองไม่เห็นอะไร หน้าจะเป็นเย็นเดียวทั้งทริปที่ฟ้าสวย
ทั้งที่ตอนเดินมาถึง นี่หมอกนี่หนาจนคนในทีมเริ่มควักไพ่เตรียมตั้งวงละ พอหันไปเช็คที่หน้าต่างฟ้าเริ่มเปิด รีบคว้ากล้อง
วิ่งหน้าตั้งขึ้นจุดชมวิว รีบก็รีบ หายใจก็ไม่ทัน ก้าว5ก้าวหยุดหอบหนึ่งเฮือก ฮาาาา
ส่วนใหญ่จุดถ่ายรูป บน EBC มักจะอยู่บนที่สูง เพราะฉะนั้น เหมือนเหนื่อย 2เด้ง เด้งแรกเดินจากหมู่บ้านถึงหมู่บ้าน
เด้งสองหลังจากถึงหมู่บ้านก็ต้องปีนขึ้นหาจุดถ่ายรูปมุมสูง
ํYak จามรี สัตว์ท้องถิ่นที่เราจะต้องเจอทั้งทริป เดินสวนกันหลบกันไปหลบกันมา ขนน้ำเปล่าน้ำอัดลมไข่กงไข่ไก่
ให้เราได้ซื้อกินยามอยู่บนเขาสูง แถมขี้Yakเมื่อนำไปตากแห้งยังสามารถเอามาเป็นเชื้อเพลิงจุดไฟให้ความอบอุ่นได้
พูดถึงอาหารการกิน อยู่นี่ยิ่งสูงของยิ่งแพงตามความสูง
ไวไฟ 200mb 200 บาท น้ำตาจิไหล
ยอดเขาก่อนรุ่งสาง
แสงเช้า ณ หมู่บ้าน Dingboche
การลุกมาถ่ายแสงเช้า เราต้องต่อสู้ทั้งความหนาวเหน็บ และความง่วง
แต่ช่วงที่ผมมานี่แสงเช้านี่ไม่ค่อยทำให้ผิดหวัง ฟ้ามักจะเปิด มีไม่กี่เช้าที่ฟ้าปิด
จากหมู่บ้าน Dingboche ทีมเราก็ออกเดินทางกันต่อมาถึงหมู่บ้าน Lobuche
ออกมาถ่ายหน้าที่พัก ที่พักที่นี่จะไม่มีฮีตเตอร์ให้ ถ้าเป็นคนขี้หนาวควรพกถุงนอนมาด้วย จะทำให้หลับสบายมากขึ้น
ส่วนอาหารการกิน หลังจากหมู่บ้าน Namche Bazaar ก็จะไม่มีเนื้อสัตว์ให้กินแล้ว แต่จะมีไข่ ซึ่งผมจะสั่งอยู่ไม่กี่อย่าง
วนๆกันไป ทั้งไข่เจียว ไข่ดาวมั้ง ไข่ต้มมั้ง แต่ที่ขาดไม่ได้เลย คือซุปกระเทียม เค้าบอกกินซุปกระเทียมเยอะๆจะป้องกัน
AMS โรคแพ้ความสูง จริงเท็จไม่รู้ รู้แต่ว่ากินแรกๆ อร่อยดีๆนะ แต่เจอหลายๆมื้อก็เล่นเอาเอียนไปเหมือนกัน
มาม่า ปลากระป๋อง หมูหยองนี่จะช่วยได้มาก อยู่บนนั้นจะอร่อยเป็นพิเศษ
จุดหมายต่อไปคือ หมู่บ้าน Gorakshep ที่ความสูง 5140m
ที่หมู่บ้านแห่งนี้ซึ่ง ความสูงทะลุ5000พันเมตร ในทีมของผมบางคนก็เริ่มประสบปัญหาเจอ AMS เล่นงาน
ซึ่งจะทำให้ปวดหัว ทานอาหารไม่ลง นอนไม่ค่อยหลับ แต่ก็ไม่ถอยและยังคงสู้ต่อไป
เรามาถึง Gorakshep ประมาณบ่ายโมงกินข้าวเที่ยงเสร็จ เรามีภารกิจภาคบ่ายให้พิชิต โดยทีมเราแบ่งเป็น 2ทีม โดยผมอยู่ทีมแรกจะขึ้นไปถ่ายแสงเย็น ที่Kalapathar ส่วนอีกทีมมุ่งหน้าเดินไปพิชิต Everest Basecamp
