สำหรับนักเดินทางหลายๆคน เส้นทางรถไฟสายทรานไซบีเรียคงเป็นเส้นทาง Wish list อันดับต้นๆ ที่ต้องไปเยือนให้ได้
ซึ่งก็ไม่ต่างจากพวกเราเท่าไรนัก
แต่ด้วยปัจจัยต่างๆมากมาย ที่ทำให้มนุษย์เงินเดือนอย่างเรา สามารถเดินทางได้แค่ช่วงเวลาสั้นๆ
ทรานไซบีเรีย จึงดูเป็นความฝันที่ห่างไกลความเป็นจริงของเราเหลือเกิน
แต่อุปสรรคก็ไม่สามารถขวางพวกเรา จากการเดินทางไปได้
ด้วยเวลาเพียง 11 วัน ที่พวกเราสามารถลางานได้ กับเส้นทางที่ต้องใช้เวลาเป็นเดือน
เราเลยทำการ "หั่น" เส้นทางออกมา
ด้วยช่วงเวลาที่เหมาะสม และความสวยงามที่เห็นจากรีวิวต่างๆ
คุ๊กกี้เสี่ยงทาย จึงออกมาเป็น มองโกเลีย + เอียส์คุตร์
หากจะพูดให้ถูก เส้นทางที่เรากำลังเดินทางไปไม่ใช่ เส้นทางสายทรานไซบีเรีย
แต่เป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางสายทรานส์มองโกเลีย เส้นทางรถไฟที่ยาวที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก
เส้นทางนี้เริ่มต้นจากกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน เข้าสู่มองโกเลีย และปลายทางอยู่ที่ Irkutsk ประเทศรัสเซีย
หากนั่งรถไฟโดยไม่แวะ จะใช้เวลาประมาณ 3 วัน
*** รูปถ่ายทั้งหมด ถ่ายด้วย Samsung Galaxy Note 8 ***
แผนการเดินทางของเรา
Day 1 - กรุงเทพฯ เปลี่ยนเครื่องที่ฮ่องกง -> นั่งเครื่องต่อไปยัง Ulaanbaataar, พักที่ Modern Mongkol Hostel
Day 2 - Zaisan Hill, Winter palace Bogd khan Museum, Chinggis Khan Statue, นอนเกอร์กับชาว Nomad, ขี่ม้าบนเขาหิมะ
Day 3 - Aryapala Temple Meditation Center, Turtle rock, นั่งรถยาวๆ 5 ชม., Camel riding กับครอบครัวเลี้ยงอูฐที่ Elsen Tasarkhai, นอนเกอร์ติดรั้วกำแพง Kharkhorin, Mongolian Throat song
Day 4 - Erdene Zuu Musuem, Kharkhorin Monastery, Penis stone, นั่งรถกลับมา Ulaanbaataar, Shuu Korean restaurant, พักที่ Modern Mongkol Hostel
Day 5 - Sukhbaatar Square, State departmentstore, นั่งรถไฟสาย 305 Soft sleeper หรือ Kupe class ไปยัง Irkutsk
Day 6 - เดินเล่น เม้ามอยกันบนรถไฟ, ผ่านตม. มองโกเลีย และรัสเซีย, Irkustk, เดินเล่นที่ถนน Ulitsa Uritskogo, Central market, Monument Kuibyshev, Kazan Church, Znamensky nunnery, พักที่ Z hostel
Day 7 - นั่งรถ Mini bus ไป Listvyanka, นั่งกระเช้าสกีไปดูวิวที่ Chersky stone, เดินลงมาดูวิวไบคาลที่จุดชมวิว Monument to Alexander Vampilov, Dog sledding at Baikal Dog Sledding Centre, Fish Market, นั่งรถกลับ Irkutsk
Day 8 - นั่งรถ Van จาก Irkutsk ไปยังเกาะ Olkhon, เดินไปโบสถ์ Tserkov' Ikony Bozh'yey Materi
Day 9 - Private tour ไปฝั่งเหนือของเกาะ Olkhon, Cape Khoboy, แวะถ่ายรูปที่ Uzer, Shaman rock
Day 10 - Private tour ไปฝั่งใต้ของเกาะ Olkhon, Ogoy Island, นั่ง Private mini bus กลับ Irkutsk, 130 Kvartal
Day 11 - Irkutsk -> Bangkok
สิ่งที่ควรรู้ก่อนมามองโกเลีย
