บอกก่อนนะคะ เนื้อหาในกระทู้ของเรามีความละเอียดมากกกกกกกกก... ( ก ไก่ ร้อยล้านตัวค่ะ)
เราใส่ทุกอย่างที่เราได้เจอ ใส่ทุกอย่างที่อยากจะเล่าตามสไตล์ของเราแบบนี้
หากใครเป็นคนที่อดทนอ่านเรื่องราวที่ยาว ๆ ไม่ได้ ชอบการรวบรัดตัดความในไม่กี่บรรทัดแล้วจบ!
คุณไม่ควรอ่านกระทู้นี้ค่ะ เพราะคุณจะทนไม่ได้แน่นอน อย่าเสียเวลาอ่านเลยนะ
แต่ถ้าใครคือปัญญาชน เป็นนักอ่านตัวยง ชอบหาความรู้ใส่สมองอยู่เสมอ
เรายินดีที่จะแชร์ประสบการณ์กับคุณค่ะ เรื่องราวของเราอยู่ในบรรทัดต่อจากนี้ไป...
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ถ้าให้เลือกได้คงไม่มีผู้หญิงคนไหนอยากจะมีประสบการณ์แบบนี้ โรคนี้เป็นโรคที่น่ารำคาญซึ่งใครที่ได้เป็นแล้วจะต้องทรมานกับมันไปจนกว่าจะเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน โรคนี้จึงจะหมดฤทธิ์ ในช่วงที่ยังคงมีประจำเดือน ฮอร์โมนจากรังไข่ยังทำงานอยู่ อาการของโรคจะมีแค่ทรงตัวหรือไม่ก็ปะทุแรงขึ้น หากยาคุมกำเนิดหรือยาฉีดคุมกำเนิดเอาไม่อยู่ ซีสต์มีขนาดโตขึ้นอย่างรวดเร็ว มีขนาดใหญ่มากสุดท้ายก็ต้องผ่าตัดในที่สุด
กระทู้นี้เราตั้งใจเขียนมาก เขียนขณะมาพักฟื้นอยู่ที่บ้านและยังคงเจ็บแผลอยู่ เขียนจากความทรงจำที่สดใหม่ เขียนจากใจ
จากความรู้สึกของเราทั้งหมดที่ได้รับจากการผ่าตัดครั้งนี้ เผื่อจะเป็นประโยชน์ต่อหญิงสาวคนอื่น ๆ ที่ป่วยเป็นโรคนี้ในวันข้างหน้า
ใครก็ตามที่เป็นโรคนี้ แรก ๆ คงรู้สึกทรมานใจ ทุกข์ใจ เครียดจัดอย่างที่เราเคยเป็น รู้สึกทำอะไรไม่ถูก เหมือนชีวิตไม่รู้จะมีความหวังอะไรต่อไปแล้ว
อยากให้พวกคุณรู้นะคะไม่ใช่มีแค่คุณคนเดียวที่เป็น ยังมีอีกหลายๆ คนที่ต้องเผชิญสถานการณ์เดียวกับคุณ คุณไม่ได้โดดเดี่ยว
ยังมีเพื่อนร่วมชะตากรรมเดียวกับคุณอีกมากมาย
ใครที่ได้เป็นโรคนี้แล้วย่อมอยากจะรู้รายละเอียดเกี่ยวกับโรคนี้ รวมถึงอยากรู้ขั้นตอนการรักษาด้วยวิธีการผ่าตัดซึ่งเป็นวิธีที่ดีที่สุด
ตอนที่เรารู้ว่าเป็นโรคนี้ใหม่ ๆ เราก็ค้นหา ตามอ่านข้อมูลกระทู้เก่า ๆ กระทู้ที่ระบายอารมณ์ความรู้สึก ความเครียด ความหดหู่ที่ต้องมาเป็นโรคนี้ ประสบการณ์การผ่าตัดจากสมาชิกท่านอื่น ๆ เป็นประโยชน์มากค่ะสำหรับคนป่วยที่ไม่รู้จะเริ่มต้นทำใจ และทำตัวยังไง จากการอ่านกระทู้เก่า ๆ
ของสมาชิกท่านอื่น ๆ ทำให้เราวางแผนการใช้ชีวิตและจัดระเบียบวินัยตัวเองในการใช้ชีวิตอยู่กับโรคนี้ได้ดีขึ้น ไม่ซึมเศร้าหดหู่มากมายนัก
เรียกว่าทำใจให้อยู่ร่วมกับมันให้ได้
