น่าเสียดายมากที่ Three Billboards outside Ebbing, Missouri เข้าฉายในบ้านเราหลังประกาศผลรางวัล Oscar เรียบร้อยแล้ว ไม่งั้นจะมีกองเชียร์หนังเรื่องนี้เพิ่มมาอย่างน้อยๆอีกหนึ่งคนแน่ๆ สิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุด คือ สารที่ทรงพลังมากๆและเฉียบคมสุดๆในตอนบทสรุปของหนัง แต่เรายังมีติดขัดอยู่บางส่วน ทำให้มันอาจไม่ใช่หนังที่ดีที่สุดของปีนี้
ผลงานของผู้กำกับและเขียนบทชาวอังกฤษที่เราไม่คุ้นชื่ออย่าง Martin McDonagh สร้างความแปลกใจให้เราเป็นอย่างมาก หนังมีดีที่เนื้อหาเข้มข้น มีภาคการแสดงที่ยอดเยี่ยม รวมไปถึงบทที่แข็งแรง และยังดูสนุกมากๆ ภาพโดยรวมของหนังต้องยกเครดิตให้ผู้กำกับไปเต็มๆ
เราชอบดนตรีและเพลงประกอบหนังเรื่องนี้มาก แค่ซีนเปิดตัวเพลงขึ้นมาก็ขนลุกแล้ว ดนตรีแนวคันทรีโฟล์คยังโดดเด่นเสมอเมื่อมาอยู่ในหนัง เพลง Last Rose of Summer เพราะมากๆ คนทำดนตรีเรื่องนี้รสนิยมดีสุดๆ
สิ่งหนึ่งที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลย คือบทภาพยนตร์ที่ดีมาก บทมันแข็งแรง มันสร้างพื้นหลังตัวละครได้น่าสนใจ การกระทำการตัดสินใจต่างๆของตัวละครมีน้ำหนักตามคาเรคเตอร์ของตัวละครนั้นๆ บทเล่าเรื่องได้น่าติดตาม และที่สำคัญมันสนุกมากๆด้วย การสื่อประเด็นหลักและประเด็นรองทำได้อย่างลงตัว หนังพูดประเด็นภาพใหญ่ของสังคมและหน่วยเล็กๆอย่างมนุษย์เราได้พอดี ให้น้ำหนักการเล่าเรื่องได้ดีเลย
แต่เราก็ติดขัดอยู่บ้าง คือเรารู้สึกว่าหนังมีความจงใจมากเกินไปในหลายๆซีนจนมันดูประเจิดประเจ้อไปหน่อย หรือการที่รายละเอียดเยอะและต้องพยายามเชื่อมโยงกันให้ได้ มันเลยดูไม่ค่อยจริงเท่าไหร่ รู้สึกล้นไปในบางซีน แต่ก็มองข้ามพอได้นะ
การมีบทภาพยนตร์ดีๆสักเรื่องหนึ่ง แต่ถ้าขาดการแสดงที่ยอดเยี่ยม มันคงทำให้บทหนังเรื่องนั้นเป็นสิ่งไร้ค่าไปเลย การแสดงของ 3 นักแสดงหลักทรงพลังสุดๆ ไม่แปลกใจที่ทั้ง 3 คน เข้าชิงรางวัลต่างๆเกือบทุกสถาบันในปีนี้ ตั้งแต่ทีมชุดนักแสดงยอดเยี่ยมจาก Mystic River เราก็แทบไม่เคยเจอทีมนักแสดงที่ยอดเยี่ยมแบบนี้มาก่อนอีกเลย จนกระทั่งมาถึงเรื่องนี้
Frances McDormand ในบทบาทของ Mildred Hayes คว้ารางวัล Best Actor มากมายในปีนี้ รวมไปถึง Oscar ด้วย เราไม่เห็นเธอมาหลายปี แต่ปีนี้เธอกลับมาแบบทรงพลังสุดๆ แม้จะเราจะชอบการแสดงของ Saoirse Ronan จาก Lady Bird มากๆก็ตาม แต่พอมาดูเรื่องนี้ ก็ต้องยอมรับว่าสมศักดิ์ ปีนี้ Frances มาดีจริงๆ ส่วนตัวเราไม่ได้ประทับใจซีนหนักๆของเธอ ซีนบู๊ ซีนอารมณ์หนักๆ เธอทำได้ดีมากอยู่แล้ว แต่เราชอบซีนที่ไม่ต้องแสดงออกเยอะๆ เรื่องนี้มันมีซีนโชว์แบบนี้เยอะมาก มันเลยสร้างคะแนนได้มากกว่า Saoirse (แต่ยังไงสำหรับเรา การแสดงของ Saoirse ก็ยอดเยี่ยมมาก แม้จะไม่ได้รางวัล Oscar ก็ตาม)
เราชอบสายตาของ Frances ในหลายๆซีน เวลาเธอชำเลืองตามองคู่สนทนา หรือตอนที่คู่สนทนากำลังเดินจากไป เราว่าสายตาเธอคมมาก โดยเฉพาะซีนสุดท้ายที่คุยกับ Jason บนรถ ดูซีนนี้จบ มอบ Oscar ให้เธอไปเลย 555