1. หน้าหนาวของที่นี่ เริ่มต้นประมาณปลายเดือนพฤศจิกายน จนถึงปลายกุมภาพันธ์ (แต่ถึงไม่มาในช่วงนี้ก็ยังหนาวอยู่) อากาศหน้าหนาวที่นี่ หนาวแบบวัวตายควายล้ม หนาวจริงๆเพราะระหว่างทางจะมีทั้งวัว ม้า แกะ หนาวตายข้างทางตลอด อุณหภูมิช่วงหน้าหนาวอยู่ราวๆ -30 ถึง -10 องศา ถ้ามาแล้วเจอเลขหลักเดียวได้ถือว่าโชคดีมาก
2. คนที่นี่ส่วนใหญ่จะเป็นมิตรกับนักท่องเที่ยวมาก ทั้งเจอกับตัวเองและจากนักท่องเที่ยวคนอื่น
3. ค่าครองชีพที่มองโกเลียถูกมาก ถูกจนต้องมาคำนวนเป็นเงินไทยแล้วคำนวนอีกว่าคิดผิดตรงไหนหรือเปล่า
4. เงิน (ทุกริก, ทุกรุก, ทูกริก) หาแลกได้ที่มองโกเลียเท่านั้น ต้องเตรียมเงินดอลล่าห์มาแลก
5. คุณจะได้ทานเนื้อแกะ เนื้อแพะ เนื้อม้า ในราคาถูกแสนถูก จากที่เคยรับประทานตามโรงแรม คุณจะได้เนื้อแกะติดโครงกระดูกมาชิ้นนึงบนจาน แต่ในราคาเดียวกันที่มองโกเลีย คุณจะได้เนื้อแกะพร้อมโครงกระดูกทั้งลำตัวมาแทะกิน
6. ถ้าอยู่ในเมืองหลวงอูลานบาร์ตอร์ ไม่ต้องห่วงว่าจะหาทานอาหารยาก สำหรับคนไม่กินเนื้อ ไม่กินสัตว์แปลกๆ เพราะที่นี่ยกร้านอาหารเกาหลีทั้ง Seoul มา ขนาดตั้งชื่อถนนว่า Seoul street กันเลยทีเดียว ส่วนฟาสต์ฟู้ดดังๆ ก็มา เช่น KFC, Pizza hut ถ้าจะแวะนั่งเล่นจิบกาแฟก็มี Cafe Bene, Tom n Tom, Coffee Bean & Tea Leaf อยู่ทั่วเมือง
7. ลืมเสื้อกันฝนและอากาศแปรปรวนไปได้ เพราะที่นี่มีฝนตกแค่ปีละ 3-5 วัน ใครเจอฝนตกถือว่าโชคดีมาก
8. ภูมิประเทศที่นี่แปลกตากว่าประเทศอื่นๆ จะมาช่วงฤดูหนาว ทะเลทราย, ภูเขา, ทุ่งหญ้าจะกลายเป็นสีขาวโพลนไปหมด หรือถ้าจะมาฤดูร้อน ทุ่งหญ้าสเตป์ก็จะกลายเป็นสีเขียวสุดลูกหูลูกตา ส่วนถ้าใครอย่างมาช่วงฤดูใบไม้ล่วง ภูเขาจะกลายเป็นสีเหลืองสลับแดงไม่แพ้กับญี่ปุ่นเลย
9. ใครรักสัตว์ต้องมาที่นี่ คุณจะเจอวัว แพะ แกะ ม้า อูฐ เป็นพันๆ หมื่นๆตัว ใช้ชีวิตในทุ่งกว้างอย่างอิสระ หรืออาจจะโชคดีแบบพวกเราที่ได้เจอหมี (หรือเปล่า) ระหว่างที่เรานั่งรถไฟ
10. ชีวิตที่เรียบง่ายแบบชาว Nomadic มีให้พบเห็นตลอดสองข้างทางนอกเมือง ใช้ชีวิตโดยการเลี้ยงสัตว์ ย้ายถิ่นฐานไปในแหล่งที่อุดมสมบูรณ์ ไม่ต้องพึ่งสิ่งอำนวยความสะดวกอะไรมากมาย
11. ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับสัตว์ถือเป็นสินค้าเศรษฐกิจของมองโกเลีย นอกจากเนื้อสัตว์ที่ใช้เพื่อการบริโภคแล้ว ขนสัตว์ยังใช้ในการผลิตเครื่องนุ่งห่ม ทำให้เครื่องหนัง ขนสัตว์ ผ้าวูล แคชเมียร์ ถูกมาก มีตั้งแต่ขนหมาป่า สุนัขจิ้งจอก กระรอก หางม้า เป็นต้น
12. ที่นี่คือ สวรรค์ของช่างภาพสาย Landscape เพราะฟ้าที่นี่ใสมาก ตัดกับพื้นที่เปลี่ยนสีไปตามฤดูกาล ทำให้ได้ภาพที่สวยสุดๆ
13. นอกจากวิวธรรมชาติแล้ว ยังมีวิวคนมองโกเลีย ให้มองให้ถ่ายรูปอีก ถ้าคุณอยู่ในเมืองอูลานบาตอร์ จะหาคนหน้าตาดีได้ไม่ยาก หน้าตาคนที่นี่จะมีความคล้ายคลึงกับคนจีน และคนเกาหลีผสมอยู่
