ขอบคุณที่กรุณาตามอ่านและขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์ ดีใจมากที่มีผู้อ่านติดตาม
และขอบคุณสำหรับคอมเมนต์คำแนะนำในส่วนที่ผมผิดพลาดเพราะนอกจากจะเป็นความรู้ให้ผมแล้วยังเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านคนอื่นๆด้วยครับ ผมต้องขออภัยล่วงหน้าจริงๆ เพราะไม่ได้เรียนมาสายนี้
หากสนใจสามารถตามอ่านตอนเก่าๆได้ด้านล่างนี้นะครับ
1 การวางแผนและออกแบบ
https://ppantip.com/topic/37401167
2 ผนังห้อง
https://ppantip.com/topic/37412048
3.1 โต๊ะ
https://ppantip.com/topic/37434571
ตอนนี้เป็นคราวของชั้นวางของ เรียกได้ว่าเป็นเฟอร์นิเจอร์ที่ไม่ได้สำคัญอะไรแต่ผมชอบมาก ผมตั้งใจที่จะมีชั้นโชว์ของซักชิ้นนึงในห้อง สมมุติว่าเวลาเหนื่อยๆกลับมาจากที่ทำงาน ก็อยากจะมีสักที่ที่เป็นที่พักสายตาที่หันไปมองแล้วสบายใจ
ไอเดียผมเริ่มจากการเดินเซนทรัลเอมบัสซี่แล้วเกิดสะกิดใจโต๊ะตัวนึงที่เค้าวางโชว์สินค้า มันช่าง เรียบง่าย แต่สวยงาม นอกจากนี้ยังได้ประโยชน์จากกระจกที่ทำให้ห้องไม่ดูอึดอัด (ผมไม่ทราบชื่อของผู้ออกแบบหรือเจ้าของร้านจึงไม่ได้ให้เครดิต ณ ที่นี้ ขออภัยด้วยครับ)
ผมคิดอยู่นานมากกว่าจะทำชั้นวางแบบเดียวกันได้อย่างไร
เริ่มจากกระจก ผมจ้างช่างทำกระจกมาติดอย่างที่เล่าไปแล้วในตอนที่ 2
ส่วนชั้นวางของ
โชคดีที่ผมไปเดิน index ช่วงล้างสต๊อกสินค้าตัวโชว์แล้วเห็นตัวนี้ขายอยู่ เป็นไม้ยางพาราทาสีขาว ราคา 2500 นิดๆ
สาเหตุหลักๆที่ชอบชั้นวางนี้มากเพราะเท่าที่มองผ่านๆ ชั้นวางรุ่นนี้ออกแบบให้ได้อัตราส่วนทองคำพอดีอยู่หลายส่วน โดยไม่แน่ใจว่าเป็นควาจงใจของผู้ออกแบบหรือแค่ความบังเอิญ ให้รูปภาพด้านล่างและก้นหอยช่วยอธิบายแล้วกัน
ในทางคณิตศาสตร์ เลขสองจำนวน (สมมุติให้เป็น a, b และ a>b) จะเป็น "อัตราส่วนทอง" ถ้าอัตราส่วนระหว่างจำนวนมาก (a) ต่อผลรวม (a + b) มีค่าเท่ากับอัตราส่วนระหว่างจำนวนน้อย (b) ต่อจำนวนมาก (a)
(ref
https://th.wikipedia.org/wiki/อัตราส่วนทอง )
พูดง่ายๆคือระยะห่างระหว่างชั้นวางชั้นที่ 1 ถึง 3 ต่อระยะห่างระหว่างชั้นที่ 1 ถึง 2 เป็นอัตราส่วนพอดีกับระห่างระหว่างชั้นวางที่ 1 ถึง 2 ต่อระหยะห่างระหว่างชั้นวางที่ 2 ถึง 3
นอกจากนี้ระยะห่างระหว่างชั้นวางที่ 3 ถึงพื้น ต่อระยะห่างระหว่างชั้นที่ 3 ถึงชั้นที่ 4 ยังเป็นอัตราส่วนพอดีกับระยะห่างระหว่างขั้นวางที่ 3 ถึงชั้นวางที่ 4 ต่อระยะห่างระหว่างชั้นวางที่ 4 ถึงพื้น
