จองได้ยังไง จองได้เมื่อไหร่ ? สารพันคำถามประเดประดังเมื่อผมกำลังจะไปโมโกจู มหากาพย์ทริปเดินป่าแห่งสยามประเทศที่จองยากเย็นแสนเข็ญ และขอตอบตามตรงว่าลำพังผมน่ะจองไม่ได้หรอกครับ แค่บังเอิญเพื่อนกลุ่มที่จองได้เกิดมีสมาชิกถอนตัว ผมเลยบุญหล่นทับได้เสียบแทน บทจะโชคดีก็ง่ายๆ แบบนี้แหละ
อธิบายสักนิดสำหรับใครไม่ใช่สายป่า ที่ว่าจองยากสุดในประเทศเพราะเส้นทางเดินป่าโมโกจู อุทยานแห่งชาติแม่วงก์ จังหวัดกำแพงเพชร เปิดให้ประชาชนทั่วไปเที่ยวแค่ปีละสี่เดือน พฤศจิกายนถึงกุมภาพันธ์ โดยเป็นทริปห้าวันสี่คืน ตั้งแต่วันเสาร์ถึงพุธของแต่ละสัปดาห์ แถมจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวแค่สัปดาห์ละสองกลุ่ม กลุ่มละไม่เกินสิบสองคน เท่ากับว่าในฤดูกาลท่องเที่ยวโมโกจู จะมีผู้โชคดีได้เข้าไปสัมผัสป่าแห่งนี้ไม่กี่ร้อยคนเท่านั้น
เรียกว่าเลือดตาแทบกระเด็นกว่ากลุ่มไหนจะจองได้
สำหรับกำหนดการเดินหน้าตาแบบนี้ครับ
วันแรก ที่ทำการฯ >>> 16 กม. (ทางราบส่วนใหญ่ ถนนดินแดง) >>> แคมป์แม่กระสา
วันที่สอง แคมป์แม่กระสา >>> 4 กม. (ป่าไผ่ ทางราบส่วนใหญ่) >>> แคมป์แม่เรวา >>> 3 กม. ไปเที่ยวน้ำตกแม่เรวาแล้วกลับแคมป์
วันที่สาม แคมป์แม่เรวา >>> 8 กม. (ขึ้นเขาชันสิบกะโหลก) >>> แคมป์ตีนดอย >>> 1 กม. ขึ้นยอดโมโกจูแล้วกลับลงมา
วันที่สี่ แคมป์ตีนดอย >>> 1 กม. ขึ้นยอดโมโกจูแล้วกลับลงมา >>> 8 กม. (ลงเขาชันเข่าพัง) >>> แคมป์แม่เรวา >>> 4 กม. >>> แคมป์แม่กระสา
วันที่ห้า แคมป์แม่กระสา >>> 16 กม. (ถนนดินแดง) >>> ที่ทำการฯ
ทริปนี้เพื่อความสะดวกกลุ่มเราเลือกเดินทางด้วยรถตู้เช่าเหมาคัน ออกจาก กทม. คืนวันศุกร์ และกลับถึง กทม. ค่ำวันพุธ วาเลนไทน์ 14 กุมภา เป็นช่วงที่ดีใช่ไหมล่ะในการพิชิตยอดเขาสูง 1,964 เมตร เหนือระดับน้ำทะเลแห่งนี้
วันที่ 1 : ที่ทำการฯ > แม่กระสา
เราเดินทางด้วยรถตู้ออกจาก กทม. สี่ทุ่มเศษ ถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ตีสามกว่าๆ หาที่หลับที่นอนภายในศูนย์บริการนักท่องเที่ยวแบบง่ายๆ พอฟ้าสว่างก็ตื่นโดยสัญชาตญาณถึงจะยังนอนกันไม่เต็มตาเท่าไหร่ บรรยากาศตอนเช้าในอุทยานฯ ดีเชียวครับ สดชื่นมาก ถ้าว่างๆ มานอนเล่นสักคืนสองคืนคงเพลินดี
จัดแจงเตรียมข้าวของ กินข้าวร้านสวัสดิการ ก่อนจะเริ่มเดินเราต้องลงทะเบียน เคลียร์ค่าใช้จ่ายต่างๆ และอีกขั้นตอนสำคัญคือฟังบรรยายจากเจ้าหน้าที่ถึงเส้นทางการเดิน กฎระเบียบต่างๆ สิ่งอำนวยความสะดวกที่อุทยานฯ มีให้ และที่เราต้องหากันเอาเอง พูดคุยแบบฮาๆ ไม่ได้ซีเรียสอะไร
“หัวหน้าสั่งให้ผมบอกว่าห้ามขึ้นหินเรือใบนะ โอเคงั้นผมจะบอกว่าห้ามขึ้นหินเรือใบ ถือว่าบอกแล้วนะ” เจ้าหน้าที่ยิ้ม เสร็จสรรพก็ฉายช็อตเด็ดๆ ของโมโกจูที่มีแต่ภาพคนถ่ายบนหินเรือใบ แล้วบอกต่อว่าถ้าได้รูปสวยๆ ส่งมาให้อุทยานฯ ใช้โปรโมตบ้างนะ (ฮา...)