14. มองโกเลียคือสวรรค์ของนักทานอาหารแปลกๆ ให้ได้ลองชิม เพราะเนื้อสัตว์เกือบทุกชนิดที่สามารถล่าได้ ถือเป็นอาหารของคนที่นี่ อย่างในครั้งนี้ผมก็ได้ลองทานขาแกะ และกล้ามเนื้อส่วนเท้า (อย่านึกภาพการแล่อย่างสวยงาม เพราะของจริงคือ มาทั้งขาและอุ้งเท้าครบทุกส่วน)
15. กิจกรรมนี่สนใจ ส่วนใหญ่คือ กิจกรรมที่ชาว nomadic ทำมาตั้งแต่เกิด เช่นการขี่อูฐ, การขี่ม้า, นั่ง dog sledging, เลี้ยงเหยี่ยวและใช้เหยี่ยวล่าสัตว์ สำหรับใครที่ชอบกิจกรรมท้าทายแต่ไม่เสี่ยงนัก ไม่ควรพลาด
16. ส้วมที่นี่ ส่วนใหญ่เป็นส้วมหลุม ที่ขุดขึ้นลึกประมาณ 2 - 3 เมตร ด้านล่างมีเศษซากอารยธรรม ของคนก่อนหน้ามากมาย มีไม้กระดานพาดปากหลุมไว้ สำหรับยืนหรือนั่ง ใครไปก็เตรียมตัวและเตรียมใจกันหน่อย
17. การจราจรที่นี่ติดมาก ติดขนาดไหนให้นึกถึงวันศุกร์สิ้นเดือน แถวถนนสาทร สุขุมวิท อโศก
18. ถ้าออกนอกเมืองไปอยู่กับชาว Nomad อุปกรณ์สำหรับบริโภคอาหาร ไม่ว่าจะเป็น จาน ชาม ช้อน หม้อ ส่วนใหญ่จะไม่ได้ผ่านกรรมวิธีการล้างแบบบ้านเรา เพียงแค่เช็ดๆ และจุ่มในน้ำร้อนสองสามที ก็นำกลับมาใช้ใหม่
การเตรียมตัว
เครื่องแต่งกาย
เนื่องจากเราเดินทางไปช่วงที่มีอากาศหนาวแบบสุดๆ ตั้งแต่ -27 องศา จนร้อนสุดก็ -7 องศา ดังนั้นอุปกรณ์กันหนาวจึงจัดเต็มกันมาก แต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้ความหนาวอยู่ดี
จากประสบการณ์และการลองผิดลองถูกของพวกเรา ทำให้ได้ข้อสรุปประมาณนี้
** ส่วนหัว ** ควรจะมีหมวกไหมพรม หรือหมวกวูลสักใบที่สามารถกันความหนาวด้านบนศีรษะได้ ซึ่งส่วนที่เย็นที่สุดคือ ใบหู หมวกควรจะคลุมหรือปิดหูได้ดี
** ส่วนจมูก ปาก และคอ ** แนะนำว่าควรจะมี Neck gaiter ดีๆสักอันหนึ่ง เพราะนอกจากคลุมคอแล้ว มันยังช่วยปิดปาก ปิดจมูกกันหนาวได้ดีทีเดียว (บางทีช่วยเช็ดน้ำมูกด้วย 55) ส่วนใครที่คิดว่าจะใช้ผ้าพันคอก็ไม่สงวนสิทธิ์ แต่พวกเราลองใช้กันแล้วและคิดว่ามันยังไม่เอนกประสงค์พอ
** ส่วนลำตัว ** เสื้อ Heattech + เสื้อ Fleece + เสื้อ Down ดีๆ รับรองเอาอยู่ หรือใครจะใส่เสื้อกันลมเพิ่มอันนี้ก็ไม่ว่ากัน
** ส่วนขา ** เป็นส่วนที่เรามีความเห็นตรงกันว่า ทำไมบริษัทเสื้อผ้าแบรนด์ดังๆ ไม่มีคนทำกางเกง Down มา เพราะที่หามาใส่มันกันความหนาวไม่ค่อยอยู่
พวกเราใส่ Heattech + กางเกง Fleece + กางเกงกันลมกันน้ำ
สองส่วนสุดท้ายที่หนาวและแข็งที่สุด
** ส่วนเท้า ** เป็นความผิดที่พวกเราดูถูกความหนาวมากเกินไป คิดว่ารองเท้า Trekking ที่ใช้อยู่จะสามารถทานทนความหนาวได้ จึงอยากจะแนะนำให้ใช้รองเท้าบูธกันหนาว ที่ด้านในมีขนสัตว์ จะสามารถช่วยกันหนาวได้อย่างดี
ส่วนใครที่อยากใช้รองเท้า Trekking แบบพวกเรา ทริคกันหนาวของเราคือ การใส่ถุงเท้าชั้นแรก และแปะถุงร้อนไว้ที่ถุงเท้า หลังจากนั้นจึงใส่ถุงเท้าชั้นที่สอง นอกจากนั้นแล้วยังเอาถุงร้อนยัดเข้าไปในรองเท้าส่วนหัวทั้งสองข้าง
โดยทริคนี้สามารถกันความหนาวได้ดีทีเดียว
