BEAUTY เจ้าของทิ้งหุ้นจาก 70% เหลือ 21% ส่งสัญญาณอะไร?
BEAUTY ร่วงแรง! หลัง 2 ผู้ถือหุ้นใหญ่ขายบิ๊กล็อตวันนี้รวม 4.66% ตรวจสอบพบขายหุ้นตลอดทางจากเข้าเทรดวันแรก 70.83% ปัจจุบันเหลือเพียง 21.25% ฟากโบรกฯ มองมูลค่าหุ้นเริ่มตึงตัว หลังกำไรสุทธิจะโตชะลอเหลือเพียง 23% ต่อปี จากฐานกำไรที่สูงในอดีต
ราคาหุ้น บมจ.บิวตี้ คอมมูนิตี้ (BEAUTY) ร่วงแรงตั้งแต่เปิดตลาดเช้านี้ ทำจุดต่ำสุดรอบเช้าที่ 18.90 บาท ทำสถิติต่ำสุดรอบ 3 เดือน ก่อนปิดตลาดภาคเช้าที่ 19.30 บาท ลดลง 0.90 บาท หรือ 4.46% ปริมาณหุ้นที่ซื้อขายเพิ่มขึ้น 335.29% เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย 5 วันทำการก่อนหน้า
BEAUTY ประกอบธุรกิจค้าปลีกผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและบำรุงผิว ภายใต้ 5 แนวคิด ได้แก่ บิวตี้บุฟเฟต์ , บิวตี้คอทเทจ , บิวตี้มาร์เก็ต , เมด อิน เนเจอร์ และบิวตี้พลาซ่า สิ้นปี 60 มีสาขาภายในประเทศไทยรวมทั้งหมด 345 สาขา และสาขาในต่างประเทศ ได้แก่ ฟิลิปปินส์, เวียดนาม รวม 16 สาขา
BEAUTY เป็นหุ้นที่สร้างการเติบโตสูงอย่างมาก จากราคาไอพีโอเพียง 0.80 บาทในเดือน ธ.ค. 55 (คำนวณจากพาร์ 0.10 บาท หรือ ราคาก่อนแตกพาร์ที่ 8 บาท) ขึ้นมาทำจุดสูงสุดตั้งแต่เข้าซื้อขายที่ 22.90 บาทในเดือนก.พ. 61 คิดเป็นการเติบโตถึง 2,762% ภายใน 5 ปี 3 เดือน ซึ่งมีสาเหตุมาจากการเติบโตของกำไรสุทธิที่ทำจุดสูงสุดต่อเนื่องทุกปีตั้งแต่ปี 55 ที่มีกำไรสุทธิ 173.70 ล้านบาท เป็น 1,229.32 ล้านบาทในปี 60
ราคาหุ้นที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างร้อนแรง พบว่ากลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ทยอยขายหุ้นออกมาตลอดตั้งแต่นำหุ้นเข้าจดทะเบียนในปี 55 จากสัดส่วนถือหุ้นรวม 70.83% เหลือเพียง 25.91% ณ สิ้นปี 60
BEAUTY เข้าซื้อขายเมื่อวันที่ 12 ธ.ค. ปี 55 โดยมีผู้ถือหุ้นใหญ่คือ"กลุ่มนายสุวิน ไกรภูเบศ"ประกอบไปด้วยบุคคล 7 ราย ถือหุ้นรวมกันกว่า 70.83% หลังจากเข้าซื้อขายได้เพียง 1 ปี สัดส่วนถือหุ้นของ "กลุ่มนายสุวิน ไกรภูเบศ" ลดลงเหลือ 68.33% ณ สิ้นปี 56 จากการขายหุ้นทั้งหมดของนางชญาน์ณัณท์ เขื่อนพันธ์
ณ สิ้นปี 57 สัดส่วนถือหุ้นของกลุ่มฯลดลงเหลือ 48.56% จากการขายหุ้นของนางธัญญาภรณ์ ไกรภูเบศ ผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 2 ในขณะนั้น ออกมาถึง 11.41% และผู้ถือหุ้นใหญ่อื่นๆในกลุ่มรวม 8.36%