รับทราบสิ่งควรรู้ทุกอย่างแล้วก็ออกมาถ่ายกับป้ายด้านหน้าเป็นที่ระลึกสักหน่อย แน่นอนว่าเป็นภาพหล่อๆ สวยๆ ภาพสุดท้ายของทริปนี้
ทั้งสองกลุ่มเดินไล่ไปพร้อมกัน มีเจ้าหน้าที่ดูแลรวมกันสี่คน เฉพาะกลุ่มเรามีลูกหาบสามคน แบกคนละ20 กิโลกรัม แต่เพราะแม่ครัวเตรียมของกินกันหรูหรานิดหน่อยน้ำหนักเลยทะลัก ก็เป็นหน้าที่ของผู้ชายล่ะครับต้องเฉลี่ยกันมาทำให้น้ำหนักแบกหน่วงหน่อยๆ
มองนาฬิกาสิบโมงห้านาทีได้เวลาออกตัว จุดเริ่มต้นพิชิตโมโกจูอยู่ตรงป้ายอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ใหญ่ๆ ใกล้กับที่ทำการฯ นั่นแหละ พร้อมแล้วลุยโลด
ทางเดินจากที่ทำการฯ ไปแคมป์แรกแม่กระสา เป็นการเดินบนถนนลูกรังดินแดงราว 16 กม. เป็นถนนที่เป็นถนนจริงๆ เจ้าหน้าที่ยังใช้โฟร์วีลและมอเตอร์ไซค์วิ่งกันเป็นปกติเมื่อต้องเข้าไปปฏิบัติภารกิจ
จากที่เจ้าหน้าที่บรรยายให้ฟังตั้งแต่ตอนแรก ปีนี้อุทยานฯ มีแผนให้นั่งรถเข้าไปถึงแม่กระสาเลยด้วยซ้ำเพื่อย่นระยะการเดินและจำนวนวันในทริป แต่ช่วงปลายฝนก่อนเปิดป่าไม่นานปรากฏว่าน้ำซัดถนนพัง แผนเลยต้องพับไว้ก่อน แต่ปีต่อไปอาจหยิบเรื่องนั่งรถเข้าไปแม่กระสามาว่ากันใหม่
เดินทางราบสักสองกิโลก็จะถึงเนินชันเนินแรกชื่อว่า “มอขี้แตก” ระดับความชันไม่เท่าไหร่หรอกครับ แต่เพราะเป็นเนินแรกเหนื่อยแรกกับทางยาวๆ หนึ่งกิโล มันก็เลยดูโหดร้ายนิดหน่อย (ฮา...)