** ส่วนมือ ** ถุงมือดีๆ สักคู่ สามารถกันความหนาวได้ แต่อุปสรรคของมันคือ ความใหญ่เทอะทะ ทำให้ทำอะไรได้ไม่สะดวก ที่สำคัญคือไม่สามารถกด touch screen มือถือได้
หากใครมีเวลาเตรียมตัว แนะนำให้ไปซื้อด้าย Stainless มาเย็บบริเวณส่วนนิ้วของถุงมือ จะสามารถเปลี่ยนถุงมือธรรมดาเป็นถุงมือ Touch screen ได้
แต่หากใครไม่ได้เตรียมพร้อมแบบพวกเรา การสามารถใช้วิธีของเราได้ โดยการนำฟอยด์ห่ออาหาร (ที่เราฉีกมาจากอาหารกลางวัน หรือฟอยด์ที่ห่ออาหารบนเครื่องบิน) มาพันบริเวณนิ้วที่จะใช้ Touch screen เพียงเท่านี้ก็ใช้งานได้แล้ว
ซื้อทัวร์ที่ไหน
เราเลือกใช้บริการทัวร์ของ Danista Nomad (
www.danistanomadstour.com) เพราะเป็นที่เดียวที่สามารถพาเราไป National park ด้านตะวันออกและตะวันตกพร้อมกันได้ภายในเวลา 3 วัน
และก็รู้สึกโชคดีมากๆ ที่ตัดสินใจเลือกเจ้านี้ เพราะบริการดีมาก (ทัวร์ดี ต้องอวยนิดนึง)
ค่าใช้จ่ายสำหรับพวกเรา 5 คน คนละ 180$ (ค่าทัวร์ 60$/คน/วัน)
เราเลือกโปรแกรม 3 days in Central Mongolia
นอกจากนี้ที่เราบอกว่าโชคดี เพราะว่าพวกเราเป็นลูกค้ากลุ่มแรก หลังจาก Lunar New year (วันตรุษจีนบ้านเรา)
ทาง Danista จึงบริการพวกเราดีมากๆๆๆๆๆ
** เราได้อีเมล์ไปถามทาง Danista เรื่องตั๋วรถไฟจากอูลานบาตอร์ ไปยังเอียคุตส์ ทาง Danista ตอบตกลงที่จะซื้อตั๋วรถไฟให้กับพวกเรา
จากเดิมที่ต้องซื้อผ่านทาง Agency ในราคา 188$ แต่ทาง Danista สามารถซื้อตั๋วให้เราได้ในราคาเพียง 66$
เมื่อใกล้ถึงเวลาเดินทาง จึงสอบถามไปอีกครั้ง ทางนั้นแจ้งกลับมาว่ารถไฟมีการเปลี่ยนตารางเวลา ทำให้เราสามารถขึ้นรถไฟสาย Express ที่ใช้เวลาเพียง 23 ชั่วโมงกว่าๆ
จากเดิมที่ต้องใช้เวลาถึง 33 ชั่วโมง และที่สำคัญคือ ค่าตั๋วเหลือเพียง 50$ เท่านั้น
นอกจากนั้นแล้ว ทาง Danista ยังบริการพาไปรับ ไปส่ง ตามที่เราร้องขอ วันสุดท้ายที่อูลานบาตอร์ยังพาพวกเราไปชอปปิ้งละลายเงิน Tughrik อีกต่างหาก ทั้งที่ทัวร์ที่เราซื้อไว้หมดไปตั้งแต่วันก่อนหน้าแล้ว
ทั้งหมดต้องขอขอบคุณความน่ารัก และใจดีของไกด์ คนขับรถ และเจ้าหน้าที่ของ Danista Nomad ด้วย **
การแลกเงิน
ค่าเงินของที่นี่ มีหน่วยเป็น Tughrik คนไทยอ่านกันหลากหลายเสียง ทุกริก, ทุกรุก, ทูกริก
ต้องมาแลกเงินที่นี่เท่านั้น ไม่มีให้แลกที่เมืองไทย อัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่เราไปอยู่ประมาณ 1 บาทต่อ 80 Tughrik
สามารถหาแลกได้ตามธนาคารทั่วไป ที่สำคัญบางธนาคารเปิด 24 ชม. (เราแลกเป็นธนาคารสีเขียว)
การเดินทาง
พวกเราเริ่มต้นเดินทางด้วยสายการบิน Cathay Pacific ไปลงที่ฮ่องกง และนั่งเครื่องบินสายการบิน Miat Airline ไปถึง Ulaanbaataar
ซึ่งปัจจุบันมีสายการบิน Miat ที่บินตรงจากกรุงเทพฯไปยังอูลานบาตอร์แล้ว โดยเปิดให้บริการประมาณ 2-3 วันต่อสัปดาห์
ขากลับ เราใช้บริการของสายการบิน S7 บินตรงจาก Irkutsk มายังกรุงเทพฯ
ราคาตั๋วเครื่องบินไปกลับของพวกเราอยู่ประมาณ 2.3 หมื่น