เราจะเล่าในแบบชาวบ้านที่ได้รับประสบการณ์จากการเป็นโรคนี้และได้รับการรักษาด้วยวิธีการผ่าตัดแบบส่องกล้องนะคะ
โรคนี้เท่าที่ตามอ่านข้อมูลก่อนเข้ารับการผ่าตัดเห็นเรียกกันหลายชื่อค่ะ บางทีก็ช็อกโกแลตซีสต์ ถุงน้ำรังไข่ ซีสต์รังไข่
แต่ในทางการแพทย์เรียกว่าเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (endometriosis)
ประจำเดือนเรามาครั้งแรกตอนอายุ 13 ปี 8 เดือนกว่า ๆ สมัยวัยรุ่นก่อนจะอายุ 20 ปีเราไม่เคยปวดประจำเดือนเลย
จนกระทั่งเมื่ออายุ 20 ปีขึ้นก็เริ่มปวดประจำเดือนหน่อย ๆ แต่ไม่มากนัก ทนได้ ปวดแบบธรรมดา ปวดแบบอ่อนๆ หน่วง ๆ ถ่วงๆ
แค่วันสองวันแรก ก่อนจะอายุ 30 เราก็เคยมีปัญหาปวดประจำเดือนหนัก ๆ เป็นบางเดือน ปวดในระดับที่รุนแรงแต่สันนิษฐานได้ว่าเกิดจากอะไร
เช่น กินน้ำมะพร้าวก่อนมีเมนส์ มาเดือนนั้นปวดเมนส์แบบทุรนทุรายมากแบบเล็บจิกพื้นทีเดียว
หรือการกินอาหารเสริมพวกแคลเซียมจากแบรนด์ดังกินเสร็จไม่ถึง 10 นาทีดีปวดท้องเมนส์อย่างรุนแรง
แต่บางเดือนที่ออกกำลังกายเยอะๆ เดือนนั้นก็ไม่ปวดประจำเดือนเลย
ครั้นพออายุ 30 ปีขึ้น อาการปวดประจำเดือนก็เริ่มแรงขึ้น ๆ ทุกเดือน ตามอายุที่เพิ่มขึ้น ไม่มีทีท่าจะทุเลาเบาบางลง ขอออกนอกเรื่องหน่อยนะคะ เราก็มีกินพวกยาสตรีเป็นบางเดือนเหมือนกันพวกว่านชักมดลูก เบนโล เพ็ญภาค (กินแบบกินมั่งหยุดมั่งมาตั้งแต่อายุ 20 กว่าๆ) กินแบบเข้าใจผิดว่าการมีประจำเดือนออกมาก ๆ เป็นเรื่องดี ช่วงไหนเมนส์มาน้อยก็จะกิน แต่พอกินแล้วน้ำหนักขึ้นมาสัก 5 กิโลกรัมก็จะหยุดกินทันที ส่วนใหญ่กินติดต่อกันไม่เกิน 3 ขวดค่ะ พอรู้สึกอ้วนจะเลิกกินและหันมาลดน้ำหนักต่อ (แต่จริง ๆ การมีประจำเดือนออกมาก ๆ ไม่ดีนะคะ เป็นสัญญาณเตือนของโรคทางนรีเวช)
เราเคยคิดจะไปหาหมอเหมือนกันค่ะตอนที่อายุ 30 ต้น ๆ แอบสงสัยเหมือนกันว่าทำไมมันปวดประจำเดือนจัง อยากหาย แต่ก็กลัว ๆ หมอ กลัวจะเจอการตรวจภายในนี่แหละค่ะ ก็ผัดผ่อนตัวเองเรื่อยมา จนวันหนึ่งมันถึงจุดที่ทนไม่ไหว เพราะต้องเริ่มกินยาแก้ปวดแล้ว เรากินอัยบูแกนค่ะ มันทนไม่ไหว มันอยู่ในระดับที่ถ้าไม่กินยาแก้ปวดจะทำอะไรไม่ได้เลย เราไม่ถึงขนาดลงไปนอนกองหรือสลบนะคะ แต่มันปวดจนหงุดหงิด ทรมาน ไม่มีสมาธิจะทำอะไรได้เลย ถ้านั่งนิ่ง ๆ ไม่ขยับตัวจะปวดประจำเดือนมาก ทรมานสุด ๆ
