ประเด็นที่ว่า ศาลชี้ว่า กสทช. ผิดสัญญาจริง ระยะเวลาแจกกล่องก็ไม่เป็นไปตามสัญญา และการประชาสัมพันธ์ไม่ทั่วถึง ขณะที่ท่อส่งสัญญาณ หรือ มัคก็ไม่พร้อมที่จะให้บริการ
ข้อนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่เป็นความผิดของ กสทช.อยู่
แต่ประเด็นหลักใหญ่สุดผมว่าเพราะมันเกิดช้าเกินไปมากกว่า ถึงทำให้ธุรกิจทีวีดิจิตอลเจ๊งป่นปี้ขนาดนี้
ทั้งที่จริงแล้วทีวีดิจิตอลควรเกิดมาก่อนทีวีดาวเทียม หรือถ้าจะให้เกิดหลังควรเกิดหลังได้ไม่นานนัก
ในเมื่อได้โอกาสทดลองทีวีดิจิตอลไปตั้งแต่ปี 2543 ก็น่าจะเผยแพร่ออกอากาศทีวีดิจิตอลภายในไม่เกิน 2 ปี คือ 2545 แต่กลับให้ทีวีดาวเทียมออกอากาศก่อนในปี 2551 หลังจากได้ทดสอบทีวีดิจิตอลถึง 6 ปี
ที่มา
http://www.thaidigitaltelevision.com/ประวัติความเป็นมาของที/
https://www.voicetv.co.th/read/84120
จนกระทั่งคนไทยจำนวนมากติดตั้งทีวีดาวเทียมจำนวนมากแล้ว มีช่องทางการรับชมทางทีวีดาวเทียมแล้ว แถมตอนปี 56 ที่ประมูลทีวีดิจิตอลก็กำลังจะก้าวเข้าสู่ยุค 4G และเน็ตบ้านที่ราคาไม่แพง แต่มีความเร็วสูง ซึ่งช่องทางรับชมทีวีมีมากมาย ต่อให้การติดตั้งกระจายสัญญาณทีวีดิจิตอลได้ 98% ของประชากรภายในปี 2 ปี ก็ไม่แน่ว่าจะคุ้มค่าหรือไม่กับการติดตั้ง
ถ้าช่องเจ๊ ติ๋มขาดทุนเพียงช่องเดียว มันก็น่าคิดอยู่หรอกครับว่า เป็นความผิดพลาดของเจ๊ ติ๋ม
แต่นี่ขาดทุนบานตะไทกันเป็นกลุ่มใหญ่หลายช่อง มันก็น่าคิดกันแล้วครับว่า ใครผิดกันแน่ ผู้จัดประมูลควรจะรับผิดชอบด้วยมั้ย ในฐานะที่คาดการณ์ผิดจนเกิดความเสียหายต่อหลายกลุ่มบุคคล เพราะถ้าภาครัฐวางแผนถูกก็คงไม่เกิดความเสียหายขนาดนี้
ซึ่งก่อนการประมูลทีวีดิจิตอล ก็มีองค์กรจากต่างประเทศเตือนมาแล้วว่า จะเกิดความเสียหายอย่างไรบ้าง แต่เจ้าหน้าที่รัฐไทยไม่ฟัง ยังดื้อดึงจะเอาคลื่น 700 ทำทีวีต่อ
GSMA เตือน กสทช.
