ปัญหาเกี่ยวกับบุญนี่มันเป็นอย่างไร มันติดอยู่ที่บุญ ใคร ๆ ก็จะเป็นอย่างนี้ด้วยกันทั้งนั้น เป็นสมภารพูดจ้ออยู่บนธรรมาสน์มันก็ก็ยังติดอยู่ที่บุญนั่นแหละ มันอยากจะมีอะไรที่เป็นสุข สนุกสนาน เอร็ดอร่อย สวยงาม เรื่องอาหารการกิน การนุ่งห่มการอยู่อาศัย การ…. ทุกอย่างเลย มันต้องการจะให้ดี ให้สวย ให้เอร็ดอร่อย จึงขวนขวายสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ นานา ที่จะเป็นทางมาแห่งความสุขชนิดนี้ ก็เรียกว่า ทุกคนมันติดอยู่ที่บุญ มันหลุดไปไม่ได้ มันก็ไม่หายหิวซิ มันก็หิวอยู่เรื่อย แล้วมันก็ไม่ดับเย็น
ทีนี้ พระบาลีมีอยู่ว่า ละบุญ ละบาปเสียทั้ง ๒ อย่าง ไม่หิวอะไร แล้วก็ดับเย็นสนิทโน่น ดับเย็นสนิทเพราะไม่หิวอะไร ถ้ายังหิวอะไรอยู่ มันก็ร้อนแหละ ร้อนเพราะความหิวนั่นแหละ เพราะมันยังให้ความหมายแก่บุญและแก่บาปในทางที่ตรงกันข้าม มันก็หิวในส่วนที่คิดว่าดี ว่าพอใจ ว่าเป็นสุข
คนที่ยังโง่เกินไปเท่านั้นที่จะชอบบาป หรือรักบาป หรือหิวในบาป คนที่ฉลาดพอสมควรแล้ว มันก็ไม่หิวในบาป แต่มันหิวในบุญ เพราะว่า บุญ เป็นทางมาแห่งอารมณ์ โดยเฉพาะก็คือกามารมณ์ ที่เรียกกันว่า กามคุณ บุญเพราะมีกามคุณมาก คนมีบุญคือคนมีปัจจัยแห่งกามคุณมาก เป็นเจ้าใหญ่นายโต เป็นเจ้านาย เป็นเทวดาในสวรรค์เป็นอะไรอย่างนี้ มันมีบุญมาก มันมีความหมายอยู่ตรงที่ว่ามันมีปัจจัยแห่งกามารมณ์มาก
ถ้าในสวรรค์ไม่มีกามารมณ์ สวรรค์ก็ร้างแน่ ไม่มีใครอยากไป เดี๋ยวนี้คนมันยังอยากไปสวรรค์ เพราะเชื่อว่าที่นั่นมันมีกามารมณ์ หาได้ง่าย เป็นของเต็มไปหมด เพราะว่าเรามีบุญ เราได้ทำบุญไว้ เราไปเสวยสุขในสวรรค์ นี่บุญมันจึงยังคงอยู่ มีอยู่ในความคิดนึกของคนทั่วไป
เรื่องอย่างนั้น มันไม่ใช่เย็น แต่เป็นเรื่องที่หิวอยู่เรื่อย ตามพระบาลีนี้ว่า มันละเสียได้ทั้งบุญและบาป มันไม่หิวอะไร แล้วมันก็ดับเย็น ไม่หิวอะไร เพราะว่ามันรู้ว่า มันไม่ใช่เรื่องที่จะต้องไปหิว หรือว่าหิวเข้าแล้วมันก็ทรมาน ขึ้นชื่อว่าความอยาก แล้วต้องทำด้วยความโง่ ความอยากทุกชนิด ความหิวทุกชนิด ต้องทำด้วยความโง่ ถ้าไม่มีความโง่ ต้องการด้วยสติปัญญาอย่างนี้ไม่เรียกว่าความหิว ไม่เรียกว่าความอยากหรือตัณหา
ถ้าหิวต้องมีความโง่ แม้ธรรมดาที่เราหิวข้าวหิวน้ำ ก็ต้องหิวด้วยความโง่ จึงจะเป็นทุกข์ ถ้าหิวด้วยความรู้สึกว่า มันเป็นอย่างนี้เอง มันก็ไม่เป็นทุกข์ เพราะฉะนั้น อย่าได้ต้องการอะไรด้วยความโง่ มันก็จะเป็นความหิวขึ้นมา พอหิวขึ้นมาแล้วมันก็เดือดพลุ่ง ๆ มันก็ไม่ดับเย็น มันก็ไม่สงบรำงับหรือดับเย็น...