เราตัดสินใจไปหาสูตินรีแพทย์ก็ตอนอายุ 34 ปี 8 เดือน 23 วัน นี่แหละค่ะ ไม่ได้เจาะจงจะเอาหมอคนไหนเป็นพิเศษ ไปหาที่โรงพยาบาลรามาธิบดี คลินิกพิเศษ ตรงอาคาร 1 ชั้น 2 ไปวันที่ 9 พฤศจิกายน 2560 หมอที่ตรวจเป็นหมอผู้ชายค่ะ เราเข้าไปถึงก็บอกว่าปวดประจำเดือนค่ะ หมอก็ถามว่าประจำเดือนมาเยอะไหม ใช้ผ้าอนามัยวันละกี่แผ่น (มันตอบยากนะ เพราะผ้าอนามัยปัจจุบันนี้มีหลายรูปแบบ กลางวันก็มีแบบหนา แบบบาง มามากมาน้อยแยกสายผลิตภัณฑ์ไป กลางคืนก็มียาวถึง 42 เซนติเมตรให้ใช้ ยิ่งมีความจุเลือดประจำเดือนมาก เราก็ใช้ผ้าอนามัยน้อยลง) เราก็บอกว่ากลางวันใช้ประมาณ 6 แผ่นแบบหนา (คือมันก็ไม่ได้เต็มแผ่นหรอกนะคะ ถึงเปลี่ยน แต่เปลี่ยนทุก 3-4 ชั่วโมงเพื่อสุขอนามัย) กลางคืนใช้แบบ 42 เซนติเมตร เราว่าของเรามาไม่เยอะค่ะ จะมากแค่สองสามวันแรก จะมีปวดนำร่องก่อนประจำเดือนมาประมาณ 2 วัน ก่อนจะมีเลือดหยด ๆ ออกมาก่อน 1 วัน ถึงจะเป็นประจำเดือนแบบชุดใหญ่ มีก้อนลิ่มเลือดหนา ๆ ออกมาด้วย และจะปวดท้องหนักมาก มีประจำเดือนประมาณ 7 วัน แต่ในช่วง 7 วันนี้บางวันก็เลือดมาหยดเดียว ยิ่งวันท้าย ๆ จะเป็นสีน้ำตาล มีประจำเดือนไม่เคยเกิน 7 วัน
หมอถามว่าร่วมเพศเจ็บไหม เราตอบว่าไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ หมอคงว่าเราโกหกอะค่ะ หมอบอกว่างั้นไปนอนเลย (เราก็หน้าตางง ๆ ไม่คิดว่าจะถูกขึ้นขาหยั่ง ) ยังนั่งงง ๆ อีก จนหมอต้องย้ำว่า ไปนอน เราก็รู้สึกเสียวขึ้นมาเลย กลัวจะเจออะไรที่รุนแรง แต่ก็เดินไปที่ห้องตรวจ พยาบาลให้ถอดกางเกงยีนส์ กางเกงใน ใส่ผ้าถุงของโรงพยาบาลแล้วขึ้นไปนอนบนเตียงตรวจ ซึ่งเตียงตรวจนี่หลอนมากค่ะ ต้องเอาขาขึ้นไปพาดให้ถ่างออกจากกัน แล้วอยู่ในท่าที่อ้าซ่า ส่วนสงวนนั้นเปิดอ้าเต็มที่ ก็อายอยู่นะคะ หมอเป็นผู้ชายด้วย แต่ก็คิดว่าหมอคงเห็นมาเยอะแล้ว พอหมอเข้ามาเราก็พยายามนอนมองเพดานห้องตรวจไว้ บอกตัวเองว่าอย่ากลัว ทั้งที่สติจะแตก
พอหมอมาถึงก็เอา speculum จ่อแล้วกดลงไปในช่องคลอด แต่เราร้องลั่นทนเจ็บไม่ไหว ทำยังไงก็เอาเข้าไม่ได้ เราร้องเสียงดัง ดิ้นด้วยเกร็งไปหมด เมื่อไม่สำเร็จ หมอจึงเอาเครื่องอัลตร้าซาวด์อีกแบบมาตรวจแทน โดยใส่เข้าทางทวารหนักซึ่งก็เจ็บมากอยู่ เราเกร็ง ขมิบทวารหนักแบบอัตโนมัติ เรารู้ตอนนั้นเลยทั้งช่องคลอดและทวารหนักต้องเป็นแผลแหง ๆ เราเจ็บจนเป็นลม หน้ามืดไปบนขาหยั่งชั่วขณะ (แต่ก็ฟื้นได้เอง)