หลังพ้นเนินแรกมาอย่างสะบักสะบอม จากนั้นทางค่อนจะราบ มีเนินสลับอยู่บ้างแต่ไม่ชันมาก เดินเรื่อยๆ ตากแดดเหนื่อยก็พัก มีธารน้ำห้วยมะนาวที่เราต้องข้ามไปข้ามมาหลายรอบ ใครมีเครื่องกรองน้ำพกพาก็ค่อนข้างสบาย เติมน้ำได้ตลอดในช่วงนี้
เดินมาเรื่อยๆ กลุ่มเริ่มแตก ใครเดินเร็วเดินไป เดินช้าก็รั้งท้าย ผมไม่เร่งมากอยู่กลางๆ บ่ายสองโมงครึ่งก็มาถึงตรงนี้ หลักกิโลที่ 11/29 ตัวเลขแรกคือเราเดินมาแล้ว 11 กม. ตัวเลขหลังคือระยะทางถึงยอดโมโกจู แต่วันนี้เราจะเดินกัน 16 กม. เพราะฉะนั้นเหลือ 5 กม. สุดท้ายแล้ว
หลังเดินกันมา 11 กม. เหลืออีกแค่ห้าก็ดูน่าจะนิดเดียวใช่ไหมครับ แต่โมโกจูสำหรับผมคือป่าหลอกลวงโดยแท้ ที่บอกว่าเหลืออีกนิดเหลืออีกหน่อย เดินไปเถอะทำไมไม่ถึงสักที (วะ)
ยิ่งช่วงท้ายๆ ได้ยินเสียงน้ำแสดงว่าใกล้ถึงแม่กระสาเต็มทน แต่ไหงเดินผ่านโค้งแล้วโค้งเล่าก็ยังไม่เห็นวี่แววของแคมป์สักที เล่นเอาสุดท้ายหมดแรงทิ้งตัวนั่งพักก่อนดีกว่าจะถึงกี่โมงก็ช่างหัวมัน (ฮา...)
ในที่สุด 16.10 น. สิ่งที่เห็นค่อยทำให้ยิ้มออก แคมป์แม่กระสาอยู่ตรงหน้า และสิ่งที่ทุกคนทำเหมือนกันเป๊ะคือสิ่งนี้... โค้ก เป๊ปซี่ จัดกันไปให้หายเหนื่อยสิครับจะรออะไร เจ้าหน้าที่แช่ตู้เย็นรอไว้อย่างรู้ใจ ขวดละสิบห้าบาทเท่านั้นไม่ได้ชาร์จเพิ่มมากมาย
ที่แคมป์แม่กระสาทางอุทยานฯ จัดทำลานกางเต็นท์อย่างดี มีศาลาสามหลังแบ่งกันใช้ ตรงกลางเป็นของเจ้าหน้าที่และลูกหาบ หลังซ้ายกับขวาแบ่งกันหลังละกลุ่ม ห้องน้ำก็มีอย่างดี ใช้เฉพาะสำหรับทำธุระขับถ่ายเท่านั้นนะครับ
ส่วนเรื่องอาบน้ำก็ที่ลำห้วยแม่กระแสโอเพ่นแอร์กันเลยสดชื่นกว่าเยอะ
เรื่องอาหารการกินโชคดีที่กรุ๊ปเรามีแม่ครัวพ่อครัวหัวป่าก์ เลยอยู่ดีกินดีมาก ทุกอย่างตระเตรียมมาอย่างเพียบพร้อม กินดีอยู่ดียิ่งกว่าที่บ้านเสียอีก (ฮา...)
ที่แม่กระแสมีนกยูงอยู่สามตัว เจ้าตัวเมียค่อนข้างหวงถิ่นไปถ่ายรูปใกล้ๆ ระวังโดนวิ่งไล่ เพื่อนในกลุ่มคนหนึ่งโดนจิกได้เลือดมาแล้ว ส่วนนกกก (นกเงือก) ที่เชื่องๆ อยู่ที่นี่ เจ้าหน้าที่บอกว่าตายไปแล้วครับ โดนไฟดูดที่สถานีควบคุมไฟป่า... เศร้าเลย
ช่วงหัวค่ำลูกหาบต้มน้ำเห็ดหลินจือป่าให้กิน เก็บกันสดๆ แถวนี้แหละ บอกว่ากินแล้วจะช่วยคลายปวดคลายเมื่อยได้ดี อันนี้ไม่รู้จริงหรือเปล่าครับเพราะไอ้อาการปวดเมื่อยของเรานี่คงยากที่จะทำให้หายเป็นปลิดทิ้งในระยะเวลาคืนเดียว (ฮา...)