ซีนที่คุยกับกวางและซีนที่ใช้รองเท้าตุ๊กตาคุยกัน ก็ไร้ข้อกังขา มันเด็ดขาด นุ่มนวลและเข้าถึงอารมณ์บาดลึกมากๆ
การแสดงของ Sam Rockwell ในบทนายตำรวจ Jason Dixon ช่วยส่งให้หนังทรงพลังยิ่งขึ้น ตัวละครที่มีจิตใจลึกๆไม่ปกติเพราะบาดแผลบางอย่าง จุดเปลี่ยนที่เกิดขึ้นในระหว่างเรื่อง ถือว่าเป็นการแสดงที่ยากมากๆ ถ้าการแสดงของตัวละครนี้ทำได้ไม่ดี เราเชื่อว่ามีโอกาสถึงกับทำให้หนังเรื่องนี้พังได้เลย แต่สิ่งนี้ไม่เกิดขึ้น เพราะ Sam จัดการมันได้อยู่หมัด
อีกคนที่ต้องชม คือ Woody Harrelson เล่นเป็นหัวหน้าตำรวจ Bill Willoughby ตัวละครที่มีความรู้สึกหลากหลายอารมณ์มากๆเช่นกัน ความรู้สึกขัดแย้งในตัวเองในหลายทาง การแสดงที่ออกมา ถือว่าลงตัว แม้ซีนอาจไม่หนักมาก แต่ก็สื่อออกมาได้ไม่ง่ายเช่นกัน
Three Billboards outside Ebbing, Missouri เล่าเรื่องของ Mildred Hayes แม่ที่เสียลูกสาวไปจากการโดนฆ่าขมขื่น เมื่อประมาณ 7 เดือนก่อน แต่ตำรวจยังไม่สามารถจับฆาตกรได้ และยิ่งกว่านั้นเหมือนพวกตำรวจไม่ได้ใส่ใจในการสืบสวนต่อด้วยซ้ำ เธอจึงตัดสินใจซื้อป้ายบิลบอร์ดโฆษณาที่ตั้งอยู่บนถนนที่ไม่ค่อยมีคนเดินทางผ่านและไม่มีใครลงโฆษณาแล้ว เพื่อต้องการเรียกร้องความเป็นธรรม และต้องการสร้างแรงกระเพื่อมบางอย่างให้คนหันมาสนใจเรื่องนี้กันมากขึ้น
ป้ายแรก “RAPED WHILE DYING”
ป้ายที่สอง “AND STILL NO ARRESTS?”
ป้ายสุดท้าย “HOW COME, CHIEF WILLOUGHBY?”
ข้อความที่ส่งตรงไปยังตำรวจใน Ebbing โดยระบุชื่อหัวหน้าตำรวจ Bill Willoughby ทำให้เกิดกระแสอย่างแรงในเมือง รวมไปถึงสื่อที่มากระจายข่าว แต่เกิดกระแสสังคมขี้นมา 2 ฝั่ง มีทั้งฝั่งที่อยู่ข้าง Mildred ซึ่งส่วนใหญ่ดูจะเป็นคนตัวเล็กในสังคมหรือคนผิวสี ส่วนกระแสส่วนใหญ่ของคนในเมืองน่าจะยังอยู่ข้างตำรวจอย่าง Bill เพราะคนในเมืองเชื่อว่าเป็นคนดี โดนเฉพาะชนชั้นระดับกลางขึ้นไป
ชีวิตจริงก็เป็นแบบนี้ ทุกอย่างมี 2 มุมมองเสมอ และหนังก็เล่นกับเรื่อง 2 มุมมองไปตลอดทั้งเรื่อง หนังไม่ได้พยายามจะบอกหรือบังคับให้เราเชื่อแบบไหน แต่หนังตั้งคำถามไว้ให้เราเลือกคำตอบเอง หรือหนังอาจเพียงแค่บอกให้เราพยายามมองด้านอื่นๆมากขึ้น มากกว่าแค่มุมมองของตัวเราเพียงด้านเดียว
หนังสร้างความช็อคให้เราตั้งแต่ต้นเรื่อง เมื่อเรารู้ว่า Bill เป็นมะเร็ง และกำลังจะตายในอีกไม่ช้า คำถามถูกส่งมาที่เราอย่างจัง ว่าถ้าเราเป็น Mildred เราจะทำแบบเธอไหม และตอนที่ Mildred บอกว่า เธอรู้ว่า Bill เป็นมะเร็ง มันยิ่งส่งความสับสนลังเลใจมาให้เราเพิ่มขึ้น เราชอบบทสนทนาระหว่าง Mildred กับ Bill ทุกซีน เรารู้สึกได้ถึงมิตรภาพความสัมพันธ์ของพวกเขา แม้พวกเขาจะอยู่คนละฝั่งในเรื่องนี้ก็ตาม ซีนที่ Bill สำลักเป็นเลือด และ Mildred รีบเข้าไปช่วย มันทำให้เราขนลุกมากๆ
สุดท้าย Bill ก็เลือกทางที่ช็อคคนดู เขาเลือกจบชีวิตตัวเองพร้อมจดหมาย 3 ฉบับ ถึงภรรยา ถึง Jason Dixon และถึง Mildred Hayes