หลังจากเอาเครื่องอัลตร้าซาวด์เข้าทางทวารหนักหมอก็พบก้อนช็อกโกแลตซีสต์ขนาด 5 เซนติเมตรกว่าในรังไข่ข้างหนึ่ง (ตอนนั้นหมอผู้ชายบอกว่าข้างซ้าย) พอหมอเอาเครื่องอัลตร้าซาวด์ที่เป็นแท่ง ๆ ออกจากทวารหนัก หมอก็พยายามเอา speculum พยายามจะใส่เข้าในช่องคลอดเราอีกครั้ง แต่ก็ใส่ไม่ได้เพราะเราทนเจ็บไม่ไหว (ข้อเสียของการไม่เคยมีเซ็กส์มาก่อน เวลาจะตรวจภายในคือมันจะลำบากยากเย็นมาก เจ็บปวดแสบทรมานจริง ๆ คิดตอนนี้ก็ยังกลุ้ม เมื่อจะต้องเจอการตรวจแบบนี้อีกเรื่อย ๆ)
พอหมอออกจากห้องไป เราก็ใส่กางเกงในตามด้วยกางเกงยีนส์มันเหนอะหนะไปหมด แหยงๆ ตัวเอง มีความรู้สึกว่าเลือดต้องไหล เพราะการตรวจทางทวารหนักจึงได้กลิ่นอุจจาระตัวเองลอยอวลอยู่ เราเดินออกจากห้องตรวจมานั่งหน้าโต๊ะหมอ หมอก็บอกว่าเราเป็นโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่แล้วก็อธิบายว่ามันเกิดได้ยังไง หมอบอกเยื่อมดลูกเจริญผิดที่นี้แทรกตัวอยู่ในกล้ามเนื้อมดลูก ในมดลูกก็มีพังผืด ถ้าจะให้หายก็ต้องตัดมดลูกทิ้งถึงจะหายปวดประจำเดือน แต่เราอายุยังน้อยอยู่ ยังไม่อยากให้ตัดเพราะเผื่ออยากมีลูก ส่วนในรังไข่ก็มีช็อกโกแลตซีสต์ขนาด 5 เซนติเมตรกว่า ๆ อยู่ หมอถาม
ว่าจะรักษาแบบไหนดี
1.กินยาคุมกำเนิด (จะยังมีประจำเดือน)
2. ฉีดยาคุมกำเนิด (ประจำเดือนอาจมาแบบกระปริดกระปรอย อาจมีฝ้าขึ้น น้ำหนักขึ้น หรืออาจไม่มีประจำเดือนไหลเลย)
3. ผ่าตัด เป็นวิธีการรักษาที่ดีที่สุด มีทั้งแบบเปิดหน้าท้อง และแบบส่องกล้อง (ส่องกล้องจะแพงกว่า แผลเล็ก เสียเลือดน้อย ลดการเกิดพังผืดหลังผ่าตัดได้ดีกว่า)
ตอนนั้นตกใจทำอะไรไม่ถูก ตายละชั้นจะทำไง เป็นได้ไงเนี่ย อุตส่าห์ดูแลเรื่องอาหารการกิน กินแต่ของดี ๆ มาตลอด กินผักก็เยอะกว่าเนื้อสัตว์ ไม่กินของหวาน มีวินัยการกินเพื่อความงามอย่างเคร่งครัดมาตลอด ในใจฟูมฟายสติแตกมาก หมอถามว่าจะเอาไง ก็ยังมึน ๆ งง ๆ ทำอะไรไม่ถูก เบลอไปหมดก็เลยเลือกรักษาแบบกินยาคุมกำเนิด ทั้งที่เคยอ่านเจอมาว่ายาคุมกำเนิดทำให้อ้วน แต่ก็อยากคงภาวะเดิมให้มากที่สุด คือ ยังอยากมีประจำเดือนอยู่
หลังจากกลับมาจากหาหมอวันนั้น ก็ร้องไห้สติแตกอยู่หลายวัน ค้นอ่านข้อมูลเกี่ยวกับโรคนี้อย่างเอาเป็นเอาตาย ยิ่งอ่านก็ยิ่งกลุ้ม ยิ่งเครียด ยาคุมกำเนิดที่ได้มาก็ยังไม่กล้ากิน มองแบบสยอง ๆ กลัวอ้วน กลัวความสวยลดลงกว่าเดิมอะไรแบบนี้ หนึ่งสัปดาห์ต่อมาหลังจากอ่านข้อมูลมาพอสมควร รู้ว่าทางรักษาที่มีประสิทธิภาพที่สุดคือ การผ่าตัด จึงกลับไปหาหมอใหม่ และตัดสินใจผ่าตัดในที่สุด เลือกผ่าแบบส่องกล้องค่ะ อยากได้แผลเป็นที่เล็กที่สุด แค่นี้ก็หดหู่พอละ หน้าท้องเรียบ ๆ สะดือสวยๆ จะต้องเป็นแผลเป็น
(มีต่อ...)