***** เบ็ดเสร็จรวมค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าที่พัก อาหาร ค่าเดินทาง อยู่ราวๆ 5 หมื่นบาท *****
[CR] เดินทางสู่ความเวิ้งว้างอันไกลโพ้น แห่งอาณาจักรมองโกเลีย
ซึ่งก็ไม่ต่างจากพวกเราเท่าไรนัก
แต่ด้วยปัจจัยต่างๆมากมาย ที่ทำให้มนุษย์เงินเดือนอย่างเรา สามารถเดินทางได้แค่ช่วงเวลาสั้นๆ
ทรานไซบีเรีย จึงดูเป็นความฝันที่ห่างไกลความเป็นจริงของเราเหลือเกิน
แต่อุปสรรคก็ไม่สามารถขวางพวกเรา จากการเดินทางไปได้
ด้วยเวลาเพียง 11 วัน ที่พวกเราสามารถลางานได้ กับเส้นทางที่ต้องใช้เวลาเป็นเดือน
เราเลยทำการ "หั่น" เส้นทางออกมา
ด้วยช่วงเวลาที่เหมาะสม และความสวยงามที่เห็นจากรีวิวต่างๆ
คุ๊กกี้เสี่ยงทาย จึงออกมาเป็น มองโกเลีย + เอียส์คุตร์
แต่เป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางสายทรานส์มองโกเลีย เส้นทางรถไฟที่ยาวที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก
เส้นทางนี้เริ่มต้นจากกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน เข้าสู่มองโกเลีย และปลายทางอยู่ที่ Irkutsk ประเทศรัสเซีย
หากนั่งรถไฟโดยไม่แวะ จะใช้เวลาประมาณ 3 วัน
*** รูปถ่ายทั้งหมด ถ่ายด้วย Samsung Galaxy Note 8 ***
แผนการเดินทางของเรา
Day 1 - กรุงเทพฯ เปลี่ยนเครื่องที่ฮ่องกง -> นั่งเครื่องต่อไปยัง Ulaanbaataar, พักที่ Modern Mongkol Hostel
Day 2 - Zaisan Hill, Winter palace Bogd khan Museum, Chinggis Khan Statue, นอนเกอร์กับชาว Nomad, ขี่ม้าบนเขาหิมะ
Day 3 - Aryapala Temple Meditation Center, Turtle rock, นั่งรถยาวๆ 5 ชม., Camel riding กับครอบครัวเลี้ยงอูฐที่ Elsen Tasarkhai, นอนเกอร์ติดรั้วกำแพง Kharkhorin, Mongolian Throat song
Day 4 - Erdene Zuu Musuem, Kharkhorin Monastery, Penis stone, นั่งรถกลับมา Ulaanbaataar, Shuu Korean restaurant, พักที่ Modern Mongkol Hostel
Day 5 - Sukhbaatar Square, State departmentstore, นั่งรถไฟสาย 305 Soft sleeper หรือ Kupe class ไปยัง Irkutsk
Day 6 - เดินเล่น เม้ามอยกันบนรถไฟ, ผ่านตม. มองโกเลีย และรัสเซีย, Irkustk, เดินเล่นที่ถนน Ulitsa Uritskogo, Central market, Monument Kuibyshev, Kazan Church, Znamensky nunnery, พักที่ Z hostel
Day 7 - นั่งรถ Mini bus ไป Listvyanka, นั่งกระเช้าสกีไปดูวิวที่ Chersky stone, เดินลงมาดูวิวไบคาลที่จุดชมวิว Monument to Alexander Vampilov, Dog sledding at Baikal Dog Sledding Centre, Fish Market, นั่งรถกลับ Irkutsk
Day 8 - นั่งรถ Van จาก Irkutsk ไปยังเกาะ Olkhon, เดินไปโบสถ์ Tserkov' Ikony Bozh'yey Materi
Day 9 - Private tour ไปฝั่งเหนือของเกาะ Olkhon, Cape Khoboy, แวะถ่ายรูปที่ Uzer, Shaman rock
Day 10 - Private tour ไปฝั่งใต้ของเกาะ Olkhon, Ogoy Island, นั่ง Private mini bus กลับ Irkutsk, 130 Kvartal
Day 11 - Irkutsk -> Bangkok
สิ่งที่ควรรู้ก่อนมามองโกเลีย