การเดินขึ้น Kalapathar นี่หนักหนาสาหัสเอาการ อาจจะเพราะความสูงเกิน 5000เมตร แถมตอนเช้าก็เดินจากLobucheมาถึงGorakchep ก็กินเวลาหลายชม. ทำให้ก้าวขาไม่ค่อยออก เดินไปหยุดไป ซักพักเริ่มหายใจไม่ทัน หายใจถึ่ขึ้นเรื่อยๆ เริ่มปวดหัวตุ้บๆ เดินไปครึ่งทางหันกลับมามอง โอ้ววววจอร์จ !!!! หมอก มาเต็มสตรีมมม ในใจคิดหรือจะเดินกลับดีวะขึ้นไปคงมองไม่เห็นอะไร แถมถ้าฝืนร่างกายอาจจะเป็น AMS เอาได้ (เริ่มมีสัญญาณบ่งบอกว่าจะเป็น จากอาการปวดหัวตุ้บๆ)
แต่เอาวะ!!! ไหนๆก็เหนื่อยมาครึ่งทางละ ลากสังขารต่อไปให้สุดทางละกัน พอถึงจุดสูงสุดบน Kalapathar นี่คือวิวบนนั้น
ฟ้าคงกรุณา เห็นความตั้งใจ พอถึงยอดปุ๊ป หมอกหายปั๊ป
และในที่สุดที่นี่ยังสามารถยลโฉมยอด Everest ได้อย่างชัดเจนอีกด้วย
โดยส่วนตัวผมคิดว่า ยอด Everest นี่รูปร่างไม่สวยเท่ายอดอื่นๆนะ ฮาาาาา
อยู่บน Kalapathar นี่ผมต้องยืนพิงก้อนหินพยุงร่างตัวเองเอาไว้ เพราะอาการปวดหัวเ พะอืดพะอม ขาอ่อนแรง แต่ในมือก็กดชัตเตอร์ไม่หยุดอุตส่าห์มาถึงละ
เหมือนอยู่บนสวรรค์
พอฟ้าเริ่มมืดก็หอบร่างเดินระเห็จกลับที่พัก ขาลงนี่สบายกว่าขาขึ้นเยอะ พอถึงที่พักนี่นอนสลบเหมือด.......วันรุ่งขึ้นเราก็ต้องเดินจาก Gorakchep ไปถึงหมู่บ้าน Dzongla
หมู่บ้านนี้เป็นหมู่บ้านก่อนจะข้าม Chola Pass (ซึ่งคือช่องเขาที่เราต้องข้าม ขึ้นชื่อว่าโหดหินที่สุดในทริปนี้) เราแวะนอนที่นี่ 1คืน แล้วหิมะเจ้ากรรมดันมาตก ตอนกลางคืน ตื่นเช้ามาจึงไม่สามารถข้าม pass ได้เพราะอันตรายเกินไป ทำให้เราเสียเวลาไปอีก 1วัน
ในวันนี้เองพี่ในทีม 1 คน อาการไม่สู้ดี จาก AMS จึงต้องเรียก ฮ. มารับกลับไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลที่ กาฎมัณฑุ คนในทีมก็ลุ้นกันว่า ฮ.จะฝ่าอากาศย่ำแย่มารับได้หรือเปล่า สุดท้าย ฮ.ก็บินฝ่ามาถึงได้และรับพี่ในทีมกลับไปได้ ในขณะพี่อีกคนขอถอนตัวไม่ข้ามพาสต่อ โดยขอเดินกลับทางเก่า เพราะก็มีอาการ AMS รบกวนและกลัวว่าจะไม่สามารถข้ามพาสได้
รุ่งเช้าเราก็ตื่นมาลุ้นว่าข้ามพาสได้หรือเปล่า สรุปว่าอากาศเปิดสามารถข้ามพาสได้