แบ่งปันประสบการณ์ผ่าตัดแบบส่องกล้อง “โรคช็อกโกแลตซีสต์ (chocolate cyst)” หรือ “โรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่"
เราใส่ทุกอย่างที่เราได้เจอ ใส่ทุกอย่างที่อยากจะเล่าตามสไตล์ของเราแบบนี้
หากใครเป็นคนที่อดทนอ่านเรื่องราวที่ยาว ๆ ไม่ได้ ชอบการรวบรัดตัดความในไม่กี่บรรทัดแล้วจบ!
คุณไม่ควรอ่านกระทู้นี้ค่ะ เพราะคุณจะทนไม่ได้แน่นอน อย่าเสียเวลาอ่านเลยนะ
แต่ถ้าใครคือปัญญาชน เป็นนักอ่านตัวยง ชอบหาความรู้ใส่สมองอยู่เสมอ
เรายินดีที่จะแชร์ประสบการณ์กับคุณค่ะ เรื่องราวของเราอยู่ในบรรทัดต่อจากนี้ไป...
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ถ้าให้เลือกได้คงไม่มีผู้หญิงคนไหนอยากจะมีประสบการณ์แบบนี้ โรคนี้เป็นโรคที่น่ารำคาญซึ่งใครที่ได้เป็นแล้วจะต้องทรมานกับมันไปจนกว่าจะเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน โรคนี้จึงจะหมดฤทธิ์ ในช่วงที่ยังคงมีประจำเดือน ฮอร์โมนจากรังไข่ยังทำงานอยู่ อาการของโรคจะมีแค่ทรงตัวหรือไม่ก็ปะทุแรงขึ้น หากยาคุมกำเนิดหรือยาฉีดคุมกำเนิดเอาไม่อยู่ ซีสต์มีขนาดโตขึ้นอย่างรวดเร็ว มีขนาดใหญ่มากสุดท้ายก็ต้องผ่าตัดในที่สุด
กระทู้นี้เราตั้งใจเขียนมาก เขียนขณะมาพักฟื้นอยู่ที่บ้านและยังคงเจ็บแผลอยู่ เขียนจากความทรงจำที่สดใหม่ เขียนจากใจ
จากความรู้สึกของเราทั้งหมดที่ได้รับจากการผ่าตัดครั้งนี้ เผื่อจะเป็นประโยชน์ต่อหญิงสาวคนอื่น ๆ ที่ป่วยเป็นโรคนี้ในวันข้างหน้า
ใครก็ตามที่เป็นโรคนี้ แรก ๆ คงรู้สึกทรมานใจ ทุกข์ใจ เครียดจัดอย่างที่เราเคยเป็น รู้สึกทำอะไรไม่ถูก เหมือนชีวิตไม่รู้จะมีความหวังอะไรต่อไปแล้ว
อยากให้พวกคุณรู้นะคะไม่ใช่มีแค่คุณคนเดียวที่เป็น ยังมีอีกหลายๆ คนที่ต้องเผชิญสถานการณ์เดียวกับคุณ คุณไม่ได้โดดเดี่ยว
ยังมีเพื่อนร่วมชะตากรรมเดียวกับคุณอีกมากมาย
ใครที่ได้เป็นโรคนี้แล้วย่อมอยากจะรู้รายละเอียดเกี่ยวกับโรคนี้ รวมถึงอยากรู้ขั้นตอนการรักษาด้วยวิธีการผ่าตัดซึ่งเป็นวิธีที่ดีที่สุด