หากกสทช.เลือกเอาคลื่น 700MHz มาทำเป็นบรอดแบนด์ตั้งแต่ปี 2558 จะเพิ่มรายได้ผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (GDP) ภายในปี 2568 มากกว่า 1.48 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
ทั้งนี้ ในทางกลับกัน หาก กสทช.ยังตัดสินใจเลือกใช้คลื่นความถี่ดังกล่าวเพื่อใช้ในกิจการโทรทัศน์จะส่งผลทำให้การรับส่งสัญญาณวิทยุโทรทัศน์ไปรบกวนประเทศเพื่อนบ้าน เช่น อินโดนีเซีย กัมพูชา ลาว มาเลเซีย และพม่า ที่นำคลื่น 700MHz ไปใช้ในการทำอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง (บรอดแบนด์) และยังส่งผลให้ประเทศต้องสูญเสีย GDP ที่ควรเพิ่มขึ้นเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 3.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 102,000 ล้านบาท และส่งผลให้การสร้างงานใหม่ลดลง 96,000 ตำแหน่งด้วย
ที่มา
http://www.manager.co.th/Cyberbiz/ViewNews.aspx?NewsID=9560000073328
เพราะฉะนั้นความผิดที่เกิดขึ้น กสทช.ก็สมควรมีส่วนรับผิดด้วย
เผยตัวเลยรายได้ฟรีทีวี+ดิจิตอล ขาดทุนยับเกือบทุกช่อง
กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เผยรายได้รวมฟรีทีวี - ทีวีดิจิตอล ตั้งแต่ปี 2556 - 2559 พบเกือบทุกช่องขาดทุนยับ หนักสุด คือ พีพีทีวี 1,996 ล้านบาท ในปี 2559 โดยมีเพียงช่อง 7 และ เวิร์คพอยท์ เท่านั้นที่มีกำไร
เป็นตัวเลขที่น่าสนใจทีเดียวสำหรับข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ที่ได้เปิดเผยถึงตัวเลขผลประกอบการรายได้รวมของช่องฟรีทีวีในบ้านเราตั้งแต่ปี 2556 - 2557 รวมถึงช่องทีวีดิจิตอลที่มีการเริ่มออกอากาศเป็นครั้งแรกในวันที่ 25 พฤษภาคม 2557
ทั้งนี้ ปรากฏว่า เกือบทุกช่องนั้นมีผลการประกอบการที่ขาดทุนมาอย่างต่อเนื่อง โดยที่ขาดทุนมากที่สุดในปี 2559 ก็คือ ช่องพีพีทีวี ที่ขาดทุนถึง 1,996 ล้านบาท รองลงมาคือ ไทยรัฐทีวี ขาดทุน 928 ล้านบาท, ช่องอัมรินทร์ทีวี ขาดทุน 846 ล้านบาท และ ช่องโมเดิร์นไนน์ ทีวี มีตัวเลขขาดทุนที่ 782 ล้านบาท
โดยในปี 2559 มีเพียง 2 ช่องทีวีเท่านั้น ที่มีผลประกอบการที่เป็นบวก คือ ช่อง 7 ที่มีกำไร 1,567 ล้านบาท แต่ก็ถือว่าลดลงมาอย่างมากจากปี 2557 ที่มีกำไรถึง 5,510 ล้านบาท และ ปี 2558 ที่ 2,723 ล้านบาท
อีกช่องที่ถือว่ามีผลประกอบการที่ดีอย่างต่อเนื่อง ก็คือ ช่องเวิร์คพอยท์ ทีวี ที่มีผลประกอบการในปี 2559 ที่ 106 ล้านบาท ทั้งที่ในปี 2556 - 2558 นั้น เวิร์คพอยท์ฯ เองมีการขาดทุนอย่างต่อเนื่องที่ 4 ล้านบาท, 208 ล้านบาท และ 8 ล้านบาท ตามลำดับ