ข้อความในจดหมายถึงภรรยา ที่พรรณาความรู้สึกที่มีต่อเธอ มันทำให้เราเศร้ามาก แม้หนังจะไม่ได้เล่าความสัมพันธ์นี้มากนัก แต่มันรับรู้ได้ผ่านจดหมายฉบับนี้
“จูบลูกๆแทนฉันด้วยนะ รู้ไว้ว่าฉันรักเธอตลอดไป แล้วเราจะได้พบกันอีก ในที่ใดสักที่หนึ่งหรืออาจจะไม่มีที่นั้นเลยก็ตาม”
นายตำรวจหนุ่ม Jason Dixon อาศัยอยู่กับแม่เพียง 2 คน ทั้งสองติดสุราเป็นอย่างหนัก แม่น่าจะมีการจิตผิดปกติ และดูจะไม่ชอบคนผิวสีเอามากๆ ส่วน Jason ว่ากันว่าถึงขึ้นซ้อมผู้ต้องหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มคนผิวสี Jason เป็นคนอารมณ์ร้อนอารมณ์รุนแรง โมโหง่าย คงเพราะจากบาดแผลครอบครัวที่เกิดขึ้น หรืออาจรวมไปถึงผลของสุราด้วย จึงทำให้ Jason แทบไม่เคยได้เป็นตำรวจอย่างที่ควรจะเป็นเลย
จนกระทั่งการเสียชีวิตของ Bill ทำให้ Jason เสียใจอย่างหนัก ถึงกับเสียสติ เพราะคิดว่าที่ Bill ฆ่าตัวตายเพราะความกดดันจากข้อความบนบิลบอร์ดนั้น จึงเสียสติ เข้าไปทำร้ายร่างการเจ้าหน้าที่บริษัทโฆษณาจนบาดเจ็บสาหัส พร้อมกับการมาของหัวหน้าตำรวจคนใหม่ ซึ่งเป็นคนผิวสี เล่นเอาสะใจกันทั้งบาง 55 และส่งผลให้ Jason ถูกปลดจากอาชีพตำรวจ
จุดเปลี่ยนที่เกิดขึ้นกับ Jason คือข้อความในจดหมายที่ Bill เขียนถึงเขา
“ฉันคิดว่านายโมโหรุนแรงเกินไป ตราบเท่าที่นายยังมีแต่ความรู้สึกเกลียดชัง ฉันไม่คิดว่านายจะเป็นตำรวจสืบสวนที่ดีตามที่นายหวังได้ รู้ไหมอะไรที่จะช่วยให้นายเป็นตำรวจสืบสวนอย่างที่หวังได้ ‘ความรัก’ ไงล่ะ เพราะความรักทำให้นายสงบ และความสงบทำให้นายมีสติ นายต้องใช้สติในการสืบสวน นายอาจไม่ต้องใช้ปืนเลยด้วยซ้ำนะ ความเกลียดชังไม่ช่วยแก้ปัญหาใดๆ แต่ความสงบช่วยได้นะ ลองดูนะ ลองเปลี่ยนแปลงดู ฉันเชื่อว่ามันจะมีบางอย่างเปลี่ยนแปลงสำหรับนาย ฉันรู้สึกได้”
Mildred Hayes แม่ที่สูญเสียลูกสาวจากการถูกฆ่าข่มขืน เธอเป็นคนอารมณ์ร้อน อารมณ์รุนแรง ไม่กลัวใครหน้าไหนทั้งนั้น แม้แต่สามีเธอก็ทนอยู่กับเธอไม่ได้ เธอยังไม่อาจทำใจยอมรับและลืมเหตุการณ์ครั้งนั้นได้ หรือสิ่งที่เกิดขึ้นมันอาจเกิดจากเธอเอง เธอทะเลาะกับลูกสาว เธอไม่ยอมไปส่งลูกสาว เธอไล่ให้ลูกสาวเธอหาทางเดินทางไปเอง เธอแช่งลูกสาวเธอเองให้โดนข่มขืนด้วยซ้ำ สิ่งที่เกิดขึ้นมันฝังอยู่ในใจส่วนที่ลึกที่สุดของเธอ ไม่มีวันหายไปได้
เธอไม่สนใจว่า Bill เป็นมะเร็งและกำลังจะตายในไม่ช้า เธอรู้แค่ว่าเธอต้องสู้เพื่อตัวเธอเอง เธอไม่สนใจคนอื่นเลย แม้แต่ลูกชายที่พยายามลืมเหตุการณ์ครั้งนั้น เพื่อก้าวเดินต่อไป แต่กลับต้องมาเห็นข้อความในบิลบอร์ดนี้ทุกวัน มันยิ่งเจ็บปวด แต่เธอยังสนใจแค่ตัวเธอเอง เธอต้องการลบความรู้สึกผิดในใจของเธอเอง
เราเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอ เข้าใจในสิ่งที่เธอกำลังพยายามทำ เธอไม่ใช่คนจิตใจไม่ดี เธอไม่ได้คิดร้ายกับใคร เธอเห็นใจ Bill ด้วยซ้ำตอนที่ Bill สำลักเป็นเลือด เธอต้องการแค่ทำอะไรสักอย่างเพื่อปลดปล่อยตัวเองจากความรู้สึกผิดนั้น อย่างที่บอก ทุกอย่างมี 2 มุมมองเสมอ อยู่ที่เรามองจากด้านไหน