ทำไมต้องเป็นอัตราส่วนนี้ และทำไมอัตราส่วนนี้ถึงสวยไม่มีคำตอบ แต่อัตราส่วนนี้พบเห็นได้ในงานสถาปัตยกรรมสำคัญๆ
ตอนซื้อมาชั้นวางมีรอยค่อนข้างมาก และลึก เช็ดไม่ออกแน่ๆ สีขาวนี่เก่าจนซีดแล้ว เรียกว่าของน่าจะเอาไปทิ้งแล้วดีกว่า จนพ่อถามว่า จะซื้อมาทำไมให้รกห้อง
ผมได้แต่อธิบายว่า เดี๋ยวจะเอามาทำสีใหม่ ไม่ได้ทำเป็นสีนี้อยู่แล้ว
พ่อผมถึงบ่นว่าไม่น่าคุ้ม เพราะรอยมันลึกมากขัดไม่ออกแน่ๆ แต่สุดท้ายพ่อผมก็แอบไปซื้อมาวางเซอร์ไพรส์ที่ห้องให้ รูปนี้ถ่ายโดยแม่ซึ่งเป็นผู้กำกับการถ่ายทำ
แน่นอน ว่าผมอยากได้เป็นสีไม้โอ๊ค และถ้าเป็นไปได้อยากได้ชั้นวางที่เหมือนไม้โอ๊คมากที่สุด
จากการศึกษา ผมจะมี 3 ทางเลือกคือ
1. จะใช้ลามิเนต เป็นแผ่นพลาสิกปิดผิวอย่างที่เฟอร์นิเจอร์บิ้วอินทำกันก็ได้ มีหลายยี่ห้อเช่นโฟเมก้า ลามิเทค
2. สติกเกอร์ปิดผิวลายไม้ ในไทยเหมือนจะมีอยู่เจ้าเดียวนำเข้ามาจากเกาหลีชื่อ bodaq (
http://www.hanwhasheet.com) บริษัทเรียกตัวเองว่า Interior film (เป็นการทำ positioning ของ บริษัทให้แตกต่างจากวัสดุปิดผิวอื่น ซึ่งผมก็ชอบนะ เรียกสติกเกอร์ว่าฟิล์มแล้วดูไฮคลาสขึ้นจริงๆ)
3. อีกทางเลือกนึงผมค้นพบโดยบังเอิญ ตอนกำลังหาว่าเฟอร์นิเจอร์อิเกียนั้นใช้วัสดุอะไร มันบอกว่า วีเนียร์สีไวท์โอ๊ค
ผมตัดลามิเนตออกเป็นอย่างแรก เพราะไม่ชอบพลาสติกด้วยคุณสมบัติหลายประการ เช่น ไม่มีความยืดหยุ่น จึงไม่สามารถทำให้โค้งเว้าเข้ากับขอบเหมือนไม้จริงได้ (ได้เป็นกล่องเหลี่ยมๆ) การตัดต้องใช้เลื่อย และลบขอบด้วย trimmer ซึ่งผมต้องไปซื้ออุปกรณ์เพิ่มอีกหลายพันโดยไม่จำเป็น
ต่อมาสติกเกอร์ ผมแอบลองติดต่อไปที่ Bodaq ดูว่า พอจะส่งแคตาล๊อคฟิล์มมาให้ดูได้ไหม เพราะดูลายในเวปแล้วมันไม่เหมือนเห็นลายสติกเกอร์จริงๆ แล้วเขาก็ส่งมาให้จริงๆ ตอนแรกผมหวังแค่ตัวอย่างสติกเกอร์สองสามชิ้น แต่ตอนผมเห็นกล่องมาส่งนี่ผมถึงกับห๊ะะ... นี่คิดว่าผมเป็นอินทีเรียหรือเปล่า แอบรู้สึกผิดเล็กน้อยที่รบกวนเขา -/\-
อย่างสุดท้าย วีเนียร์ ผมเกิดสงสัยว่าวีเนียร์คืออะไรจึงไปหาต่อ พบว่ามันคือไม้สไลด์บางๆ แปะผิวไว้ ในไทยมีขายอยู่ 2 เจ้า อ้างอิงจาก (
https://www.wazzadu.com)
วีเนียร์นั้นมีอยู่หลายประเภท เช่น แบบที่เป็นผิวไม้ดิบ ต้องนำมาต่อกันเป็นแผ่นเอง, แบบที่ต่อกันมาเสร็จแล้วแปะบนกระดาษ, แบบที่ต่อกันเสร็จแล้ว แปะบนกระดาษแล้ว และกระดาษยังเป็นกระดาษกาวอีก ลอกแปะได้เลย
ผมลองโทรไปถามผู้นำเข้าดู ผมยังขำว่าตอนผมโทรไปถาม ตอนนั้นเพิ่ง google มาหมาดๆ ...