Everest Basecamp+2 Passes : Trekkingครั้งแรก....ก็เล่นของยากซะละ
สวัสดี ชาวพันทิปทุกท่าน ในที่สุดก็ได้ฤกษ์งามยามดีตั้กระทู้ที่ 2 ในชีวิต หลังจากห่างหายจากการตั้งกระทู้แรกร่วมปี
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ปีที่แล้ว ช่วงเดือน ต.ค 2560 ผมได้มีโอกาสได้ไป trekking เส้น EBC+ 2 passes (Renjo la + Chola ) เป็นเวลา 19 วัน ณ ประเทศเนปาล
จึงถือโอกาสนำรูปมาฝากเพื่อนๆ นี่ถือเป็นการ Trekking จริงๆจรังๆครั้งแรกในชีวิตถ้าไม่นับรวมการขึ้นภูกระดึง สมัยเรียนมัธยมปลายกับเพื่อนๆ
อุปกรณ์ถ่ายรูป
กล้อง Nikon D810
เลนส์ 3ตัว 14-24 (ซึ่งแถบจะไม่ได้ใช้เลย เพราะแบกไม่ไหว 555 ให้ลูกหาบแบกเกือบทั้งทริป) 24-70/ 70-200 f4
ขาตั้ง Sirui รุ่น carbon แบต 6 ก้อน + ที่ชาร์จพกพาที่ชาร์จกับ Powerbank ได้+ Powerbank 2 ก้อน
จุดเริ่มต้นทริปและการเตรียมตัว
หลังจากเคยเห็นรูปที่ถ่ายจาก EBC หลายๆรูป ผมก็มีความคิดว่าซักวันนึงอยากจะไปสัมผัสประสบการณ์
การ Trekking รูท EBC ซักครั้ง ประจวบกับปีที่แล้วเป็นช่วงที่น้ำหนักตัวเองอยู่ในเกณฑ์ที่รับไม่ไหว จึงเริ่มวิ่งออกกำลังกายเพื่อควบคุมน้ำหนัก
และประจวบเหมาะอีกกับที่ ฟ้า Skytale 1 ในไอด้อลด้านการถ่ายรูปของผม มีทริปไป EBC พอดี ผมคิดว่า ไหนๆเราก็เริ่มวิ่งออกกำลังกายมาซักระยะแล้ว เพิ่มระยะการวิ่งเพื่อความฟิตอีกซักหน่อยหน้าจะไหว จึงไม่รอช้าติดต่อเพื่อขอร่วม join trip ทันที
หลังจากตัดสินใจว่าจะไป ผมมีเวลาเตรียมตัวประมาณ 3เดือนก่อนวันเดินทาง
ในใจนี่เริ่มกังวล นี่เราจะรอดไหมเนี้ย ไม่มีประสบการณ์การเดินเทร็คกิ้งมาก่อนในชีวิต
แถมนี่ต้องเดิน รูทที่ยาวนานร่วมสิบกว่าวัน จึงต้องเริ่มฟิตมากขึ้น
ปกติผมวิ่งประมาณ 5กม ก็เพิ่มระยะเป็น 7กม และ 10 กม ตามลำดับ
เดือนสุดท้ายนี่ ด้วยความกลัวว่าจะเป็นตัวถ่วงคนอื่นเค้า เลยวิ่ง 10กม. 4 วัน/สัปดาห์
ส่วนเรื่องอุปกรณ์เสื้อผ้ารองเท้าต่างๆ มีดังนี้
- เสื้อกันลม Columbia 1ตัว
- เสื้อ Down 1 ตัว
- เสื้อ Heatech 2 ตัว Columbia 1ตัว Uniqlo 1 ตัว
- เสื้อยืด Airlism Uniqlo 2ตัว ซื้อเพิ่มที่ทาเมลอีก 2 ตัว
- กางเกง Heatech 1 ตัว Columbia