ใครที่คิดว่าเธอเข้มแข็ง แต่เราว่าลึกๆแล้ว เธอก็อ่อนแอ อ่อนไหวและมีมุมท้อแท้เช่นกัน ซีนที่เธอนั่งอยู่ที่บิลบอร์ดและมองเห็นกวางโผล่มา เธอเริ่มพูดคุยกับกวาง “โลกนี้ไม่มีพระเจ้า ทั้งโลกแมร่งว่างเปล่า และมันไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้นในสิ่งที่คนปฏิบัติต่อกัน...แต่ฉันหวังว่ามันจะไม่จริง” นี่อาจจะเป็นกวางจริงๆหรืออาจเป็นภวังค์ของเธอกันแน่
จดหมายสุดซึ้งที่ Bill เขียนถึง Mildred จนทำให้เราน้ำตาซึม
“อย่างแรกเลย...ฉันขอโทษนะสำหรับการตายของลูกสาวเธอและยังจับฆาตกรไม่ได้ มันเป็นความเจ็บปวดสุดๆของฉัน และมันอาจทำให้หัวใจฉันแตกสลายเมื่อรู้สึกว่าเธอคิดว่าฉันไม่แคร์เรื่องนี้ เพราะจริงๆแล้วฉันแคร์ อย่างที่สอง...ฉันอยากบอกว่าเรื่องบิลบอร์ดเป็นไอเดียที่ฟัคมากๆ แม้มันจะไม่ได้เกี่ยวอะไรเลยกับการตายของฉัน แต่ฉันคิดว่าคนในเมืองจะคิดว่าเกี่ยวแน่ๆ และนี่คือสิ่งที่ฉันจะตอบแทนให้เธอ ฉันตัดสินใจจ่ายค่าเช่าบิลบอร์ดเดือนหน้าให้เธอแล้ว ฉันหวังว่าพวกเขาจะไม่ฆ่าเธอนะ ขอโชคดีในเรื่องนี้และทุกๆเรื่องนะ ฉันหวังและภาวนาขอให้เธอจับฆาตกรให้ได้”
เราชอบที่หนังพูดเรื่องความโกรธความแค้น ว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ดีเลย ผ่านจดหมายที่ Bill บอกกับ Jason และประโยคที่แฟนใหม่ของอดีตสามีของ Mildred บอก ว่า “ความโกรธแค้นจะยิ่งก่อให้เกิดความคับแค้นมากยิ่งขึ้น” เราชอบที่หนังเลือกให้ตัวละครที่ดูไร้แก่นสารที่สุดในเรื่อง พูดประโยคสำคัญ และประโยคนี้เองก็ถูกส่งไปที่ Mildred จนเริ่มเข้าใจบางอย่างในชีวิตมากขึ้น ได้ตระหนักถึงเรื่องราวของตัวเองมากขึ้น ได้สงบลงมากยิ่งขึ้น
ในตอนท้ายเรื่อง แม้ Jason จะเริ่มตระหนักได้ว่าสิ่งที่ตัวเองควรต้องทำคืออะไร แม้ว่า Jason จะยอมเจ็บตัวเพื่อให้ตำรวจจับคนร้ายได้ แต่สุดท้ายสิ่งที่หนังตบหน้าสังคมฉาดใหญ่อีกรอบ ก็คือ ตำรวจไม่สามารถเอาผิดฆาตกรได้ แม้จะเป็นหัวหน้าตำรวจคนใหม่แล้วก็ตาม ความจริงในสังคมก็คือแบบนี้ แล้วตำรวจก็ทำอะไรเกินกว่าหน้าที่ไม่ได้จริงๆ ซึ่งตำรวจก็ไม่ได้ทำอะไรผิด มันสะท้อนความจริงสุดเจ็บปวดให้เราเห็น
เราชอบบทสรุปของหนังเรื่องนี้สุดๆ หนังพาเราเดินทางเพื่อตามหาฆาตรกรฆ่าข่มขืนมาทั้งเรื่อง คนที่พวกเราอยากให้เขาถูกจับมาลงโทษ สุดท้ายเราตามหาเขาจนเจอ แต่กฎหมายก็ยังไม่สามารถเอาผิดเขาได้อยู่ดี Mildred จึงตัดสินออกเดินทางไปหาฆาตกร พร้อมกับ Jason และอีกหนึ่งกระบอกปืน
บทสนทนาบนรถระหว่างทาง Mildred ถาม Jason ขึ้นมาว่า “เฮ้ Dixon”
“ว่าไงเหรอ” Jason ตอบ
“นายแนใจรึเปล่าเรื่องนี้น่ะ” Mildred ถาม
“เรื่องที่จะไปฆ่าไอ้หมอเนี่ยนะเหรอ อืมม ก็ยังไม่เชิงหรอกนะ แล้วเธอล่ะ” Jason ตอบ
“ก็ยังไม่แน่ใจนักหรอก...งั้นเอาไว้ตัดสินใจระหว่างทางละกัน” Mildred พูดประโยคสุดท้ายในหนัง
เราเชื่อว่าสุดท้ายแล้วพวกเขาจะตัดสินใจเรื่องนี้ได้ เพราะพวกเขาทั้งคู่มีบทเรียนและผ่านประสบการณ์บางอย่างมาแล้ว น่าจะรู้แล้วว่าอะไรคือทางออกที่ดีที่สุดของเรื่องนี้