ผม : “สวัสดีครับ พอจะมี white oak veneer ไหมครับ ต้อง white oak นะครับไม่เอา red oak เอาแบบ PSA (pressure sensitive) ที่เป็น Quartered cut ครับ”
พนักงาน : “ไม่รู้เรื่องคะ มีแต่เยื่อไม้โอ๊คที่เป็นลายตรงกับลายภูเขาจะเอาแบบไหนคะ”
ผม : T____T “ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ เดี๋ยวโทรมาใหม่นะครับ”
ต้องมานั่งแปลอีกว่าลายไม้ภาษาไทยเรียกว่าอะไร
ว่าง่ายๆ วีเนียร์ คือไม้จริงนี่ทำมาฝานเป็นแผ่นบางๆ ลายไม้ที่ได้ จะขึ้นกับลักษณะการตัดไม้ เช่นถ้าตัดเฉียงๆจะได้ลายภูเขา ถ้าตัดตรงๆจะได้ลายตรง แต่ในต่างประเทศที่มีผู้นิยมใช้วีเนียร์มากๆ จะมีลายอื่นๆตามการตัดแบบแปลกๆด้วย
อย่างภาพด้านล่างนี้เป็นลายตรง
อันนี้ก็เป็นลายตรงเช่นกัน แต่มีสีต่างกันเพราะไม้โอ๊คมีสองประเภทที่นิยมมากๆคือโอ๊คขาวกับโอ๊คแดง โอ๊คงแดงตัวเยื่อยไม้จะออกสีแดงหน่อยๆ เฟอร์นิเจอร์ของไทยส่วนมากจะเป็นโอ๊คขาว (American white oak) แต่ของบางแบรนด์เช่น Muji จะใช้ Red Oak ครับ
ส่วนอันนี้เป็น ลายภูเขา
ต่อมาหลังจากที่โทรไปใหม่ ลองสอบถามผู้ผลิตในไทยทั้งสองเจ้า เจ้าแรกมีแค่ไม้ที่ไสบางๆแล้วต้องนำมาทาบต่อกันเอง ผมคิดว่าถ้าผมต้องเอามาต่อเอง คงไม่รอดแน่ๆ (เข็ดกับ wallpaper) กับอีกเจ้าที่ขายแบบที่ต่อกันแล้ว แต่ราคาแพงอย่างไม่น่าเชื่อ (3500 +)
โชคดีว่าตอนนั้นผมต้องไปทำงานที่สหรัฐอเมริกาเป็นระยะสั้นๆพอดี เลยสั่งซื้อทางเวปไซต์ให้มาส่งที่โรงแรม
ตอนสั่งก็บันเทิงไปอีก เพราะ UPS (ไปรษณีย์สหรัฐ) ก็พอๆกับบ้านเรานี่แหละ สั่งไปแล้วของไปวนหาโรงแรมผมไม่เจอ จนต้องโทรไปตามแล้วตามอีกกว่าจะได้มา
ในที่สุดก็มาถึง <3
ตอนสั่งนี่วัดไซส์กระเป๋ามาดีมาก เรียกว่ายัดลงพอดีเป๊ะ
เมื่อกลับมาไทย ก็ได้เวลาลงมือทำ
วิธีการติดนั้นง่ายมาก ซื้อกาวติดไม้ (wood glue) มา ละเลงลงไป รอบแรกผมติดไม่เป็น คือไม่ได้เกลี่ยกาวให้ทั่ว สุดท้ายไม้บวม !!