ต่อมา ณ สิ้นปี 58 'กลุ่มนายสุวิน ไกรภูเบศ' เหลือสัดส่วนถือหุ้นเพียง 37.59% จากการขายหุ้นของนายสุวิน ไกรภูเบศผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 ออกมาถึง 8.2% และผู้ถือหุ้นใหญ่รายอื่นในกลุ่ม 2.77%
และณ สิ้นปี 60 "กลุ่มนายสุวิน ไกรภูเบศ" เหลือผู้ถือหุ้นเพียง 2 ราย สัดส่วนถือหุ้นรวม 25.91% แบ่งเป็น นายสุวิน ไกรภูเบศ ถือหุ้น 17.45% และ นางธัญญาภรณ์ ไกรภูเบศ 8.46%
ราคาหุ้น BEAUTY ร่วงแรงอีกครั้งในวันนี้ หลัง 2 ผู้ถือหุ้นใหญ่ แจ้งขายหุ้นบิ๊กล็อตรวม 140,000,000 หุ้น คิดเป็น 4.66% ให้แก่นักลงทุนสถาบันในประเทศและจากต่างประเทศ รวมถึงนักลงทุนบุคคลรายใหญ่ที่ราคา 18.80 บาทต่อหุ้น ทำให้เหลือสัดส่วนถือหุ้นรวมเพียง 21.23%
BEAUTY แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่านายสุวิน ไกรภูเบศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กรรมการและผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทฯ และนางธัญญาภรณ์ ไกรภูเบศ กรรมการและผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทฯ ได้ดำเนินการขายหุ้นสามัญเดิมในบริษัทฯ ในวันที่ 13 มีนาคม 2561 จำนวนรวมกัน 140,000,000 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 4.66 ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วของบริษัทฯ แก่นักลงทุนสถาบันในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงนักลงทุนบุคคลรายใหญ่ โดยเป็นการขายให้แก่ผู้ลงทุนในวงจำกัดแบบข้ามคืน (Overnight Global Bookbuilding Transaction) ผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่ราคา 18.80 บาทต่อหุ้น คิดเป็นมูลค่ารายการรวมเท่ากับ 2,632 ล้านบาท
ภายหลังการขายในครั้งนี้ นายสุวิน ไกรภูเบศ และนางธัญญาภรณ์ ไกรภูเบศ ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่และเป็นผู้มีอำนาจควบคุมของบริษัทฯ ต่อไป โดยถือหุ้นในบริษัทคิดเป็น 15.11%และ 6.13% ตามลำดับ รวมสัดส่วนการถือหุ้น 21.23%
ด้านนักวิเคราะห์มองมูลค่าหุ้น BEAUTY เริ่มตึงตัวและสะท้อนการเติบโตไปแล้ว แนวโน้มการเติบโตเริ่มชะลอตัวเหลือเพียง 23% ต่อปีในปี 60 - 63 จากฐานกำไรที่สูงในอดีต แต่แนวโน้มปีนี้ยังสดใสคาดกำไรสุทธิโต 28% แตะ 1,568 ลบ.