จากนั้นก็พักผ่อนกันตามอัธยาศัย ใครใคร่นั่งจิบนั่งเม้าส์ก็ทำไป ใครใคร่นอนก็นอนกันไปตามแต่ไลฟ์สไตล์แต่ละคน
[CR] โอ้โหโมโกจู ห้าวันสี่คืน ชีวิตดี๊ดีกลางป่าแม่วงก์
จองได้ยังไง จองได้เมื่อไหร่ ? สารพันคำถามประเดประดังเมื่อผมกำลังจะไปโมโกจู มหากาพย์ทริปเดินป่าแห่งสยามประเทศที่จองยากเย็นแสนเข็ญ และขอตอบตามตรงว่าลำพังผมน่ะจองไม่ได้หรอกครับ แค่บังเอิญเพื่อนกลุ่มที่จองได้เกิดมีสมาชิกถอนตัว ผมเลยบุญหล่นทับได้เสียบแทน บทจะโชคดีก็ง่ายๆ แบบนี้แหละ
อธิบายสักนิดสำหรับใครไม่ใช่สายป่า ที่ว่าจองยากสุดในประเทศเพราะเส้นทางเดินป่าโมโกจู อุทยานแห่งชาติแม่วงก์ จังหวัดกำแพงเพชร เปิดให้ประชาชนทั่วไปเที่ยวแค่ปีละสี่เดือน พฤศจิกายนถึงกุมภาพันธ์ โดยเป็นทริปห้าวันสี่คืน ตั้งแต่วันเสาร์ถึงพุธของแต่ละสัปดาห์ แถมจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวแค่สัปดาห์ละสองกลุ่ม กลุ่มละไม่เกินสิบสองคน เท่ากับว่าในฤดูกาลท่องเที่ยวโมโกจู จะมีผู้โชคดีได้เข้าไปสัมผัสป่าแห่งนี้ไม่กี่ร้อยคนเท่านั้น
เรียกว่าเลือดตาแทบกระเด็นกว่ากลุ่มไหนจะจองได้
สำหรับกำหนดการเดินหน้าตาแบบนี้ครับ
วันแรก ที่ทำการฯ >>> 16 กม. (ทางราบส่วนใหญ่ ถนนดินแดง) >>> แคมป์แม่กระสา
วันที่สอง แคมป์แม่กระสา >>> 4 กม. (ป่าไผ่ ทางราบส่วนใหญ่) >>> แคมป์แม่เรวา >>> 3 กม. ไปเที่ยวน้ำตกแม่เรวาแล้วกลับแคมป์
วันที่สาม แคมป์แม่เรวา >>> 8 กม. (ขึ้นเขาชันสิบกะโหลก) >>> แคมป์ตีนดอย >>> 1 กม. ขึ้นยอดโมโกจูแล้วกลับลงมา
วันที่สี่ แคมป์ตีนดอย >>> 1 กม. ขึ้นยอดโมโกจูแล้วกลับลงมา >>> 8 กม. (ลงเขาชันเข่าพัง) >>> แคมป์แม่เรวา >>> 4 กม. >>> แคมป์แม่กระสา
วันที่ห้า แคมป์แม่กระสา >>> 16 กม. (ถนนดินแดง) >>> ที่ทำการฯ
ทริปนี้เพื่อความสะดวกกลุ่มเราเลือกเดินทางด้วยรถตู้เช่าเหมาคัน ออกจาก กทม. คืนวันศุกร์ และกลับถึง กทม. ค่ำวันพุธ วาเลนไทน์ 14 กุมภา เป็นช่วงที่ดีใช่ไหมล่ะในการพิชิตยอดเขาสูง 1,964 เมตร เหนือระดับน้ำทะเลแห่งนี้
เราเดินทางด้วยรถตู้ออกจาก กทม. สี่ทุ่มเศษ ถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ตีสามกว่าๆ หาที่หลับที่นอนภายในศูนย์บริการนักท่องเที่ยวแบบง่ายๆ พอฟ้าสว่างก็ตื่นโดยสัญชาตญาณถึงจะยังนอนกันไม่เต็มตาเท่าไหร่ บรรยากาศตอนเช้าในอุทยานฯ ดีเชียวครับ สดชื่นมาก ถ้าว่างๆ มานอนเล่นสักคืนสองคืนคงเพลินดี
จัดแจงเตรียมข้าวของ กินข้าวร้านสวัสดิการ ก่อนจะเริ่มเดินเราต้องลงทะเบียน เคลียร์ค่าใช้จ่ายต่างๆ และอีกขั้นตอนสำคัญคือฟังบรรยายจากเจ้าหน้าที่ถึงเส้นทางการเดิน กฎระเบียบต่างๆ สิ่งอำนวยความสะดวกที่อุทยานฯ มีให้ และที่เราต้องหากันเอาเอง พูดคุยแบบฮาๆ ไม่ได้ซีเรียสอะไร
“หัวหน้าสั่งให้ผมบอกว่าห้ามขึ้นหินเรือใบนะ โอเคงั้นผมจะบอกว่าห้ามขึ้นหินเรือใบ ถือว่าบอกแล้วนะ” เจ้าหน้าที่ยิ้ม เสร็จสรรพก็ฉายช็อตเด็ดๆ ของโมโกจูที่มีแต่ภาพคนถ่ายบนหินเรือใบ แล้วบอกต่อว่าถ้าได้รูปสวยๆ ส่งมาให้อุทยานฯ ใช้โปรโมตบ้างนะ (ฮา...)