แต่รอบถัดๆไปรู้แล้ว คือเอาเกียงเกลี่ยกาวให้ทั่วก่อน แล้วแปะลงไป เมื่อแปะไปแล้วให้เอาวัสดุอะไรก็ได้ที่หนักๆมากดทับ ผมเห็นในอินเตอร์เนตใช้ clamp ที่เป็นไม้หนีบกดไว้ 6 ตัว ส่วนของผมไม่มีอุปกรณ์เลยเอาชั้นวางอิเกียกองๆๆๆ แล้วเอาถังสีทับอีกที
รอข้ามคืนก็แห้งสนิทดี
ส่วนขอบที่เหลือใช้คัดเตอร์ตัดไม้ส่วนเกิน และเอากระดาษทรายค่อยๆลบขอบจนขอบไม้เสมอกันดี
เมื่อแปะเสร็จแล้วทา wood finishing แบบไหนก็ได้ จากที่เล่าไว้ในตอนก่อนหน้า (ตอนที่ 3.1) ว่าผมลองมาหมดแล้วทุกอย่าง
พบว่าถ้า finishing ด้วยน้ำมัน ตัวน้ำมันจะซึมเข้าไปในไม้ ถ้าใช้กับวีเนียร์อาจทำให้วีเนียร์บวมได้จากการซึมซับน้ำมัน (คิดเอง) แต่หลักการทำงานของยูริเทนจะเคลือบผิวอยู่ภายนอก น่าจะมีปัญหาการหดตัวน้อยสุดและน่าจะให้ผลลัพทธ์ออกมาดีที่สุด ส่วนกระจกด้านหลังผมใช้สีเงาทอง จึงอยากได้ไม้เป็นสีเหลืองอำพันคล้ายสีทอง จึงได้เลือกยูรีเทนสูตรน้ำมัน
สุดท้ายคือของวางบนชั้นตกแต่ง
ระหว่างอยู่ที่อเมริกา ช่วงนั้นเป็นช่วงสิ้นฤดูหนาวพอดี ต้นฤดูใบไม้พลิเป็นช่วงที่ต้นสนและต้นโอ๊คกำลังออกลูก
ผมจึงตัดสินใจ “เดินเข้าป่า” ~~ ไม่ได้หาเสือดำนะ แต่ตามหาต้นสนต้นโอ๊คแต่ละสายพันธุ์ เพื่อมาเป็นของตกแต่งชั้น (พอดีว่าที่ทำงานผมเป็นเมื่องใหม่ ที่เวลาอเมริกาสร้างเมืองใหม่เขาจะถางป่าเข้าไป ทำให้ข้างหลังสำนักงานนี่ยังเป็นป่าดีๆนี่เอง)
ของบางส่วนซื้อมาจากร้านชื่อ Home Goods ซึ่งเป็นร้านขายของตกเกรดห้าง เน้นหลักไปทางอุปกรณ์ใช้ในบ้าน ของบางอย่างลด 80 - 90% แต่ต้องเลือกดีๆ เพราะมีของเสียปนมาด้วย ต้องเลือกแบบที่ไม่มีตำหนิ
ส่วนของที่เป็นโลหะนั้นสั่งซื้อมาจาก H&M Home ที่สหรัฐอเมริกา (ในไทย H&M จะขายแต่เสื้อผ้า แต่ที่โน่นขายของตกแต่งบ้านด้วย คล้ายๆ Zara Home) ที่ซื้อจาก H&M นั้นเพราะแบรนด์นี้ราคาถูกที่สุดและมีความเรียบหรูมินิมอลพอสมควร
หมีขาวตัวนั้นพอดีก่อนไป stop over ที่ญี่ปุ่น เลยซื้อมา
ส่วนต้นไม้ประดับซื้อจาก Ikea บางนาบ้านเรา
และนี่คือผลงานที่ได้ครับ
ตอนต่อไปจะเก็บตกเรื่องของเฟอร์นิเจอร์จาก Ikea และ smart home นะครับ
เล่าประสบการณ์แต่งคอนโดขนาดเล็ก แบบทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ตอนที่ 3.2 - ชั้นวางของ