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง แนะนำ "ขาย" ที่ 20.50 บาท หลังจากที่มองว่ามูลค่าของ BEAUTY เริ่มตึงตัวจากอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิที่เริ่มชะลอตัวลงจากฐานที่สูงในอดีต
อย่างไรก็ตามได้ปรับเพิ่มกำไรสุทธิปี 61 - 62 ขึ้น เป็น 1,568 ล้านบาท โต 28% และ 1,921 ล้านบาท โต 23% ตามลำดับ จากการคุมค่าใช้จ่ายที่ดีกว่าคาด ตามสัดส่วนช่องทางการจำหน่ายที่เปลี่ยนมาเน้นช่องทางต่างประเทศ และออนไลน์มากขึ้น
บล.กรุงศรี เผย ในปี 61 BEAUTY จะเริ่มขยายตลาดในส่วน Oversea และ Wholesales เช่นการขยายตลาดในไต้หวัน มาเลเซีย และรัสเซีย และการปรับร้าน Beauty Market 9 สาขาไปสู่อีคอมเมิร์ซจะทำให้ยอดขายต่างประเทศและอีคอมเมิร์ซเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ โดยคาดปี 61 มียอดขาย 4,777 ล้านบาท และกำไรสุทธิที่ 1,504 ล้านบาท
แนะนำเพียง "ถือ" ที่ราคาเป้าหมาย 21 บาท อิง DCF (6.7% WACC,0.8x beta, 2.0% terminal growth) เนื่องจากราคาหุ้นได้สะท้อนการเติบโตไปแล้ว และกำไรสุทธิจะเติบโตชะลอตัวลงเหลือเพียง 23% ต่อปีภายในปี 60 - 63 จากปี 59 และ 60 ที่มีอัตราเติบโต 63% และ 73% ตามลำดับ
ที่ผ่านมา BEAUTY นับเป็น Growth Stock อย่างแท้จริง ทั้งในแง่การเติบโตของกำไรและราคาหุ้นในอดีต แต่การขายหุ้นของผู้ถือหุ้นใหญ่หลายต่อหลายครั้ง สอดคล้องกับความเห็นของนักวิเคราะห์ที่มองการเติบโตจะเริ่มชะลอลง เป็นสิ่งที่นักลงทุนต้องเก็บไว้พิจารณา ว่านี่คือการส่งสัญญาณบางอย่างของผู้บริหารและผู้ถือหุ้นใหญ่หรือไม่
Cr.
http://efinancethai.com/hotstocks/hotstockmain.aspx?release=y&id=2281&file_name=hs_201803131305&symbol=HS
BEAUTY เจ้าของใจดี ลดสัดส่วนการถือหุ้นของตัวเอง แบ่งปันให้กับมหาชน จาก 70% เหลือ 21% ช่างใจบุญยิ่งนัก *-*
BEAUTY ร่วงแรง! หลัง 2 ผู้ถือหุ้นใหญ่ขายบิ๊กล็อตวันนี้รวม 4.66% ตรวจสอบพบขายหุ้นตลอดทางจากเข้าเทรดวันแรก 70.83% ปัจจุบันเหลือเพียง 21.25% ฟากโบรกฯ มองมูลค่าหุ้นเริ่มตึงตัว หลังกำไรสุทธิจะโตชะลอเหลือเพียง 23% ต่อปี จากฐานกำไรที่สูงในอดีต
ราคาหุ้น บมจ.บิวตี้ คอมมูนิตี้ (BEAUTY) ร่วงแรงตั้งแต่เปิดตลาดเช้านี้ ทำจุดต่ำสุดรอบเช้าที่ 18.90 บาท ทำสถิติต่ำสุดรอบ 3 เดือน ก่อนปิดตลาดภาคเช้าที่ 19.30 บาท ลดลง 0.90 บาท หรือ 4.46% ปริมาณหุ้นที่ซื้อขายเพิ่มขึ้น 335.29% เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย 5 วันทำการก่อนหน้า
BEAUTY ประกอบธุรกิจค้าปลีกผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและบำรุงผิว ภายใต้ 5 แนวคิด ได้แก่ บิวตี้บุฟเฟต์ , บิวตี้คอทเทจ , บิวตี้มาร์เก็ต , เมด อิน เนเจอร์ และบิวตี้พลาซ่า สิ้นปี 60 มีสาขาภายในประเทศไทยรวมทั้งหมด 345 สาขา และสาขาในต่างประเทศ ได้แก่ ฟิลิปปินส์, เวียดนาม รวม 16 สาขา