รับทราบสิ่งควรรู้ทุกอย่างแล้วก็ออกมาถ่ายกับป้ายด้านหน้าเป็นที่ระลึกสักหน่อย แน่นอนว่าเป็นภาพหล่อๆ สวยๆ ภาพสุดท้ายของทริปนี้
ทั้งสองกลุ่มเดินไล่ไปพร้อมกัน มีเจ้าหน้าที่ดูแลรวมกันสี่คน เฉพาะกลุ่มเรามีลูกหาบสามคน แบกคนละ20 กิโลกรัม แต่เพราะแม่ครัวเตรียมของกินกันหรูหรานิดหน่อยน้ำหนักเลยทะลัก ก็เป็นหน้าที่ของผู้ชายล่ะครับต้องเฉลี่ยกันมาทำให้น้ำหนักแบกหน่วงหน่อยๆ
มองนาฬิกาสิบโมงห้านาทีได้เวลาออกตัว จุดเริ่มต้นพิชิตโมโกจูอยู่ตรงป้ายอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ใหญ่ๆ ใกล้กับที่ทำการฯ นั่นแหละ พร้อมแล้วลุยโลด
ทางเดินจากที่ทำการฯ ไปแคมป์แรกแม่กระสา เป็นการเดินบนถนนลูกรังดินแดงราว 16 กม. เป็นถนนที่เป็นถนนจริงๆ เจ้าหน้าที่ยังใช้โฟร์วีลและมอเตอร์ไซค์วิ่งกันเป็นปกติเมื่อต้องเข้าไปปฏิบัติภารกิจ
จากที่เจ้าหน้าที่บรรยายให้ฟังตั้งแต่ตอนแรก ปีนี้อุทยานฯ มีแผนให้นั่งรถเข้าไปถึงแม่กระสาเลยด้วยซ้ำเพื่อย่นระยะการเดินและจำนวนวันในทริป แต่ช่วงปลายฝนก่อนเปิดป่าไม่นานปรากฏว่าน้ำซัดถนนพัง แผนเลยต้องพับไว้ก่อน แต่ปีต่อไปอาจหยิบเรื่องนั่งรถเข้าไปแม่กระสามาว่ากันใหม่
เดินทางราบสักสองกิโลก็จะถึงเนินชันเนินแรกชื่อว่า “มอขี้แตก” ระดับความชันไม่เท่าไหร่หรอกครับ แต่เพราะเป็นเนินแรกเหนื่อยแรกกับทางยาวๆ หนึ่งกิโล มันก็เลยดูโหดร้ายนิดหน่อย (ฮา...)