และขอบคุณสำหรับคอมเมนต์คำแนะนำในส่วนที่ผมผิดพลาดเพราะนอกจากจะเป็นความรู้ให้ผมแล้วยังเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านคนอื่นๆด้วยครับ ผมต้องขออภัยล่วงหน้าจริงๆ เพราะไม่ได้เรียนมาสายนี้
หากสนใจสามารถตามอ่านตอนเก่าๆได้ด้านล่างนี้นะครับ
1 การวางแผนและออกแบบ https://ppantip.com/topic/37401167
2 ผนังห้อง https://ppantip.com/topic/37412048
3.1 โต๊ะ https://ppantip.com/topic/37434571
ตอนนี้เป็นคราวของชั้นวางของ เรียกได้ว่าเป็นเฟอร์นิเจอร์ที่ไม่ได้สำคัญอะไรแต่ผมชอบมาก ผมตั้งใจที่จะมีชั้นโชว์ของซักชิ้นนึงในห้อง สมมุติว่าเวลาเหนื่อยๆกลับมาจากที่ทำงาน ก็อยากจะมีสักที่ที่เป็นที่พักสายตาที่หันไปมองแล้วสบายใจ
ไอเดียผมเริ่มจากการเดินเซนทรัลเอมบัสซี่แล้วเกิดสะกิดใจโต๊ะตัวนึงที่เค้าวางโชว์สินค้า มันช่าง เรียบง่าย แต่สวยงาม นอกจากนี้ยังได้ประโยชน์จากกระจกที่ทำให้ห้องไม่ดูอึดอัด (ผมไม่ทราบชื่อของผู้ออกแบบหรือเจ้าของร้านจึงไม่ได้ให้เครดิต ณ ที่นี้ ขออภัยด้วยครับ)
ผมคิดอยู่นานมากกว่าจะทำชั้นวางแบบเดียวกันได้อย่างไร
เริ่มจากกระจก ผมจ้างช่างทำกระจกมาติดอย่างที่เล่าไปแล้วในตอนที่ 2
ส่วนชั้นวางของ
โชคดีที่ผมไปเดิน index ช่วงล้างสต๊อกสินค้าตัวโชว์แล้วเห็นตัวนี้ขายอยู่ เป็นไม้ยางพาราทาสีขาว ราคา 2500 นิดๆ
สาเหตุหลักๆที่ชอบชั้นวางนี้มากเพราะเท่าที่มองผ่านๆ ชั้นวางรุ่นนี้ออกแบบให้ได้อัตราส่วนทองคำพอดีอยู่หลายส่วน โดยไม่แน่ใจว่าเป็นควาจงใจของผู้ออกแบบหรือแค่ความบังเอิญ ให้รูปภาพด้านล่างและก้นหอยช่วยอธิบายแล้วกัน
ในทางคณิตศาสตร์ เลขสองจำนวน (สมมุติให้เป็น a, b และ a>b) จะเป็น "อัตราส่วนทอง" ถ้าอัตราส่วนระหว่างจำนวนมาก (a) ต่อผลรวม (a + b) มีค่าเท่ากับอัตราส่วนระหว่างจำนวนน้อย (b) ต่อจำนวนมาก (a)
(ref https://th.wikipedia.org/wiki/อัตราส่วนทอง )
พูดง่ายๆคือระยะห่างระหว่างชั้นวางชั้นที่ 1 ถึง 3 ต่อระยะห่างระหว่างชั้นที่ 1 ถึง 2 เป็นอัตราส่วนพอดีกับระห่างระหว่างชั้นวางที่ 1 ถึง 2 ต่อระหยะห่างระหว่างชั้นวางที่ 2 ถึง 3
นอกจากนี้ระยะห่างระหว่างชั้นวางที่ 3 ถึงพื้น ต่อระยะห่างระหว่างชั้นที่ 3 ถึงชั้นที่ 4 ยังเป็นอัตราส่วนพอดีกับระยะห่างระหว่างขั้นวางที่ 3 ถึงชั้นวางที่ 4 ต่อระยะห่างระหว่างชั้นวางที่ 4 ถึงพื้น
ทำไมต้องเป็นอัตราส่วนนี้ และทำไมอัตราส่วนนี้ถึงสวยไม่มีคำตอบ แต่อัตราส่วนนี้พบเห็นได้ในงานสถาปัตยกรรมสำคัญๆ