1. หน้าหนาวของที่นี่ เริ่มต้นประมาณปลายเดือนพฤศจิกายน จนถึงปลายกุมภาพันธ์ (แต่ถึงไม่มาในช่วงนี้ก็ยังหนาวอยู่) อากาศหน้าหนาวที่นี่ หนาวแบบวัวตายควายล้ม หนาวจริงๆเพราะระหว่างทางจะมีทั้งวัว ม้า แกะ หนาวตายข้างทางตลอด อุณหภูมิช่วงหน้าหนาวอยู่ราวๆ -30 ถึง -10 องศา ถ้ามาแล้วเจอเลขหลักเดียวได้ถือว่าโชคดีมาก
2. คนที่นี่ส่วนใหญ่จะเป็นมิตรกับนักท่องเที่ยวมาก ทั้งเจอกับตัวเองและจากนักท่องเที่ยวคนอื่น
3. ค่าครองชีพที่มองโกเลียถูกมาก ถูกจนต้องมาคำนวนเป็นเงินไทยแล้วคำนวนอีกว่าคิดผิดตรงไหนหรือเปล่า
4. เงิน (ทุกริก, ทุกรุก, ทูกริก) หาแลกได้ที่มองโกเลียเท่านั้น ต้องเตรียมเงินดอลล่าห์มาแลก
5. คุณจะได้ทานเนื้อแกะ เนื้อแพะ เนื้อม้า ในราคาถูกแสนถูก จากที่เคยรับประทานตามโรงแรม คุณจะได้เนื้อแกะติดโครงกระดูกมาชิ้นนึงบนจาน แต่ในราคาเดียวกันที่มองโกเลีย คุณจะได้เนื้อแกะพร้อมโครงกระดูกทั้งลำตัวมาแทะกิน
6. ถ้าอยู่ในเมืองหลวงอูลานบาร์ตอร์ ไม่ต้องห่วงว่าจะหาทานอาหารยาก สำหรับคนไม่กินเนื้อ ไม่กินสัตว์แปลกๆ เพราะที่นี่ยกร้านอาหารเกาหลีทั้ง Seoul มา ขนาดตั้งชื่อถนนว่า Seoul street กันเลยทีเดียว ส่วนฟาสต์ฟู้ดดังๆ ก็มา เช่น KFC, Pizza hut ถ้าจะแวะนั่งเล่นจิบกาแฟก็มี Cafe Bene, Tom n Tom, Coffee Bean & Tea Leaf อยู่ทั่วเมือง
7. ลืมเสื้อกันฝนและอากาศแปรปรวนไปได้ เพราะที่นี่มีฝนตกแค่ปีละ 3-5 วัน ใครเจอฝนตกถือว่าโชคดีมาก
8. ภูมิประเทศที่นี่แปลกตากว่าประเทศอื่นๆ จะมาช่วงฤดูหนาว ทะเลทราย, ภูเขา, ทุ่งหญ้าจะกลายเป็นสีขาวโพลนไปหมด หรือถ้าจะมาฤดูร้อน ทุ่งหญ้าสเตป์ก็จะกลายเป็นสีเขียวสุดลูกหูลูกตา ส่วนถ้าใครอย่างมาช่วงฤดูใบไม้ล่วง ภูเขาจะกลายเป็นสีเหลืองสลับแดงไม่แพ้กับญี่ปุ่นเลย
9. ใครรักสัตว์ต้องมาที่นี่ คุณจะเจอวัว แพะ แกะ ม้า อูฐ เป็นพันๆ หมื่นๆตัว ใช้ชีวิตในทุ่งกว้างอย่างอิสระ หรืออาจจะโชคดีแบบพวกเราที่ได้เจอหมี (หรือเปล่า) ระหว่างที่เรานั่งรถไฟ
10. ชีวิตที่เรียบง่ายแบบชาว Nomadic มีให้พบเห็นตลอดสองข้างทางนอกเมือง ใช้ชีวิตโดยการเลี้ยงสัตว์ ย้ายถิ่นฐานไปในแหล่งที่อุดมสมบูรณ์ ไม่ต้องพึ่งสิ่งอำนวยความสะดวกอะไรมากมาย
11. ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับสัตว์ถือเป็นสินค้าเศรษฐกิจของมองโกเลีย นอกจากเนื้อสัตว์ที่ใช้เพื่อการบริโภคแล้ว ขนสัตว์ยังใช้ในการผลิตเครื่องนุ่งห่ม ทำให้เครื่องหนัง ขนสัตว์ ผ้าวูล แคชเมียร์ ถูกมาก มีตั้งแต่ขนหมาป่า สุนัขจิ้งจอก กระรอก หางม้า เป็นต้น
12. ที่นี่คือ สวรรค์ของช่างภาพสาย Landscape เพราะฟ้าที่นี่ใสมาก ตัดกับพื้นที่เปลี่ยนสีไปตามฤดูกาล ทำให้ได้ภาพที่สวยสุดๆ
13. นอกจากวิวธรรมชาติแล้ว ยังมีวิวคนมองโกเลีย ให้มองให้ถ่ายรูปอีก ถ้าคุณอยู่ในเมืองอูลานบาตอร์ จะหาคนหน้าตาดีได้ไม่ยาก หน้าตาคนที่นี่จะมีความคล้ายคลึงกับคนจีน และคนเกาหลีผสมอยู่