หลังพ้นเนินแรกมาอย่างสะบักสะบอม จากนั้นทางค่อนจะราบ มีเนินสลับอยู่บ้างแต่ไม่ชันมาก เดินเรื่อยๆ ตากแดดเหนื่อยก็พัก มีธารน้ำห้วยมะนาวที่เราต้องข้ามไปข้ามมาหลายรอบ ใครมีเครื่องกรองน้ำพกพาก็ค่อนข้างสบาย เติมน้ำได้ตลอดในช่วงนี้
เดินมาเรื่อยๆ กลุ่มเริ่มแตก ใครเดินเร็วเดินไป เดินช้าก็รั้งท้าย ผมไม่เร่งมากอยู่กลางๆ บ่ายสองโมงครึ่งก็มาถึงตรงนี้ หลักกิโลที่ 11/29 ตัวเลขแรกคือเราเดินมาแล้ว 11 กม. ตัวเลขหลังคือระยะทางถึงยอดโมโกจู แต่วันนี้เราจะเดินกัน 16 กม. เพราะฉะนั้นเหลือ 5 กม. สุดท้ายแล้ว
หลังเดินกันมา 11 กม. เหลืออีกแค่ห้าก็ดูน่าจะนิดเดียวใช่ไหมครับ แต่โมโกจูสำหรับผมคือป่าหลอกลวงโดยแท้ ที่บอกว่าเหลืออีกนิดเหลืออีกหน่อย เดินไปเถอะทำไมไม่ถึงสักที (วะ)
ยิ่งช่วงท้ายๆ ได้ยินเสียงน้ำแสดงว่าใกล้ถึงแม่กระสาเต็มทน แต่ไหงเดินผ่านโค้งแล้วโค้งเล่าก็ยังไม่เห็นวี่แววของแคมป์สักที เล่นเอาสุดท้ายหมดแรงทิ้งตัวนั่งพักก่อนดีกว่าจะถึงกี่โมงก็ช่างหัวมัน (ฮา...)
ในที่สุด 16.10 น. สิ่งที่เห็นค่อยทำให้ยิ้มออก แคมป์แม่กระสาอยู่ตรงหน้า และสิ่งที่ทุกคนทำเหมือนกันเป๊ะคือสิ่งนี้... โค้ก เป๊ปซี่ จัดกันไปให้หายเหนื่อยสิครับจะรออะไร เจ้าหน้าที่แช่ตู้เย็นรอไว้อย่างรู้ใจ ขวดละสิบห้าบาทเท่านั้นไม่ได้ชาร์จเพิ่มมากมาย
ที่แคมป์แม่กระสาทางอุทยานฯ จัดทำลานกางเต็นท์อย่างดี มีศาลาสามหลังแบ่งกันใช้ ตรงกลางเป็นของเจ้าหน้าที่และลูกหาบ หลังซ้ายกับขวาแบ่งกันหลังละกลุ่ม ห้องน้ำก็มีอย่างดี ใช้เฉพาะสำหรับทำธุระขับถ่ายเท่านั้นนะครับ
ส่วนเรื่องอาบน้ำก็ที่ลำห้วยแม่กระแสโอเพ่นแอร์กันเลยสดชื่นกว่าเยอะ
เรื่องอาหารการกินโชคดีที่กรุ๊ปเรามีแม่ครัวพ่อครัวหัวป่าก์ เลยอยู่ดีกินดีมาก ทุกอย่างตระเตรียมมาอย่างเพียบพร้อม กินดีอยู่ดียิ่งกว่าที่บ้านเสียอีก (ฮา...)
ที่แม่กระแสมีนกยูงอยู่สามตัว เจ้าตัวเมียค่อนข้างหวงถิ่นไปถ่ายรูปใกล้ๆ ระวังโดนวิ่งไล่ เพื่อนในกลุ่มคนหนึ่งโดนจิกได้เลือดมาแล้ว ส่วนนกกก (นกเงือก) ที่เชื่องๆ อยู่ที่นี่ เจ้าหน้าที่บอกว่าตายไปแล้วครับ โดนไฟดูดที่สถานีควบคุมไฟป่า... เศร้าเลย
ช่วงหัวค่ำลูกหาบต้มน้ำเห็ดหลินจือป่าให้กิน เก็บกันสดๆ แถวนี้แหละ บอกว่ากินแล้วจะช่วยคลายปวดคลายเมื่อยได้ดี อันนี้ไม่รู้จริงหรือเปล่าครับเพราะไอ้อาการปวดเมื่อยของเรานี่คงยากที่จะทำให้หายเป็นปลิดทิ้งในระยะเวลาคืนเดียว (ฮา...)
จากนั้นก็พักผ่อนกันตามอัธยาศัย ใครใคร่นั่งจิบนั่งเม้าส์ก็ทำไป ใครใคร่นอนก็นอนกันไปตามแต่ไลฟ์สไตล์แต่ละคน