ที่มา
http://www.manager.co.th/South/ViewNews.aspx?NewsID=9600000073335
ถึงตอนนี้ดูๆแล้ว คงไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ นอกจากคืนไลเซ่นส์ทีวีดิจิตอลหลายเจ้า เอาคลื่น 700 มาประมูลทำโมบายบอร์ดแบนด์ ซึ่งจะได้เงินมาก้อนหนึ่งชดเชยการขาดทุนของทีวีดิจิตอล
ส่วนคดีในศาลก็จะรอดูต่อไปครับว่า ระหว่างกลุ่มผู้ประกอบการทีวีดิจิตอลกับ กสทช. ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบกับความเสียหายที่เกิดขึ้นนี้
สิ่งสำคัญที่ทำให้เจ๊ ติ๋มควรชนะคดีเมื่อวานนี้ได้ เพราะทีวีดิจิตอลเกิดช้าไปมั้ย ขาดทุนรวมกันเยอะไปหรือเปล่า
ข้อนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่เป็นความผิดของ กสทช.อยู่
แต่ประเด็นหลักใหญ่สุดผมว่าเพราะมันเกิดช้าเกินไปมากกว่า ถึงทำให้ธุรกิจทีวีดิจิตอลเจ๊งป่นปี้ขนาดนี้
ทั้งที่จริงแล้วทีวีดิจิตอลควรเกิดมาก่อนทีวีดาวเทียม หรือถ้าจะให้เกิดหลังควรเกิดหลังได้ไม่นานนัก
ในเมื่อได้โอกาสทดลองทีวีดิจิตอลไปตั้งแต่ปี 2543 ก็น่าจะเผยแพร่ออกอากาศทีวีดิจิตอลภายในไม่เกิน 2 ปี คือ 2545 แต่กลับให้ทีวีดาวเทียมออกอากาศก่อนในปี 2551 หลังจากได้ทดสอบทีวีดิจิตอลถึง 6 ปี
ที่มา http://www.thaidigitaltelevision.com/ประวัติความเป็นมาของที/
https://www.voicetv.co.th/read/84120
จนกระทั่งคนไทยจำนวนมากติดตั้งทีวีดาวเทียมจำนวนมากแล้ว มีช่องทางการรับชมทางทีวีดาวเทียมแล้ว แถมตอนปี 56 ที่ประมูลทีวีดิจิตอลก็กำลังจะก้าวเข้าสู่ยุค 4G และเน็ตบ้านที่ราคาไม่แพง แต่มีความเร็วสูง ซึ่งช่องทางรับชมทีวีมีมากมาย ต่อให้การติดตั้งกระจายสัญญาณทีวีดิจิตอลได้ 98% ของประชากรภายในปี 2 ปี ก็ไม่แน่ว่าจะคุ้มค่าหรือไม่กับการติดตั้ง
ถ้าช่องเจ๊ ติ๋มขาดทุนเพียงช่องเดียว มันก็น่าคิดอยู่หรอกครับว่า เป็นความผิดพลาดของเจ๊ ติ๋ม
แต่นี่ขาดทุนบานตะไทกันเป็นกลุ่มใหญ่หลายช่อง มันก็น่าคิดกันแล้วครับว่า ใครผิดกันแน่ ผู้จัดประมูลควรจะรับผิดชอบด้วยมั้ย ในฐานะที่คาดการณ์ผิดจนเกิดความเสียหายต่อหลายกลุ่มบุคคล เพราะถ้าภาครัฐวางแผนถูกก็คงไม่เกิดความเสียหายขนาดนี้
ซึ่งก่อนการประมูลทีวีดิจิตอล ก็มีองค์กรจากต่างประเทศเตือนมาแล้วว่า จะเกิดความเสียหายอย่างไรบ้าง แต่เจ้าหน้าที่รัฐไทยไม่ฟัง ยังดื้อดึงจะเอาคลื่น 700 ทำทีวีต่อ
GSMA เตือน กสทช.