14. มองโกเลียคือสวรรค์ของนักทานอาหารแปลกๆ ให้ได้ลองชิม เพราะเนื้อสัตว์เกือบทุกชนิดที่สามารถล่าได้ ถือเป็นอาหารของคนที่นี่ อย่างในครั้งนี้ผมก็ได้ลองทานขาแกะ และกล้ามเนื้อส่วนเท้า (อย่านึกภาพการแล่อย่างสวยงาม เพราะของจริงคือ มาทั้งขาและอุ้งเท้าครบทุกส่วน)
15. กิจกรรมนี่สนใจ ส่วนใหญ่คือ กิจกรรมที่ชาว nomadic ทำมาตั้งแต่เกิด เช่นการขี่อูฐ, การขี่ม้า, นั่ง dog sledging, เลี้ยงเหยี่ยวและใช้เหยี่ยวล่าสัตว์ สำหรับใครที่ชอบกิจกรรมท้าทายแต่ไม่เสี่ยงนัก ไม่ควรพลาด
16. ส้วมที่นี่ ส่วนใหญ่เป็นส้วมหลุม ที่ขุดขึ้นลึกประมาณ 2 - 3 เมตร ด้านล่างมีเศษซากอารยธรรม ของคนก่อนหน้ามากมาย มีไม้กระดานพาดปากหลุมไว้ สำหรับยืนหรือนั่ง ใครไปก็เตรียมตัวและเตรียมใจกันหน่อย
17. การจราจรที่นี่ติดมาก ติดขนาดไหนให้นึกถึงวันศุกร์สิ้นเดือน แถวถนนสาทร สุขุมวิท อโศก
18. ถ้าออกนอกเมืองไปอยู่กับชาว Nomad อุปกรณ์สำหรับบริโภคอาหาร ไม่ว่าจะเป็น จาน ชาม ช้อน หม้อ ส่วนใหญ่จะไม่ได้ผ่านกรรมวิธีการล้างแบบบ้านเรา เพียงแค่เช็ดๆ และจุ่มในน้ำร้อนสองสามที ก็นำกลับมาใช้ใหม่
การเตรียมตัว
เครื่องแต่งกาย
เนื่องจากเราเดินทางไปช่วงที่มีอากาศหนาวแบบสุดๆ ตั้งแต่ -27 องศา จนร้อนสุดก็ -7 องศา ดังนั้นอุปกรณ์กันหนาวจึงจัดเต็มกันมาก แต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้ความหนาวอยู่ดี
จากประสบการณ์และการลองผิดลองถูกของพวกเรา ทำให้ได้ข้อสรุปประมาณนี้
** ส่วนหัว ** ควรจะมีหมวกไหมพรม หรือหมวกวูลสักใบที่สามารถกันความหนาวด้านบนศีรษะได้ ซึ่งส่วนที่เย็นที่สุดคือ ใบหู หมวกควรจะคลุมหรือปิดหูได้ดี
** ส่วนจมูก ปาก และคอ ** แนะนำว่าควรจะมี Neck gaiter ดีๆสักอันหนึ่ง เพราะนอกจากคลุมคอแล้ว มันยังช่วยปิดปาก ปิดจมูกกันหนาวได้ดีทีเดียว (บางทีช่วยเช็ดน้ำมูกด้วย 55) ส่วนใครที่คิดว่าจะใช้ผ้าพันคอก็ไม่สงวนสิทธิ์ แต่พวกเราลองใช้กันแล้วและคิดว่ามันยังไม่เอนกประสงค์พอ
** ส่วนลำตัว ** เสื้อ Heattech + เสื้อ Fleece + เสื้อ Down ดีๆ รับรองเอาอยู่ หรือใครจะใส่เสื้อกันลมเพิ่มอันนี้ก็ไม่ว่ากัน
** ส่วนขา ** เป็นส่วนที่เรามีความเห็นตรงกันว่า ทำไมบริษัทเสื้อผ้าแบรนด์ดังๆ ไม่มีคนทำกางเกง Down มา เพราะที่หามาใส่มันกันความหนาวไม่ค่อยอยู่
พวกเราใส่ Heattech + กางเกง Fleece + กางเกงกันลมกันน้ำ
สองส่วนสุดท้ายที่หนาวและแข็งที่สุด
** ส่วนเท้า ** เป็นความผิดที่พวกเราดูถูกความหนาวมากเกินไป คิดว่ารองเท้า Trekking ที่ใช้อยู่จะสามารถทานทนความหนาวได้ จึงอยากจะแนะนำให้ใช้รองเท้าบูธกันหนาว ที่ด้านในมีขนสัตว์ จะสามารถช่วยกันหนาวได้อย่างดี
ส่วนใครที่อยากใช้รองเท้า Trekking แบบพวกเรา ทริคกันหนาวของเราคือ การใส่ถุงเท้าชั้นแรก และแปะถุงร้อนไว้ที่ถุงเท้า หลังจากนั้นจึงใส่ถุงเท้าชั้นที่สอง นอกจากนั้นแล้วยังเอาถุงร้อนยัดเข้าไปในรองเท้าส่วนหัวทั้งสองข้าง
โดยทริคนี้สามารถกันความหนาวได้ดีทีเดียว