ตอนซื้อมาชั้นวางมีรอยค่อนข้างมาก และลึก เช็ดไม่ออกแน่ๆ สีขาวนี่เก่าจนซีดแล้ว เรียกว่าของน่าจะเอาไปทิ้งแล้วดีกว่า จนพ่อถามว่า จะซื้อมาทำไมให้รกห้อง
ผมได้แต่อธิบายว่า เดี๋ยวจะเอามาทำสีใหม่ ไม่ได้ทำเป็นสีนี้อยู่แล้ว
พ่อผมถึงบ่นว่าไม่น่าคุ้ม เพราะรอยมันลึกมากขัดไม่ออกแน่ๆ แต่สุดท้ายพ่อผมก็แอบไปซื้อมาวางเซอร์ไพรส์ที่ห้องให้ รูปนี้ถ่ายโดยแม่ซึ่งเป็นผู้กำกับการถ่ายทำ
แน่นอน ว่าผมอยากได้เป็นสีไม้โอ๊ค และถ้าเป็นไปได้อยากได้ชั้นวางที่เหมือนไม้โอ๊คมากที่สุด
จากการศึกษา ผมจะมี 3 ทางเลือกคือ
1. จะใช้ลามิเนต เป็นแผ่นพลาสิกปิดผิวอย่างที่เฟอร์นิเจอร์บิ้วอินทำกันก็ได้ มีหลายยี่ห้อเช่นโฟเมก้า ลามิเทค
2. สติกเกอร์ปิดผิวลายไม้ ในไทยเหมือนจะมีอยู่เจ้าเดียวนำเข้ามาจากเกาหลีชื่อ bodaq (http://www.hanwhasheet.com) บริษัทเรียกตัวเองว่า Interior film (เป็นการทำ positioning ของ บริษัทให้แตกต่างจากวัสดุปิดผิวอื่น ซึ่งผมก็ชอบนะ เรียกสติกเกอร์ว่าฟิล์มแล้วดูไฮคลาสขึ้นจริงๆ)
3. อีกทางเลือกนึงผมค้นพบโดยบังเอิญ ตอนกำลังหาว่าเฟอร์นิเจอร์อิเกียนั้นใช้วัสดุอะไร มันบอกว่า วีเนียร์สีไวท์โอ๊ค
ผมตัดลามิเนตออกเป็นอย่างแรก เพราะไม่ชอบพลาสติกด้วยคุณสมบัติหลายประการ เช่น ไม่มีความยืดหยุ่น จึงไม่สามารถทำให้โค้งเว้าเข้ากับขอบเหมือนไม้จริงได้ (ได้เป็นกล่องเหลี่ยมๆ) การตัดต้องใช้เลื่อย และลบขอบด้วย trimmer ซึ่งผมต้องไปซื้ออุปกรณ์เพิ่มอีกหลายพันโดยไม่จำเป็น
ต่อมาสติกเกอร์ ผมแอบลองติดต่อไปที่ Bodaq ดูว่า พอจะส่งแคตาล๊อคฟิล์มมาให้ดูได้ไหม เพราะดูลายในเวปแล้วมันไม่เหมือนเห็นลายสติกเกอร์จริงๆ แล้วเขาก็ส่งมาให้จริงๆ ตอนแรกผมหวังแค่ตัวอย่างสติกเกอร์สองสามชิ้น แต่ตอนผมเห็นกล่องมาส่งนี่ผมถึงกับห๊ะะ... นี่คิดว่าผมเป็นอินทีเรียหรือเปล่า แอบรู้สึกผิดเล็กน้อยที่รบกวนเขา -/\-
อย่างสุดท้าย วีเนียร์ ผมเกิดสงสัยว่าวีเนียร์คืออะไรจึงไปหาต่อ พบว่ามันคือไม้สไลด์บางๆ แปะผิวไว้ ในไทยมีขายอยู่ 2 เจ้า อ้างอิงจาก (https://www.wazzadu.com)
วีเนียร์นั้นมีอยู่หลายประเภท เช่น แบบที่เป็นผิวไม้ดิบ ต้องนำมาต่อกันเป็นแผ่นเอง, แบบที่ต่อกันมาเสร็จแล้วแปะบนกระดาษ, แบบที่ต่อกันเสร็จแล้ว แปะบนกระดาษแล้ว และกระดาษยังเป็นกระดาษกาวอีก ลอกแปะได้เลย
ผมลองโทรไปถามผู้นำเข้าดู ผมยังขำว่าตอนผมโทรไปถาม ตอนนั้นเพิ่ง google มาหมาดๆ ...