“ความเกลียดชังไม่ช่วยแก้ปัญหาใดๆ แต่ความสงบช่วยได้นะ”
“ความโกรธแค้นจะยิ่งก่อให้เกิดความคับแค้นมากยิ่งขึ้น”
https://www.facebook.com/MyOwnPrivateFilm/
Three Billboards outside Ebbing, Missouri - ความโกรธแค้นจะยิ่งก่อให้เกิดความคับแค้นมากยิ่งขึ้น (Spoil)
ผลงานของผู้กำกับและเขียนบทชาวอังกฤษที่เราไม่คุ้นชื่ออย่าง Martin McDonagh สร้างความแปลกใจให้เราเป็นอย่างมาก หนังมีดีที่เนื้อหาเข้มข้น มีภาคการแสดงที่ยอดเยี่ยม รวมไปถึงบทที่แข็งแรง และยังดูสนุกมากๆ ภาพโดยรวมของหนังต้องยกเครดิตให้ผู้กำกับไปเต็มๆ
เราชอบดนตรีและเพลงประกอบหนังเรื่องนี้มาก แค่ซีนเปิดตัวเพลงขึ้นมาก็ขนลุกแล้ว ดนตรีแนวคันทรีโฟล์คยังโดดเด่นเสมอเมื่อมาอยู่ในหนัง เพลง Last Rose of Summer เพราะมากๆ คนทำดนตรีเรื่องนี้รสนิยมดีสุดๆ
สิ่งหนึ่งที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลย คือบทภาพยนตร์ที่ดีมาก บทมันแข็งแรง มันสร้างพื้นหลังตัวละครได้น่าสนใจ การกระทำการตัดสินใจต่างๆของตัวละครมีน้ำหนักตามคาเรคเตอร์ของตัวละครนั้นๆ บทเล่าเรื่องได้น่าติดตาม และที่สำคัญมันสนุกมากๆด้วย การสื่อประเด็นหลักและประเด็นรองทำได้อย่างลงตัว หนังพูดประเด็นภาพใหญ่ของสังคมและหน่วยเล็กๆอย่างมนุษย์เราได้พอดี ให้น้ำหนักการเล่าเรื่องได้ดีเลย
แต่เราก็ติดขัดอยู่บ้าง คือเรารู้สึกว่าหนังมีความจงใจมากเกินไปในหลายๆซีนจนมันดูประเจิดประเจ้อไปหน่อย หรือการที่รายละเอียดเยอะและต้องพยายามเชื่อมโยงกันให้ได้ มันเลยดูไม่ค่อยจริงเท่าไหร่ รู้สึกล้นไปในบางซีน แต่ก็มองข้ามพอได้นะ
การมีบทภาพยนตร์ดีๆสักเรื่องหนึ่ง แต่ถ้าขาดการแสดงที่ยอดเยี่ยม มันคงทำให้บทหนังเรื่องนั้นเป็นสิ่งไร้ค่าไปเลย การแสดงของ 3 นักแสดงหลักทรงพลังสุดๆ ไม่แปลกใจที่ทั้ง 3 คน เข้าชิงรางวัลต่างๆเกือบทุกสถาบันในปีนี้ ตั้งแต่ทีมชุดนักแสดงยอดเยี่ยมจาก Mystic River เราก็แทบไม่เคยเจอทีมนักแสดงที่ยอดเยี่ยมแบบนี้มาก่อนอีกเลย จนกระทั่งมาถึงเรื่องนี้
Frances McDormand ในบทบาทของ Mildred Hayes คว้ารางวัล Best Actor มากมายในปีนี้ รวมไปถึง Oscar ด้วย เราไม่เห็นเธอมาหลายปี แต่ปีนี้เธอกลับมาแบบทรงพลังสุดๆ แม้จะเราจะชอบการแสดงของ Saoirse Ronan จาก Lady Bird มากๆก็ตาม แต่พอมาดูเรื่องนี้ ก็ต้องยอมรับว่าสมศักดิ์ ปีนี้ Frances มาดีจริงๆ ส่วนตัวเราไม่ได้ประทับใจซีนหนักๆของเธอ ซีนบู๊ ซีนอารมณ์หนักๆ เธอทำได้ดีมากอยู่แล้ว แต่เราชอบซีนที่ไม่ต้องแสดงออกเยอะๆ เรื่องนี้มันมีซีนโชว์แบบนี้เยอะมาก มันเลยสร้างคะแนนได้มากกว่า Saoirse (แต่ยังไงสำหรับเรา การแสดงของ Saoirse ก็ยอดเยี่ยมมาก แม้จะไม่ได้รางวัล Oscar ก็ตาม)
เราชอบสายตาของ Frances ในหลายๆซีน เวลาเธอชำเลืองตามองคู่สนทนา หรือตอนที่คู่สนทนากำลังเดินจากไป เราว่าสายตาเธอคมมาก โดยเฉพาะซีนสุดท้ายที่คุยกับ Jason บนรถ ดูซีนนี้จบ มอบ Oscar ให้เธอไปเลย 555
ซีนที่คุยกับกวางและซีนที่ใช้รองเท้าตุ๊กตาคุยกัน ก็ไร้ข้อกังขา มันเด็ดขาด นุ่มนวลและเข้าถึงอารมณ์บาดลึกมากๆ