เบื่อแล้วไอ้เรื่องไม่หยุดไม่เย็นนี้ มันก็ต้องการจะหยุดจะเย็น ก็รู้จักว่าอะไรที่เป็นเหตุให้วิ่งไม่หยุด มันก็คือบุญนั่นเอง แล้วก็หิว อยู่ในบุญแล้วมันก็ไม่เย็น มันพ้นบุญกันเสียทีเถิด พ้นจากความบีบคั้นของบุญกันเสียทีเถิด อย่าให้บุญบีบคั้นเรานักเลย อย่าให้บุญผูกมัดรัดรึงเรานักเลย นั่นแหละเรียกว่า หมดอยากมีบุญ หมดอยากมีบุญ หมดความรู้สึกอยากมีบุญ ไม่มีความรู้สึกที่จะอยากมีบุญอีกต่อไป นั่นแหละคือบุญนั่นแหละคือบุญแหละ
พูดมาแล้ว ๒ หนแล้วว่า เรื่องนี้ถ้าฟังไม่ดีมันก็บ้าไปกันคนละครึ่ง อาตมาบ้าครึ่ง ผู้ฟังบ้าครึ่งหนึ่ง ว่าบุญที่แท้ ๆ นั้นมันมีเมื่อหมดอยากที่จะมีบุญ เมื่อใดความรู้สึกมันเกิดขึ้น คือไม่อยากจะมีบุญ เมื่อนั้นแหละ จะเป็นบุญแท้ และโดยภาษาพูดอย่างนี้ คนก็ฟังไม่ค่อยถูก เขาก็ว่าบ้า บ้าก็ได้เหมือนกัน แต่ขอให้มันเป็นอย่างนั้นได้สักหน่อยเถอะ มันก็จะยังดีเหมือนกัน ว่าหมดอยากบ้าบุญ ไม่บ้าบุญ ไม่เมาบุญ ไม่หลงใหลในของหนักอึ้งอันนี้ ก็เรียกว่านั่นแหละบุญ นั่นแหละคือบุญ บุญแท้นั้นคือความรู้สึกเมื่อหมดอยากจะมีบุญ เรื่องมันจบ ถ้ามันยังอยากจะมีบุญอยู่เรื่อย เรื่องมันไม่จบ มันไม่มีวันจบ วัฏฏสงสารไม่จบ เพราะว่ามันถูกปรุงแต่งไว้ด้วยบาปและด้วยบุญ เผลอไปทำบาปเข้า มันก็มีการปรุงแต่งด้วยบาป รักจะทำบุญก็ทำบุญมาก ๆ เข้าไว้ มันก็ปรุงแต่งด้วยบุญ บุญก็เป็นเครื่องปรุงแต่งบาปก็เป็นเครื่องปรุงแต่ง
พุทธทาสภิกขุ
ติดบุญ หลงบุญ
ทีนี้ พระบาลีมีอยู่ว่า ละบุญ ละบาปเสียทั้ง ๒ อย่าง ไม่หิวอะไร แล้วก็ดับเย็นสนิทโน่น ดับเย็นสนิทเพราะไม่หิวอะไร ถ้ายังหิวอะไรอยู่ มันก็ร้อนแหละ ร้อนเพราะความหิวนั่นแหละ เพราะมันยังให้ความหมายแก่บุญและแก่บาปในทางที่ตรงกันข้าม มันก็หิวในส่วนที่คิดว่าดี ว่าพอใจ ว่าเป็นสุข
คนที่ยังโง่เกินไปเท่านั้นที่จะชอบบาป หรือรักบาป หรือหิวในบาป คนที่ฉลาดพอสมควรแล้ว มันก็ไม่หิวในบาป แต่มันหิวในบุญ เพราะว่า บุญ เป็นทางมาแห่งอารมณ์ โดยเฉพาะก็คือกามารมณ์ ที่เรียกกันว่า กามคุณ บุญเพราะมีกามคุณมาก คนมีบุญคือคนมีปัจจัยแห่งกามคุณมาก เป็นเจ้าใหญ่นายโต เป็นเจ้านาย เป็นเทวดาในสวรรค์เป็นอะไรอย่างนี้ มันมีบุญมาก มันมีความหมายอยู่ตรงที่ว่ามันมีปัจจัยแห่งกามารมณ์มาก
ถ้าในสวรรค์ไม่มีกามารมณ์ สวรรค์ก็ร้างแน่ ไม่มีใครอยากไป เดี๋ยวนี้คนมันยังอยากไปสวรรค์ เพราะเชื่อว่าที่นั่นมันมีกามารมณ์ หาได้ง่าย เป็นของเต็มไปหมด เพราะว่าเรามีบุญ เราได้ทำบุญไว้ เราไปเสวยสุขในสวรรค์ นี่บุญมันจึงยังคงอยู่ มีอยู่ในความคิดนึกของคนทั่วไป