ตอนที่เรารู้ว่าเป็นโรคนี้ใหม่ ๆ เราก็ค้นหา ตามอ่านข้อมูลกระทู้เก่า ๆ กระทู้ที่ระบายอารมณ์ความรู้สึก ความเครียด ความหดหู่ที่ต้องมาเป็นโรคนี้ ประสบการณ์การผ่าตัดจากสมาชิกท่านอื่น ๆ เป็นประโยชน์มากค่ะสำหรับคนป่วยที่ไม่รู้จะเริ่มต้นทำใจ และทำตัวยังไง จากการอ่านกระทู้เก่า ๆ
ของสมาชิกท่านอื่น ๆ ทำให้เราวางแผนการใช้ชีวิตและจัดระเบียบวินัยตัวเองในการใช้ชีวิตอยู่กับโรคนี้ได้ดีขึ้น ไม่ซึมเศร้าหดหู่มากมายนัก
เรียกว่าทำใจให้อยู่ร่วมกับมันให้ได้
เราจะเล่าในแบบชาวบ้านที่ได้รับประสบการณ์จากการเป็นโรคนี้และได้รับการรักษาด้วยวิธีการผ่าตัดแบบส่องกล้องนะคะ
โรคนี้เท่าที่ตามอ่านข้อมูลก่อนเข้ารับการผ่าตัดเห็นเรียกกันหลายชื่อค่ะ บางทีก็ช็อกโกแลตซีสต์ ถุงน้ำรังไข่ ซีสต์รังไข่
แต่ในทางการแพทย์เรียกว่าเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (endometriosis)
ประจำเดือนเรามาครั้งแรกตอนอายุ 13 ปี 8 เดือนกว่า ๆ สมัยวัยรุ่นก่อนจะอายุ 20 ปีเราไม่เคยปวดประจำเดือนเลย
จนกระทั่งเมื่ออายุ 20 ปีขึ้นก็เริ่มปวดประจำเดือนหน่อย ๆ แต่ไม่มากนัก ทนได้ ปวดแบบธรรมดา ปวดแบบอ่อนๆ หน่วง ๆ ถ่วงๆ
แค่วันสองวันแรก ก่อนจะอายุ 30 เราก็เคยมีปัญหาปวดประจำเดือนหนัก ๆ เป็นบางเดือน ปวดในระดับที่รุนแรงแต่สันนิษฐานได้ว่าเกิดจากอะไร
เช่น กินน้ำมะพร้าวก่อนมีเมนส์ มาเดือนนั้นปวดเมนส์แบบทุรนทุรายมากแบบเล็บจิกพื้นทีเดียว
หรือการกินอาหารเสริมพวกแคลเซียมจากแบรนด์ดังกินเสร็จไม่ถึง 10 นาทีดีปวดท้องเมนส์อย่างรุนแรง
แต่บางเดือนที่ออกกำลังกายเยอะๆ เดือนนั้นก็ไม่ปวดประจำเดือนเลย
ครั้นพออายุ 30 ปีขึ้น อาการปวดประจำเดือนก็เริ่มแรงขึ้น ๆ ทุกเดือน ตามอายุที่เพิ่มขึ้น ไม่มีทีท่าจะทุเลาเบาบางลง ขอออกนอกเรื่องหน่อยนะคะ เราก็มีกินพวกยาสตรีเป็นบางเดือนเหมือนกันพวกว่านชักมดลูก เบนโล เพ็ญภาค (กินแบบกินมั่งหยุดมั่งมาตั้งแต่อายุ 20 กว่าๆ) กินแบบเข้าใจผิดว่าการมีประจำเดือนออกมาก ๆ เป็นเรื่องดี ช่วงไหนเมนส์มาน้อยก็จะกิน แต่พอกินแล้วน้ำหนักขึ้นมาสัก 5 กิโลกรัมก็จะหยุดกินทันที ส่วนใหญ่กินติดต่อกันไม่เกิน 3 ขวดค่ะ พอรู้สึกอ้วนจะเลิกกินและหันมาลดน้ำหนักต่อ (แต่จริง ๆ การมีประจำเดือนออกมาก ๆ ไม่ดีนะคะ เป็นสัญญาณเตือนของโรคทางนรีเวช)