การแสดงของ Sam Rockwell ในบทนายตำรวจ Jason Dixon ช่วยส่งให้หนังทรงพลังยิ่งขึ้น ตัวละครที่มีจิตใจลึกๆไม่ปกติเพราะบาดแผลบางอย่าง จุดเปลี่ยนที่เกิดขึ้นในระหว่างเรื่อง ถือว่าเป็นการแสดงที่ยากมากๆ ถ้าการแสดงของตัวละครนี้ทำได้ไม่ดี เราเชื่อว่ามีโอกาสถึงกับทำให้หนังเรื่องนี้พังได้เลย แต่สิ่งนี้ไม่เกิดขึ้น เพราะ Sam จัดการมันได้อยู่หมัด
อีกคนที่ต้องชม คือ Woody Harrelson เล่นเป็นหัวหน้าตำรวจ Bill Willoughby ตัวละครที่มีความรู้สึกหลากหลายอารมณ์มากๆเช่นกัน ความรู้สึกขัดแย้งในตัวเองในหลายทาง การแสดงที่ออกมา ถือว่าลงตัว แม้ซีนอาจไม่หนักมาก แต่ก็สื่อออกมาได้ไม่ง่ายเช่นกัน
Three Billboards outside Ebbing, Missouri เล่าเรื่องของ Mildred Hayes แม่ที่เสียลูกสาวไปจากการโดนฆ่าขมขื่น เมื่อประมาณ 7 เดือนก่อน แต่ตำรวจยังไม่สามารถจับฆาตกรได้ และยิ่งกว่านั้นเหมือนพวกตำรวจไม่ได้ใส่ใจในการสืบสวนต่อด้วยซ้ำ เธอจึงตัดสินใจซื้อป้ายบิลบอร์ดโฆษณาที่ตั้งอยู่บนถนนที่ไม่ค่อยมีคนเดินทางผ่านและไม่มีใครลงโฆษณาแล้ว เพื่อต้องการเรียกร้องความเป็นธรรม และต้องการสร้างแรงกระเพื่อมบางอย่างให้คนหันมาสนใจเรื่องนี้กันมากขึ้น
ป้ายแรก “RAPED WHILE DYING”
ป้ายที่สอง “AND STILL NO ARRESTS?”
ป้ายสุดท้าย “HOW COME, CHIEF WILLOUGHBY?”
ข้อความที่ส่งตรงไปยังตำรวจใน Ebbing โดยระบุชื่อหัวหน้าตำรวจ Bill Willoughby ทำให้เกิดกระแสอย่างแรงในเมือง รวมไปถึงสื่อที่มากระจายข่าว แต่เกิดกระแสสังคมขี้นมา 2 ฝั่ง มีทั้งฝั่งที่อยู่ข้าง Mildred ซึ่งส่วนใหญ่ดูจะเป็นคนตัวเล็กในสังคมหรือคนผิวสี ส่วนกระแสส่วนใหญ่ของคนในเมืองน่าจะยังอยู่ข้างตำรวจอย่าง Bill เพราะคนในเมืองเชื่อว่าเป็นคนดี โดนเฉพาะชนชั้นระดับกลางขึ้นไป
ชีวิตจริงก็เป็นแบบนี้ ทุกอย่างมี 2 มุมมองเสมอ และหนังก็เล่นกับเรื่อง 2 มุมมองไปตลอดทั้งเรื่อง หนังไม่ได้พยายามจะบอกหรือบังคับให้เราเชื่อแบบไหน แต่หนังตั้งคำถามไว้ให้เราเลือกคำตอบเอง หรือหนังอาจเพียงแค่บอกให้เราพยายามมองด้านอื่นๆมากขึ้น มากกว่าแค่มุมมองของตัวเราเพียงด้านเดียว
หนังสร้างความช็อคให้เราตั้งแต่ต้นเรื่อง เมื่อเรารู้ว่า Bill เป็นมะเร็ง และกำลังจะตายในอีกไม่ช้า คำถามถูกส่งมาที่เราอย่างจัง ว่าถ้าเราเป็น Mildred เราจะทำแบบเธอไหม และตอนที่ Mildred บอกว่า เธอรู้ว่า Bill เป็นมะเร็ง มันยิ่งส่งความสับสนลังเลใจมาให้เราเพิ่มขึ้น เราชอบบทสนทนาระหว่าง Mildred กับ Bill ทุกซีน เรารู้สึกได้ถึงมิตรภาพความสัมพันธ์ของพวกเขา แม้พวกเขาจะอยู่คนละฝั่งในเรื่องนี้ก็ตาม ซีนที่ Bill สำลักเป็นเลือด และ Mildred รีบเข้าไปช่วย มันทำให้เราขนลุกมากๆ
สุดท้าย Bill ก็เลือกทางที่ช็อคคนดู เขาเลือกจบชีวิตตัวเองพร้อมจดหมาย 3 ฉบับ ถึงภรรยา ถึง Jason Dixon และถึง Mildred Hayes
ข้อความในจดหมายถึงภรรยา ที่พรรณาความรู้สึกที่มีต่อเธอ มันทำให้เราเศร้ามาก แม้หนังจะไม่ได้เล่าความสัมพันธ์นี้มากนัก แต่มันรับรู้ได้ผ่านจดหมายฉบับนี้