เรื่องอย่างนั้น มันไม่ใช่เย็น แต่เป็นเรื่องที่หิวอยู่เรื่อย ตามพระบาลีนี้ว่า มันละเสียได้ทั้งบุญและบาป มันไม่หิวอะไร แล้วมันก็ดับเย็น ไม่หิวอะไร เพราะว่ามันรู้ว่า มันไม่ใช่เรื่องที่จะต้องไปหิว หรือว่าหิวเข้าแล้วมันก็ทรมาน ขึ้นชื่อว่าความอยาก แล้วต้องทำด้วยความโง่ ความอยากทุกชนิด ความหิวทุกชนิด ต้องทำด้วยความโง่ ถ้าไม่มีความโง่ ต้องการด้วยสติปัญญาอย่างนี้ไม่เรียกว่าความหิว ไม่เรียกว่าความอยากหรือตัณหา
ถ้าหิวต้องมีความโง่ แม้ธรรมดาที่เราหิวข้าวหิวน้ำ ก็ต้องหิวด้วยความโง่ จึงจะเป็นทุกข์ ถ้าหิวด้วยความรู้สึกว่า มันเป็นอย่างนี้เอง มันก็ไม่เป็นทุกข์ เพราะฉะนั้น อย่าได้ต้องการอะไรด้วยความโง่ มันก็จะเป็นความหิวขึ้นมา พอหิวขึ้นมาแล้วมันก็เดือดพลุ่ง ๆ มันก็ไม่ดับเย็น มันก็ไม่สงบรำงับหรือดับเย็น...
เบื่อแล้วไอ้เรื่องไม่หยุดไม่เย็นนี้ มันก็ต้องการจะหยุดจะเย็น ก็รู้จักว่าอะไรที่เป็นเหตุให้วิ่งไม่หยุด มันก็คือบุญนั่นเอง แล้วก็หิว อยู่ในบุญแล้วมันก็ไม่เย็น มันพ้นบุญกันเสียทีเถิด พ้นจากความบีบคั้นของบุญกันเสียทีเถิด อย่าให้บุญบีบคั้นเรานักเลย อย่าให้บุญผูกมัดรัดรึงเรานักเลย นั่นแหละเรียกว่า หมดอยากมีบุญ หมดอยากมีบุญ หมดความรู้สึกอยากมีบุญ ไม่มีความรู้สึกที่จะอยากมีบุญอีกต่อไป นั่นแหละคือบุญนั่นแหละคือบุญแหละ
พูดมาแล้ว ๒ หนแล้วว่า เรื่องนี้ถ้าฟังไม่ดีมันก็บ้าไปกันคนละครึ่ง อาตมาบ้าครึ่ง ผู้ฟังบ้าครึ่งหนึ่ง ว่าบุญที่แท้ ๆ นั้นมันมีเมื่อหมดอยากที่จะมีบุญ เมื่อใดความรู้สึกมันเกิดขึ้น คือไม่อยากจะมีบุญ เมื่อนั้นแหละ จะเป็นบุญแท้ และโดยภาษาพูดอย่างนี้ คนก็ฟังไม่ค่อยถูก เขาก็ว่าบ้า บ้าก็ได้เหมือนกัน แต่ขอให้มันเป็นอย่างนั้นได้สักหน่อยเถอะ มันก็จะยังดีเหมือนกัน ว่าหมดอยากบ้าบุญ ไม่บ้าบุญ ไม่เมาบุญ ไม่หลงใหลในของหนักอึ้งอันนี้ ก็เรียกว่านั่นแหละบุญ นั่นแหละคือบุญ บุญแท้นั้นคือความรู้สึกเมื่อหมดอยากจะมีบุญ เรื่องมันจบ ถ้ามันยังอยากจะมีบุญอยู่เรื่อย เรื่องมันไม่จบ มันไม่มีวันจบ วัฏฏสงสารไม่จบ เพราะว่ามันถูกปรุงแต่งไว้ด้วยบาปและด้วยบุญ เผลอไปทำบาปเข้า มันก็มีการปรุงแต่งด้วยบาป รักจะทำบุญก็ทำบุญมาก ๆ เข้าไว้ มันก็ปรุงแต่งด้วยบุญ บุญก็เป็นเครื่องปรุงแต่งบาปก็เป็นเครื่องปรุงแต่ง
พุทธทาสภิกขุ