ผม : “สวัสดีครับ พอจะมี white oak veneer ไหมครับ ต้อง white oak นะครับไม่เอา red oak เอาแบบ PSA (pressure sensitive) ที่เป็น Quartered cut ครับ”
พนักงาน : “ไม่รู้เรื่องคะ มีแต่เยื่อไม้โอ๊คที่เป็นลายตรงกับลายภูเขาจะเอาแบบไหนคะ”
ผม : T____T “ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ เดี๋ยวโทรมาใหม่นะครับ”
ต้องมานั่งแปลอีกว่าลายไม้ภาษาไทยเรียกว่าอะไร
ว่าง่ายๆ วีเนียร์ คือไม้จริงนี่ทำมาฝานเป็นแผ่นบางๆ ลายไม้ที่ได้ จะขึ้นกับลักษณะการตัดไม้ เช่นถ้าตัดเฉียงๆจะได้ลายภูเขา ถ้าตัดตรงๆจะได้ลายตรง แต่ในต่างประเทศที่มีผู้นิยมใช้วีเนียร์มากๆ จะมีลายอื่นๆตามการตัดแบบแปลกๆด้วย
อย่างภาพด้านล่างนี้เป็นลายตรง
อันนี้ก็เป็นลายตรงเช่นกัน แต่มีสีต่างกันเพราะไม้โอ๊คมีสองประเภทที่นิยมมากๆคือโอ๊คขาวกับโอ๊คแดง โอ๊คงแดงตัวเยื่อยไม้จะออกสีแดงหน่อยๆ เฟอร์นิเจอร์ของไทยส่วนมากจะเป็นโอ๊คขาว (American white oak) แต่ของบางแบรนด์เช่น Muji จะใช้ Red Oak ครับ
ส่วนอันนี้เป็น ลายภูเขา
ต่อมาหลังจากที่โทรไปใหม่ ลองสอบถามผู้ผลิตในไทยทั้งสองเจ้า เจ้าแรกมีแค่ไม้ที่ไสบางๆแล้วต้องนำมาทาบต่อกันเอง ผมคิดว่าถ้าผมต้องเอามาต่อเอง คงไม่รอดแน่ๆ (เข็ดกับ wallpaper) กับอีกเจ้าที่ขายแบบที่ต่อกันแล้ว แต่ราคาแพงอย่างไม่น่าเชื่อ (3500 +)
โชคดีว่าตอนนั้นผมต้องไปทำงานที่สหรัฐอเมริกาเป็นระยะสั้นๆพอดี เลยสั่งซื้อทางเวปไซต์ให้มาส่งที่โรงแรม
ตอนสั่งก็บันเทิงไปอีก เพราะ UPS (ไปรษณีย์สหรัฐ) ก็พอๆกับบ้านเรานี่แหละ สั่งไปแล้วของไปวนหาโรงแรมผมไม่เจอ จนต้องโทรไปตามแล้วตามอีกกว่าจะได้มา
ในที่สุดก็มาถึง <3
ตอนสั่งนี่วัดไซส์กระเป๋ามาดีมาก เรียกว่ายัดลงพอดีเป๊ะ
เมื่อกลับมาไทย ก็ได้เวลาลงมือทำ
วิธีการติดนั้นง่ายมาก ซื้อกาวติดไม้ (wood glue) มา ละเลงลงไป รอบแรกผมติดไม่เป็น คือไม่ได้เกลี่ยกาวให้ทั่ว สุดท้ายไม้บวม !!