- กางเกงกันลม 2 ตัว
- ถุงเท้าหนา 6 คู่-ถุงมือ1คู้ หมวกไหมพนม 1คู่
- ถุงนอน
- รองเท้าหุ้มข้อ ของ Northface
- ไม้ trek ซื้อที่ทาเมล
- แว่นกันแดด หมวกแก๊ป ผ้าบัฟ
- อย่าลืมทำประกันที่คลอบคลุมการขึ้นเฮลิคอปเตอร์ฉุกเฉินในกรณีป่วยเป็น AMS ด้วยนะครับ
เรื่องราวระหว่างทาง
จุดเริ่มต้นการ trekking เส้นEBC เราต้องนั่งครื่องบินจาก เมืองกาฏมัณฑุ ไปสู่จุดหมายของการเริ่มเดินที่เมือง Lukla
ทริปนี้งานงอกตั้งแต่วันแรก ไฟลท์ที่บินไป Lukla ต้องดีเลย์เนื่องจากสภาพอากาศเลวร้าย สนามบินที่ Lukla นี่ขึ้นชื่อเรื่องความอันตรายติดอันดับต้นๆของโลก ต้องฟ้าเปิดเท่านั้นถึงจะมีการบิน
ผมรอตั้งแต่ 7โมงเช้า ยัน บ่าย3 ก็ไม่มีวี่แววว่าจะได้บิน ในกรุ๊ปจึงตัดสินใจ นั่ง เฮลิคอปเตอร์ไป ซึ่ง ฮ. สามารถบินไปได้ แต่ต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ซึ่งสูงเอาเรื่อง เพราะถ้ารอบินวันรุ่งขึ้นก็มีความน่าจะเป็นที่จะไม่ได้บินอีก ซึ่งถ้าไม่ได้บินจะทำให้แผนการเดินมีปัญหา
ทีมผมจึงต้องแบ่งเป็น 2 กรุ๊ป กรุ๊ปละ 5คน แบ่งขึ้น ฮ 2 ลำ ลำแรกไปก่อน ส่วนผมนั่งรอเพื่อจะขึ้นลำที่2
หลังจาก ฮ. ลำแรกออกไปได้ ครึ่งชม. กรุ๊ปของผมก็ได้รีบแจ้งว่า ตอนนี้ ฮ.ไม่สามารถบินได้แล้วเพราะสภาพอากาศเลวร้าย ต้องรอวันรุ่งขึ้น ส่วน ฮ ลำแรกก็ต้องลงจอด เมืองก่อนถึง Lukla และต้องเดินเท้าเพิ่มขึ้นอีก 2 ชม.
เพิ่อไปถึง Lukla กรุ๊ปผมจึงต้องแยกเป็น 2 ทีม โดยปริยาย
กว่าจะเดินถึง Namche Bazaar นี่แถบรากเลือด อาจจะเพราะยังไม่ชินกับสภาวะความสูงจากระดับน้ำทะเล เดินไม่กี่ก้าวนี่ก็หอบแฮ่กๆ แล้ว
แถมวันแรกที่เดิน จากLukla ถึง Monjo ฝนตกตั้งแต่เริ่มเดินยันถึงจุดหมาย เปียกชุ่มทั้งตัว เริ่มมา2-3วันก็มันส์ซะแล้วววว รับน้องได้โหดมากค่ะ
ยอดThamserku ถ่ายจากจุดชมวิว Hotel Everest สถานที่ที่เราต้องเดินขึ้นจากหมู่บ้าน Namche Bazaar เพื่อ acclimatization หรือการปรับสภาพร่างกายให้ปรับตัวเข้ากับที่สูงในสภาพอากาศบางเบา แล้วเดินกลับลงไปนอน ที่ หมู่บ้านNamche Bazaar เหมือนเดิม
ณ จุดชมวิว หมู่บ้าน Tengboche
ช่วงที่ผมไปนี่ ตกเย็นฟ้ามักจะปิด หมอกหนาตึ้บแทบจะมองไม่เห็นอะไร หน้าจะเป็นเย็นเดียวทั้งทริปที่ฟ้าสวย