“จูบลูกๆแทนฉันด้วยนะ รู้ไว้ว่าฉันรักเธอตลอดไป แล้วเราจะได้พบกันอีก ในที่ใดสักที่หนึ่งหรืออาจจะไม่มีที่นั้นเลยก็ตาม”
นายตำรวจหนุ่ม Jason Dixon อาศัยอยู่กับแม่เพียง 2 คน ทั้งสองติดสุราเป็นอย่างหนัก แม่น่าจะมีการจิตผิดปกติ และดูจะไม่ชอบคนผิวสีเอามากๆ ส่วน Jason ว่ากันว่าถึงขึ้นซ้อมผู้ต้องหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มคนผิวสี Jason เป็นคนอารมณ์ร้อนอารมณ์รุนแรง โมโหง่าย คงเพราะจากบาดแผลครอบครัวที่เกิดขึ้น หรืออาจรวมไปถึงผลของสุราด้วย จึงทำให้ Jason แทบไม่เคยได้เป็นตำรวจอย่างที่ควรจะเป็นเลย
จนกระทั่งการเสียชีวิตของ Bill ทำให้ Jason เสียใจอย่างหนัก ถึงกับเสียสติ เพราะคิดว่าที่ Bill ฆ่าตัวตายเพราะความกดดันจากข้อความบนบิลบอร์ดนั้น จึงเสียสติ เข้าไปทำร้ายร่างการเจ้าหน้าที่บริษัทโฆษณาจนบาดเจ็บสาหัส พร้อมกับการมาของหัวหน้าตำรวจคนใหม่ ซึ่งเป็นคนผิวสี เล่นเอาสะใจกันทั้งบาง 55 และส่งผลให้ Jason ถูกปลดจากอาชีพตำรวจ
จุดเปลี่ยนที่เกิดขึ้นกับ Jason คือข้อความในจดหมายที่ Bill เขียนถึงเขา
“ฉันคิดว่านายโมโหรุนแรงเกินไป ตราบเท่าที่นายยังมีแต่ความรู้สึกเกลียดชัง ฉันไม่คิดว่านายจะเป็นตำรวจสืบสวนที่ดีตามที่นายหวังได้ รู้ไหมอะไรที่จะช่วยให้นายเป็นตำรวจสืบสวนอย่างที่หวังได้ ‘ความรัก’ ไงล่ะ เพราะความรักทำให้นายสงบ และความสงบทำให้นายมีสติ นายต้องใช้สติในการสืบสวน นายอาจไม่ต้องใช้ปืนเลยด้วยซ้ำนะ ความเกลียดชังไม่ช่วยแก้ปัญหาใดๆ แต่ความสงบช่วยได้นะ ลองดูนะ ลองเปลี่ยนแปลงดู ฉันเชื่อว่ามันจะมีบางอย่างเปลี่ยนแปลงสำหรับนาย ฉันรู้สึกได้”
Mildred Hayes แม่ที่สูญเสียลูกสาวจากการถูกฆ่าข่มขืน เธอเป็นคนอารมณ์ร้อน อารมณ์รุนแรง ไม่กลัวใครหน้าไหนทั้งนั้น แม้แต่สามีเธอก็ทนอยู่กับเธอไม่ได้ เธอยังไม่อาจทำใจยอมรับและลืมเหตุการณ์ครั้งนั้นได้ หรือสิ่งที่เกิดขึ้นมันอาจเกิดจากเธอเอง เธอทะเลาะกับลูกสาว เธอไม่ยอมไปส่งลูกสาว เธอไล่ให้ลูกสาวเธอหาทางเดินทางไปเอง เธอแช่งลูกสาวเธอเองให้โดนข่มขืนด้วยซ้ำ สิ่งที่เกิดขึ้นมันฝังอยู่ในใจส่วนที่ลึกที่สุดของเธอ ไม่มีวันหายไปได้
เธอไม่สนใจว่า Bill เป็นมะเร็งและกำลังจะตายในไม่ช้า เธอรู้แค่ว่าเธอต้องสู้เพื่อตัวเธอเอง เธอไม่สนใจคนอื่นเลย แม้แต่ลูกชายที่พยายามลืมเหตุการณ์ครั้งนั้น เพื่อก้าวเดินต่อไป แต่กลับต้องมาเห็นข้อความในบิลบอร์ดนี้ทุกวัน มันยิ่งเจ็บปวด แต่เธอยังสนใจแค่ตัวเธอเอง เธอต้องการลบความรู้สึกผิดในใจของเธอเอง
เราเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอ เข้าใจในสิ่งที่เธอกำลังพยายามทำ เธอไม่ใช่คนจิตใจไม่ดี เธอไม่ได้คิดร้ายกับใคร เธอเห็นใจ Bill ด้วยซ้ำตอนที่ Bill สำลักเป็นเลือด เธอต้องการแค่ทำอะไรสักอย่างเพื่อปลดปล่อยตัวเองจากความรู้สึกผิดนั้น อย่างที่บอก ทุกอย่างมี 2 มุมมองเสมอ อยู่ที่เรามองจากด้านไหน