BEAUTY เป็นหุ้นที่สร้างการเติบโตสูงอย่างมาก จากราคาไอพีโอเพียง 0.80 บาทในเดือน ธ.ค. 55 (คำนวณจากพาร์ 0.10 บาท หรือ ราคาก่อนแตกพาร์ที่ 8 บาท) ขึ้นมาทำจุดสูงสุดตั้งแต่เข้าซื้อขายที่ 22.90 บาทในเดือนก.พ. 61 คิดเป็นการเติบโตถึง 2,762% ภายใน 5 ปี 3 เดือน ซึ่งมีสาเหตุมาจากการเติบโตของกำไรสุทธิที่ทำจุดสูงสุดต่อเนื่องทุกปีตั้งแต่ปี 55 ที่มีกำไรสุทธิ 173.70 ล้านบาท เป็น 1,229.32 ล้านบาทในปี 60
ราคาหุ้นที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างร้อนแรง พบว่ากลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ทยอยขายหุ้นออกมาตลอดตั้งแต่นำหุ้นเข้าจดทะเบียนในปี 55 จากสัดส่วนถือหุ้นรวม 70.83% เหลือเพียง 25.91% ณ สิ้นปี 60
BEAUTY เข้าซื้อขายเมื่อวันที่ 12 ธ.ค. ปี 55 โดยมีผู้ถือหุ้นใหญ่คือ"กลุ่มนายสุวิน ไกรภูเบศ"ประกอบไปด้วยบุคคล 7 ราย ถือหุ้นรวมกันกว่า 70.83% หลังจากเข้าซื้อขายได้เพียง 1 ปี สัดส่วนถือหุ้นของ "กลุ่มนายสุวิน ไกรภูเบศ" ลดลงเหลือ 68.33% ณ สิ้นปี 56 จากการขายหุ้นทั้งหมดของนางชญาน์ณัณท์ เขื่อนพันธ์
ณ สิ้นปี 57 สัดส่วนถือหุ้นของกลุ่มฯลดลงเหลือ 48.56% จากการขายหุ้นของนางธัญญาภรณ์ ไกรภูเบศ ผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 2 ในขณะนั้น ออกมาถึง 11.41% และผู้ถือหุ้นใหญ่อื่นๆในกลุ่มรวม 8.36%
ต่อมา ณ สิ้นปี 58 'กลุ่มนายสุวิน ไกรภูเบศ' เหลือสัดส่วนถือหุ้นเพียง 37.59% จากการขายหุ้นของนายสุวิน ไกรภูเบศผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 ออกมาถึง 8.2% และผู้ถือหุ้นใหญ่รายอื่นในกลุ่ม 2.77%
และณ สิ้นปี 60 "กลุ่มนายสุวิน ไกรภูเบศ" เหลือผู้ถือหุ้นเพียง 2 ราย สัดส่วนถือหุ้นรวม 25.91% แบ่งเป็น นายสุวิน ไกรภูเบศ ถือหุ้น 17.45% และ นางธัญญาภรณ์ ไกรภูเบศ 8.46%
ราคาหุ้น BEAUTY ร่วงแรงอีกครั้งในวันนี้ หลัง 2 ผู้ถือหุ้นใหญ่ แจ้งขายหุ้นบิ๊กล็อตรวม 140,000,000 หุ้น คิดเป็น 4.66% ให้แก่นักลงทุนสถาบันในประเทศและจากต่างประเทศ รวมถึงนักลงทุนบุคคลรายใหญ่ที่ราคา 18.80 บาทต่อหุ้น ทำให้เหลือสัดส่วนถือหุ้นรวมเพียง 21.23%
BEAUTY แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่านายสุวิน ไกรภูเบศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กรรมการและผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทฯ และนางธัญญาภรณ์ ไกรภูเบศ กรรมการและผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทฯ ได้ดำเนินการขายหุ้นสามัญเดิมในบริษัทฯ ในวันที่ 13 มีนาคม 2561 จำนวนรวมกัน 140,000,000 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 