ทั้งที่ตอนเดินมาถึง นี่หมอกนี่หนาจนคนในทีมเริ่มควักไพ่เตรียมตั้งวงละ พอหันไปเช็คที่หน้าต่างฟ้าเริ่มเปิด รีบคว้ากล้อง
วิ่งหน้าตั้งขึ้นจุดชมวิว รีบก็รีบ หายใจก็ไม่ทัน ก้าว5ก้าวหยุดหอบหนึ่งเฮือก ฮาาาา
ส่วนใหญ่จุดถ่ายรูป บน EBC มักจะอยู่บนที่สูง เพราะฉะนั้น เหมือนเหนื่อย 2เด้ง เด้งแรกเดินจากหมู่บ้านถึงหมู่บ้าน
เด้งสองหลังจากถึงหมู่บ้านก็ต้องปีนขึ้นหาจุดถ่ายรูปมุมสูง
ํYak จามรี สัตว์ท้องถิ่นที่เราจะต้องเจอทั้งทริป เดินสวนกันหลบกันไปหลบกันมา ขนน้ำเปล่าน้ำอัดลมไข่กงไข่ไก่
ให้เราได้ซื้อกินยามอยู่บนเขาสูง แถมขี้Yakเมื่อนำไปตากแห้งยังสามารถเอามาเป็นเชื้อเพลิงจุดไฟให้ความอบอุ่นได้
พูดถึงอาหารการกิน อยู่นี่ยิ่งสูงของยิ่งแพงตามความสูง
ไวไฟ 200mb 200 บาท น้ำตาจิไหล
ยอดเขาก่อนรุ่งสาง
แสงเช้า ณ หมู่บ้าน Dingboche
การลุกมาถ่ายแสงเช้า เราต้องต่อสู้ทั้งความหนาวเหน็บ และความง่วง
แต่ช่วงที่ผมมานี่แสงเช้านี่ไม่ค่อยทำให้ผิดหวัง ฟ้ามักจะเปิด มีไม่กี่เช้าที่ฟ้าปิด
จากหมู่บ้าน Dingboche ทีมเราก็ออกเดินทางกันต่อมาถึงหมู่บ้าน Lobuche
ออกมาถ่ายหน้าที่พัก ที่พักที่นี่จะไม่มีฮีตเตอร์ให้ ถ้าเป็นคนขี้หนาวควรพกถุงนอนมาด้วย จะทำให้หลับสบายมากขึ้น
ส่วนอาหารการกิน หลังจากหมู่บ้าน Namche Bazaar ก็จะไม่มีเนื้อสัตว์ให้กินแล้ว แต่จะมีไข่ ซึ่งผมจะสั่งอยู่ไม่กี่อย่าง
วนๆกันไป ทั้งไข่เจียว ไข่ดาวมั้ง ไข่ต้มมั้ง แต่ที่ขาดไม่ได้เลย คือซุปกระเทียม เค้าบอกกินซุปกระเทียมเยอะๆจะป้องกัน
AMS โรคแพ้ความสูง จริงเท็จไม่รู้ รู้แต่ว่ากินแรกๆ อร่อยดีๆนะ แต่เจอหลายๆมื้อก็เล่นเอาเอียนไปเหมือนกัน
มาม่า ปลากระป๋อง หมูหยองนี่จะช่วยได้มาก อยู่บนนั้นจะอร่อยเป็นพิเศษ
จุดหมายต่อไปคือ หมู่บ้าน Gorakshep ที่ความสูง 5140m
ที่หมู่บ้านแห่งนี้ซึ่ง ความสูงทะลุ5000พันเมตร ในทีมของผมบางคนก็เริ่มประสบปัญหาเจอ AMS เล่นงาน
ซึ่งจะทำให้ปวดหัว ทานอาหารไม่ลง นอนไม่ค่อยหลับ แต่ก็ไม่ถอยและยังคงสู้ต่อไป
เรามาถึง Gorakshep ประมาณบ่ายโมงกินข้าวเที่ยงเสร็จ เรามีภารกิจภาคบ่ายให้พิชิต โดยทีมเราแบ่งเป็น 2ทีม โดยผมอยู่ทีมแรกจะขึ้นไปถ่ายแสงเย็น ที่Kalapathar ส่วนอีกทีมมุ่งหน้าเดินไปพิชิต Everest Basecamp