ใครที่คิดว่าเธอเข้มแข็ง แต่เราว่าลึกๆแล้ว เธอก็อ่อนแอ อ่อนไหวและมีมุมท้อแท้เช่นกัน ซีนที่เธอนั่งอยู่ที่บิลบอร์ดและมองเห็นกวางโผล่มา เธอเริ่มพูดคุยกับกวาง “โลกนี้ไม่มีพระเจ้า ทั้งโลกแมร่งว่างเปล่า และมันไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้นในสิ่งที่คนปฏิบัติต่อกัน...แต่ฉันหวังว่ามันจะไม่จริง” นี่อาจจะเป็นกวางจริงๆหรืออาจเป็นภวังค์ของเธอกันแน่
จดหมายสุดซึ้งที่ Bill เขียนถึง Mildred จนทำให้เราน้ำตาซึม
“อย่างแรกเลย...ฉันขอโทษนะสำหรับการตายของลูกสาวเธอและยังจับฆาตกรไม่ได้ มันเป็นความเจ็บปวดสุดๆของฉัน และมันอาจทำให้หัวใจฉันแตกสลายเมื่อรู้สึกว่าเธอคิดว่าฉันไม่แคร์เรื่องนี้ เพราะจริงๆแล้วฉันแคร์ อย่างที่สอง...ฉันอยากบอกว่าเรื่องบิลบอร์ดเป็นไอเดียที่ฟัคมากๆ แม้มันจะไม่ได้เกี่ยวอะไรเลยกับการตายของฉัน แต่ฉันคิดว่าคนในเมืองจะคิดว่าเกี่ยวแน่ๆ และนี่คือสิ่งที่ฉันจะตอบแทนให้เธอ ฉันตัดสินใจจ่ายค่าเช่าบิลบอร์ดเดือนหน้าให้เธอแล้ว ฉันหวังว่าพวกเขาจะไม่ฆ่าเธอนะ ขอโชคดีในเรื่องนี้และทุกๆเรื่องนะ ฉันหวังและภาวนาขอให้เธอจับฆาตกรให้ได้”
เราชอบที่หนังพูดเรื่องความโกรธความแค้น ว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ดีเลย ผ่านจดหมายที่ Bill บอกกับ Jason และประโยคที่แฟนใหม่ของอดีตสามีของ Mildred บอก ว่า “ความโกรธแค้นจะยิ่งก่อให้เกิดความคับแค้นมากยิ่งขึ้น” เราชอบที่หนังเลือกให้ตัวละครที่ดูไร้แก่นสารที่สุดในเรื่อง พูดประโยคสำคัญ และประโยคนี้เองก็ถูกส่งไปที่ Mildred จนเริ่มเข้าใจบางอย่างในชีวิตมากขึ้น ได้ตระหนักถึงเรื่องราวของตัวเองมากขึ้น ได้สงบลงมากยิ่งขึ้น
ในตอนท้ายเรื่อง แม้ Jason จะเริ่มตระหนักได้ว่าสิ่งที่ตัวเองควรต้องทำคืออะไร แม้ว่า Jason จะยอมเจ็บตัวเพื่อให้ตำรวจจับคนร้ายได้ แต่สุดท้ายสิ่งที่หนังตบหน้าสังคมฉาดใหญ่อีกรอบ ก็คือ ตำรวจไม่สามารถเอาผิดฆาตกรได้ แม้จะเป็นหัวหน้าตำรวจคนใหม่แล้วก็ตาม ความจริงในสังคมก็คือแบบนี้ แล้วตำรวจก็ทำอะไรเกินกว่าหน้าที่ไม่ได้จริงๆ ซึ่งตำรวจก็ไม่ได้ทำอะไรผิด มันสะท้อนความจริงสุดเจ็บปวดให้เราเห็น
เราชอบบทสรุปของหนังเรื่องนี้สุดๆ หนังพาเราเดินทางเพื่อตามหาฆาตรกรฆ่าข่มขืนมาทั้งเรื่อง คนที่พวกเราอยากให้เขาถูกจับมาลงโทษ สุดท้ายเราตามหาเขาจนเจอ แต่กฎหมายก็ยังไม่สามารถเอาผิดเขาได้อยู่ดี Mildred จึงตัดสินออกเดินทางไปหาฆาตกร พร้อมกับ Jason และอีกหนึ่งกระบอกปืน
บทสนทนาบนรถระหว่างทาง Mildred ถาม Jason ขึ้นมาว่า “เฮ้ Dixon”
“ว่าไงเหรอ” Jason ตอบ
“นายแนใจรึเปล่าเรื่องนี้น่ะ” Mildred ถาม
“เรื่องที่จะไปฆ่าไอ้หมอเนี่ยนะเหรอ อืมม ก็ยังไม่เชิงหรอกนะ แล้วเธอล่ะ” Jason ตอบ
“ก็ยังไม่แน่ใจนักหรอก...งั้นเอาไว้ตัดสินใจระหว่างทางละกัน” Mildred พูดประโยคสุดท้ายในหนัง
เราเชื่อว่าสุดท้ายแล้วพวกเขาจะตัดสินใจเรื่องนี้ได้ เพราะพวกเขาทั้งคู่มีบทเรียนและผ่านประสบการณ์บางอย่างมาแล้ว น่าจะรู้แล้วว่าอะไรคือทางออกที่ดีที่สุดของเรื่องนี้
“ความเกลียดชังไม่ช่วยแก้ปัญหาใดๆ แต่ความสงบช่วยได้นะ”
“ความโกรธแค้นจะยิ่งก่อให้เกิดความคับแค้นมากยิ่งขึ้น”
https://www.facebook.com/MyOwnPrivateFilm/