แต่รอบถัดๆไปรู้แล้ว คือเอาเกียงเกลี่ยกาวให้ทั่วก่อน แล้วแปะลงไป เมื่อแปะไปแล้วให้เอาวัสดุอะไรก็ได้ที่หนักๆมากดทับ ผมเห็นในอินเตอร์เนตใช้ clamp ที่เป็นไม้หนีบกดไว้ 6 ตัว ส่วนของผมไม่มีอุปกรณ์เลยเอาชั้นวางอิเกียกองๆๆๆ แล้วเอาถังสีทับอีกที
รอข้ามคืนก็แห้งสนิทดี
ส่วนขอบที่เหลือใช้คัดเตอร์ตัดไม้ส่วนเกิน และเอากระดาษทรายค่อยๆลบขอบจนขอบไม้เสมอกันดี
เมื่อแปะเสร็จแล้วทา wood finishing แบบไหนก็ได้ จากที่เล่าไว้ในตอนก่อนหน้า (ตอนที่ 3.1) ว่าผมลองมาหมดแล้วทุกอย่าง
พบว่าถ้า finishing ด้วยน้ำมัน ตัวน้ำมันจะซึมเข้าไปในไม้ ถ้าใช้กับวีเนียร์อาจทำให้วีเนียร์บวมได้จากการซึมซับน้ำมัน (คิดเอง) แต่หลักการทำงานของยูริเทนจะเคลือบผิวอยู่ภายนอก น่าจะมีปัญหาการหดตัวน้อยสุดและน่าจะให้ผลลัพทธ์ออกมาดีที่สุด ส่วนกระจกด้านหลังผมใช้สีเงาทอง จึงอยากได้ไม้เป็นสีเหลืองอำพันคล้ายสีทอง จึงได้เลือกยูรีเทนสูตรน้ำมัน
สุดท้ายคือของวางบนชั้นตกแต่ง
ระหว่างอยู่ที่อเมริกา ช่วงนั้นเป็นช่วงสิ้นฤดูหนาวพอดี ต้นฤดูใบไม้พลิเป็นช่วงที่ต้นสนและต้นโอ๊คกำลังออกลูก
ผมจึงตัดสินใจ “เดินเข้าป่า” ~~ ไม่ได้หาเสือดำนะ แต่ตามหาต้นสนต้นโอ๊คแต่ละสายพันธุ์ เพื่อมาเป็นของตกแต่งชั้น (พอดีว่าที่ทำงานผมเป็นเมื่องใหม่ ที่เวลาอเมริกาสร้างเมืองใหม่เขาจะถางป่าเข้าไป ทำให้ข้างหลังสำนักงานนี่ยังเป็นป่าดีๆนี่เอง)
ของบางส่วนซื้อมาจากร้านชื่อ Home Goods ซึ่งเป็นร้านขายของตกเกรดห้าง เน้นหลักไปทางอุปกรณ์ใช้ในบ้าน ของบางอย่างลด 80 - 90% แต่ต้องเลือกดีๆ เพราะมีของเสียปนมาด้วย ต้องเลือกแบบที่ไม่มีตำหนิ
ส่วนของที่เป็นโลหะนั้นสั่งซื้อมาจาก H&M Home ที่สหรัฐอเมริกา (ในไทย H&M จะขายแต่เสื้อผ้า แต่ที่โน่นขายของตกแต่งบ้านด้วย คล้ายๆ Zara Home) ที่ซื้อจาก H&M นั้นเพราะแบรนด์นี้ราคาถูกที่สุดและมีความเรียบหรูมินิมอลพอสมควร
หมีขาวตัวนั้นพอดีก่อนไป stop over ที่ญี่ปุ่น เลยซื้อมา
ส่วนต้นไม้ประดับซื้อจาก Ikea บางนาบ้านเรา
และนี่คือผลงานที่ได้ครับ
ตอนต่อไปจะเก็บตกเรื่องของเฟอร์นิเจอร์จาก Ikea และ smart home นะครับ