การเดินขึ้น Kalapathar นี่หนักหนาสาหัสเอาการ อาจจะเพราะความสูงเกิน 5000เมตร แถมตอนเช้าก็เดินจากLobucheมาถึงGorakchep ก็กินเวลาหลายชม. ทำให้ก้าวขาไม่ค่อยออก เดินไปหยุดไป ซักพักเริ่มหายใจไม่ทัน หายใจถึ่ขึ้นเรื่อยๆ เริ่มปวดหัวตุ้บๆ เดินไปครึ่งทางหันกลับมามอง โอ้ววววจอร์จ !!!! หมอก มาเต็มสตรีมมม ในใจคิดหรือจะเดินกลับดีวะขึ้นไปคงมองไม่เห็นอะไร แถมถ้าฝืนร่างกายอาจจะเป็น AMS เอาได้ (เริ่มมีสัญญาณบ่งบอกว่าจะเป็น จากอาการปวดหัวตุ้บๆ)
แต่เอาวะ!!! ไหนๆก็เหนื่อยมาครึ่งทางละ ลากสังขารต่อไปให้สุดทางละกัน พอถึงจุดสูงสุดบน Kalapathar นี่คือวิวบนนั้น
ฟ้าคงกรุณา เห็นความตั้งใจ พอถึงยอดปุ๊ป หมอกหายปั๊ป
และในที่สุดที่นี่ยังสามารถยลโฉมยอด Everest ได้อย่างชัดเจนอีกด้วย
โดยส่วนตัวผมคิดว่า ยอด Everest นี่รูปร่างไม่สวยเท่ายอดอื่นๆนะ ฮาาาาา
อยู่บน Kalapathar นี่ผมต้องยืนพิงก้อนหินพยุงร่างตัวเองเอาไว้ เพราะอาการปวดหัวเ พะอืดพะอม ขาอ่อนแรง แต่ในมือก็กดชัตเตอร์ไม่หยุดอุตส่าห์มาถึงละ
เหมือนอยู่บนสวรรค์
พอฟ้าเริ่มมืดก็หอบร่างเดินระเห็จกลับที่พัก ขาลงนี่สบายกว่าขาขึ้นเยอะ พอถึงที่พักนี่นอนสลบเหมือด.......วันรุ่งขึ้นเราก็ต้องเดินจาก Gorakchep ไปถึงหมู่บ้าน Dzongla
หมู่บ้านนี้เป็นหมู่บ้านก่อนจะข้าม Chola Pass (ซึ่งคือช่องเขาที่เราต้องข้าม ขึ้นชื่อว่าโหดหินที่สุดในทริปนี้) เราแวะนอนที่นี่ 1คืน แล้วหิมะเจ้ากรรมดันมาตก ตอนกลางคืน ตื่นเช้ามาจึงไม่สามารถข้าม pass ได้เพราะอันตรายเกินไป ทำให้เราเสียเวลาไปอีก 1วัน
ในวันนี้เองพี่ในทีม 1 คน อาการไม่สู้ดี จาก AMS จึงต้องเรียก ฮ. มารับกลับไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลที่ กาฎมัณฑุ คนในทีมก็ลุ้นกันว่า ฮ.จะฝ่าอากาศย่ำแย่มารับได้หรือเปล่า สุดท้าย ฮ.ก็บินฝ่ามาถึงได้และรับพี่ในทีมกลับไปได้ ในขณะพี่อีกคนขอถอนตัวไม่ข้ามพาสต่อ โดยขอเดินกลับทางเก่า เพราะก็มีอาการ AMS รบกวนและกลัวว่าจะไม่สามารถข้ามพาสได้
รุ่งเช้าเราก็ตื่นมาลุ้นว่าข้ามพาสได้หรือเปล่า สรุปว่าอากาศเปิดสามารถข้ามพาสได้