4.66 ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วของบริษัทฯ แก่นักลงทุนสถาบันในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงนักลงทุนบุคคลรายใหญ่ โดยเป็นการขายให้แก่ผู้ลงทุนในวงจำกัดแบบข้ามคืน (Overnight Global Bookbuilding Transaction) ผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่ราคา 18.80 บาทต่อหุ้น คิดเป็นมูลค่ารายการรวมเท่ากับ 2,632 ล้านบาท
ภายหลังการขายในครั้งนี้ นายสุวิน ไกรภูเบศ และนางธัญญาภรณ์ ไกรภูเบศ ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่และเป็นผู้มีอำนาจควบคุมของบริษัทฯ ต่อไป โดยถือหุ้นในบริษัทคิดเป็น 15.11%และ 6.13% ตามลำดับ รวมสัดส่วนการถือหุ้น 21.23%
ด้านนักวิเคราะห์มองมูลค่าหุ้น BEAUTY เริ่มตึงตัวและสะท้อนการเติบโตไปแล้ว แนวโน้มการเติบโตเริ่มชะลอตัวเหลือเพียง 23% ต่อปีในปี 60 - 63 จากฐานกำไรที่สูงในอดีต แต่แนวโน้มปีนี้ยังสดใสคาดกำไรสุทธิโต 28% แตะ 1,568 ลบ.
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง แนะนำ "ขาย" ที่ 20.50 บาท หลังจากที่มองว่ามูลค่าของ BEAUTY เริ่มตึงตัวจากอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิที่เริ่มชะลอตัวลงจากฐานที่สูงในอดีต
อย่างไรก็ตามได้ปรับเพิ่มกำไรสุทธิปี 61 - 62 ขึ้น เป็น 1,568 ล้านบาท โต 28% และ 1,921 ล้านบาท โต 23% ตามลำดับ จากการคุมค่าใช้จ่ายที่ดีกว่าคาด ตามสัดส่วนช่องทางการจำหน่ายที่เปลี่ยนมาเน้นช่องทางต่างประเทศ และออนไลน์มากขึ้น
บล.กรุงศรี เผย ในปี 61 BEAUTY จะเริ่มขยายตลาดในส่วน Oversea และ Wholesales เช่นการขยายตลาดในไต้หวัน มาเลเซีย และรัสเซีย และการปรับร้าน Beauty Market 9 สาขาไปสู่อีคอมเมิร์ซจะทำให้ยอดขายต่างประเทศและอีคอมเมิร์ซเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ โดยคาดปี 61 มียอดขาย 4,777 ล้านบาท และกำไรสุทธิที่ 1,504 ล้านบาท
แนะนำเพียง "ถือ" ที่ราคาเป้าหมาย 21 บาท อิง DCF (6.7% WACC,0.8x beta, 2.0% terminal growth) เนื่องจากราคาหุ้นได้สะท้อนการเติบโตไปแล้ว และกำไรสุทธิจะเติบโตชะลอตัวลงเหลือเพียง 23% ต่อปีภายในปี 60 - 63 จากปี 59 และ 60 ที่มีอัตราเติบโต 63% และ 73% ตามลำดับ
ที่ผ่านมา BEAUTY นับเป็น Growth Stock อย่างแท้จริง ทั้งในแง่การเติบโตของกำไรและราคาหุ้นในอดีต แต่การขายหุ้นของผู้ถือหุ้นใหญ่หลายต่อหลายครั้ง สอดคล้องกับความเห็นของนักวิเคราะห์ที่มองการเติบโตจะเริ่มชะลอลง เป็นสิ่งที่นักลงทุนต้องเก็บไว้พิจารณา ว่านี่คือการส่งสัญญาณบางอย่างของผู้บริหารและผู้ถือหุ้นใหญ่หรือไม่
Cr. http://efinancethai.com/hotstocks/hotstockmain.aspx?release=y&id=2281&file_name=hs_201803131305&symbol=HS