** ส่วนมือ ** ถุงมือดีๆ สักคู่ สามารถกันความหนาวได้ แต่อุปสรรคของมันคือ ความใหญ่เทอะทะ ทำให้ทำอะไรได้ไม่สะดวก ที่สำคัญคือไม่สามารถกด touch screen มือถือได้
หากใครมีเวลาเตรียมตัว แนะนำให้ไปซื้อด้าย Stainless มาเย็บบริเวณส่วนนิ้วของถุงมือ จะสามารถเปลี่ยนถุงมือธรรมดาเป็นถุงมือ Touch screen ได้
แต่หากใครไม่ได้เตรียมพร้อมแบบพวกเรา การสามารถใช้วิธีของเราได้ โดยการนำฟอยด์ห่ออาหาร (ที่เราฉีกมาจากอาหารกลางวัน หรือฟอยด์ที่ห่ออาหารบนเครื่องบิน) มาพันบริเวณนิ้วที่จะใช้ Touch screen เพียงเท่านี้ก็ใช้งานได้แล้ว
ซื้อทัวร์ที่ไหน
เราเลือกใช้บริการทัวร์ของ Danista Nomad (www.danistanomadstour.com) เพราะเป็นที่เดียวที่สามารถพาเราไป National park ด้านตะวันออกและตะวันตกพร้อมกันได้ภายในเวลา 3 วัน
และก็รู้สึกโชคดีมากๆ ที่ตัดสินใจเลือกเจ้านี้ เพราะบริการดีมาก (ทัวร์ดี ต้องอวยนิดนึง)
ค่าใช้จ่ายสำหรับพวกเรา 5 คน คนละ 180$ (ค่าทัวร์ 60$/คน/วัน)
เราเลือกโปรแกรม 3 days in Central Mongolia
นอกจากนี้ที่เราบอกว่าโชคดี เพราะว่าพวกเราเป็นลูกค้ากลุ่มแรก หลังจาก Lunar New year (วันตรุษจีนบ้านเรา)
ทาง Danista จึงบริการพวกเราดีมากๆๆๆๆๆ
** เราได้อีเมล์ไปถามทาง Danista เรื่องตั๋วรถไฟจากอูลานบาตอร์ ไปยังเอียคุตส์ ทาง Danista ตอบตกลงที่จะซื้อตั๋วรถไฟให้กับพวกเรา
จากเดิมที่ต้องซื้อผ่านทาง Agency ในราคา 188$ แต่ทาง Danista สามารถซื้อตั๋วให้เราได้ในราคาเพียง 66$
เมื่อใกล้ถึงเวลาเดินทาง จึงสอบถามไปอีกครั้ง ทางนั้นแจ้งกลับมาว่ารถไฟมีการเปลี่ยนตารางเวลา ทำให้เราสามารถขึ้นรถไฟสาย Express ที่ใช้เวลาเพียง 23 ชั่วโมงกว่าๆ
จากเดิมที่ต้องใช้เวลาถึง 33 ชั่วโมง และที่สำคัญคือ ค่าตั๋วเหลือเพียง 50$ เท่านั้น
นอกจากนั้นแล้ว ทาง Danista ยังบริการพาไปรับ ไปส่ง ตามที่เราร้องขอ วันสุดท้ายที่อูลานบาตอร์ยังพาพวกเราไปชอปปิ้งละลายเงิน Tughrik อีกต่างหาก ทั้งที่ทัวร์ที่เราซื้อไว้หมดไปตั้งแต่วันก่อนหน้าแล้ว
ทั้งหมดต้องขอขอบคุณความน่ารัก และใจดีของไกด์ คนขับรถ และเจ้าหน้าที่ของ Danista Nomad ด้วย **
การแลกเงิน
ค่าเงินของที่นี่ มีหน่วยเป็น Tughrik คนไทยอ่านกันหลากหลายเสียง ทุกริก, ทุกรุก, ทูกริก
ต้องมาแลกเงินที่นี่เท่านั้น ไม่มีให้แลกที่เมืองไทย อัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่เราไปอยู่ประมาณ 1 บาทต่อ 80 Tughrik
สามารถหาแลกได้ตามธนาคารทั่วไป ที่สำคัญบางธนาคารเปิด 24 ชม. (เราแลกเป็นธนาคารสีเขียว)
การเดินทาง
พวกเราเริ่มต้นเดินทางด้วยสายการบิน Cathay Pacific ไปลงที่ฮ่องกง และนั่งเครื่องบินสายการบิน Miat Airline ไปถึง Ulaanbaataar
ซึ่งปัจจุบันมีสายการบิน Miat ที่บินตรงจากกรุงเทพฯไปยังอูลานบาตอร์แล้ว โดยเปิดให้บริการประมาณ 2-3 วันต่อสัปดาห์
ขากลับ เราใช้บริการของสายการบิน S7 บินตรงจาก Irkutsk มายังกรุงเทพฯ
ราคาตั๋วเครื่องบินไปกลับของพวกเราอยู่ประมาณ 2.3 หมื่น
***** เบ็ดเสร็จรวมค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าที่พัก อาหาร ค่าเดินทาง อยู่ราวๆ 5 หมื่นบาท *****