หากกสทช.เลือกเอาคลื่น 700MHz มาทำเป็นบรอดแบนด์ตั้งแต่ปี 2558 จะเพิ่มรายได้ผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (GDP) ภายในปี 2568 มากกว่า 1.48 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
ทั้งนี้ ในทางกลับกัน หาก กสทช.ยังตัดสินใจเลือกใช้คลื่นความถี่ดังกล่าวเพื่อใช้ในกิจการโทรทัศน์จะส่งผลทำให้การรับส่งสัญญาณวิทยุโทรทัศน์ไปรบกวนประเทศเพื่อนบ้าน เช่น อินโดนีเซีย กัมพูชา ลาว มาเลเซีย และพม่า ที่นำคลื่น 700MHz ไปใช้ในการทำอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง (บรอดแบนด์) และยังส่งผลให้ประเทศต้องสูญเสีย GDP ที่ควรเพิ่มขึ้นเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 3.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 102,000 ล้านบาท และส่งผลให้การสร้างงานใหม่ลดลง 96,000 ตำแหน่งด้วย
ที่มา http://www.manager.co.th/Cyberbiz/ViewNews.aspx?NewsID=9560000073328
เพราะฉะนั้นความผิดที่เกิดขึ้น กสทช.ก็สมควรมีส่วนรับผิดด้วย
เผยตัวเลยรายได้ฟรีทีวี+ดิจิตอล ขาดทุนยับเกือบทุกช่อง
กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เผยรายได้รวมฟรีทีวี - ทีวีดิจิตอล ตั้งแต่ปี 2556 - 2559 พบเกือบทุกช่องขาดทุนยับ หนักสุด คือ พีพีทีวี 1,996 ล้านบาท ในปี 2559 โดยมีเพียงช่อง 7 และ เวิร์คพอยท์ เท่านั้นที่มีกำไร
เป็นตัวเลขที่น่าสนใจทีเดียวสำหรับข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ที่ได้เปิดเผยถึงตัวเลขผลประกอบการรายได้รวมของช่องฟรีทีวีในบ้านเราตั้งแต่ปี 2556 - 2557 รวมถึงช่องทีวีดิจิตอลที่มีการเริ่มออกอากาศเป็นครั้งแรกในวันที่ 25 พฤษภาคม 2557
ทั้งนี้ ปรากฏว่า เกือบทุกช่องนั้นมีผลการประกอบการที่ขาดทุนมาอย่างต่อเนื่อง โดยที่ขาดทุนมากที่สุดในปี 2559 ก็คือ ช่องพีพีทีวี ที่ขาดทุนถึง 1,996 ล้านบาท รองลงมาคือ ไทยรัฐทีวี ขาดทุน 928 ล้านบาท, ช่องอัมรินทร์ทีวี ขาดทุน 846 ล้านบาท และ ช่องโมเดิร์นไนน์ ทีวี มีตัวเลขขาดทุนที่ 782 ล้านบาท
โดยในปี 2559 มีเพียง 2 ช่องทีวีเท่านั้น ที่มีผลประกอบการที่เป็นบวก คือ ช่อง 7 ที่มีกำไร 1,567 ล้านบาท แต่ก็ถือว่าลดลงมาอย่างมากจากปี 2557 ที่มีกำไรถึง 5,510 ล้านบาท และ ปี 2558 ที่ 2,723 ล้านบาท
อีกช่องที่ถือว่ามีผลประกอบการที่ดีอย่างต่อเนื่อง ก็คือ ช่องเวิร์คพอยท์ ทีวี ที่มีผลประกอบการในปี 2559 ที่ 106 ล้านบาท ทั้งที่ในปี 2556 - 2558 นั้น เวิร์คพอยท์ฯ เองมีการขาดทุนอย่างต่อเนื่องที่ 4 ล้านบาท, 208 ล้านบาท และ 8 ล้านบาท ตามลำดับ
ที่มา http://www.manager.co.th/South/ViewNews.aspx?NewsID=9600000073335
ถึงตอนนี้ดูๆแล้ว คงไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ นอกจากคืนไลเซ่นส์ทีวีดิจิตอลหลายเจ้า เอาคลื่น 700 มาประมูลทำโมบายบอร์ดแบนด์ ซึ่งจะได้เงินมาก้อนหนึ่งชดเชยการขาดทุนของทีวีดิจิตอล
ส่วนคดีในศาลก็จะรอดูต่อไปครับว่า ระหว่างกลุ่มผู้ประกอบการทีวีดิจิตอลกับ กสทช. ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบกับความเสียหายที่เกิดขึ้นนี้