เราเคยคิดจะไปหาหมอเหมือนกันค่ะตอนที่อายุ 30 ต้น ๆ แอบสงสัยเหมือนกันว่าทำไมมันปวดประจำเดือนจัง อยากหาย แต่ก็กลัว ๆ หมอ กลัวจะเจอการตรวจภายในนี่แหละค่ะ ก็ผัดผ่อนตัวเองเรื่อยมา จนวันหนึ่งมันถึงจุดที่ทนไม่ไหว เพราะต้องเริ่มกินยาแก้ปวดแล้ว เรากินอัยบูแกนค่ะ มันทนไม่ไหว มันอยู่ในระดับที่ถ้าไม่กินยาแก้ปวดจะทำอะไรไม่ได้เลย เราไม่ถึงขนาดลงไปนอนกองหรือสลบนะคะ แต่มันปวดจนหงุดหงิด ทรมาน ไม่มีสมาธิจะทำอะไรได้เลย ถ้านั่งนิ่ง ๆ ไม่ขยับตัวจะปวดประจำเดือนมาก ทรมานสุด ๆ
เราตัดสินใจไปหาสูตินรีแพทย์ก็ตอนอายุ 34 ปี 8 เดือน 23 วัน นี่แหละค่ะ ไม่ได้เจาะจงจะเอาหมอคนไหนเป็นพิเศษ ไปหาที่โรงพยาบาลรามาธิบดี คลินิกพิเศษ ตรงอาคาร 1 ชั้น 2 ไปวันที่ 9 พฤศจิกายน 2560 หมอที่ตรวจเป็นหมอผู้ชายค่ะ เราเข้าไปถึงก็บอกว่าปวดประจำเดือนค่ะ หมอก็ถามว่าประจำเดือนมาเยอะไหม ใช้ผ้าอนามัยวันละกี่แผ่น (มันตอบยากนะ เพราะผ้าอนามัยปัจจุบันนี้มีหลายรูปแบบ กลางวันก็มีแบบหนา แบบบาง มามากมาน้อยแยกสายผลิตภัณฑ์ไป กลางคืนก็มียาวถึง 42 เซนติเมตรให้ใช้ ยิ่งมีความจุเลือดประจำเดือนมาก เราก็ใช้ผ้าอนามัยน้อยลง) เราก็บอกว่ากลางวันใช้ประมาณ 6 แผ่นแบบหนา (คือมันก็ไม่ได้เต็มแผ่นหรอกนะคะ ถึงเปลี่ยน แต่เปลี่ยนทุก 3-4 ชั่วโมงเพื่อสุขอนามัย) กลางคืนใช้แบบ 42 เซนติเมตร เราว่าของเรามาไม่เยอะค่ะ จะมากแค่สองสามวันแรก จะมีปวดนำร่องก่อนประจำเดือนมาประมาณ 2 วัน ก่อนจะมีเลือดหยด ๆ ออกมาก่อน 1 วัน ถึงจะเป็นประจำเดือนแบบชุดใหญ่ มีก้อนลิ่มเลือดหนา ๆ ออกมาด้วย และจะปวดท้องหนักมาก มีประจำเดือนประมาณ 7 วัน แต่ในช่วง 7 วันนี้บางวันก็เลือดมาหยดเดียว ยิ่งวันท้าย ๆ จะเป็นสีน้ำตาล มีประจำเดือนไม่เคยเกิน 7 วัน
หมอถามว่าร่วมเพศเจ็บไหม เราตอบว่าไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ หมอคงว่าเราโกหกอะค่ะ หมอบอกว่างั้นไปนอนเลย (เราก็หน้าตางง ๆ ไม่คิดว่าจะถูกขึ้นขาหยั่ง ) ยังนั่งงง ๆ อีก จนหมอต้องย้ำว่า ไปนอน เราก็รู้สึกเสียวขึ้นมาเลย กลัวจะเจออะไรที่รุนแรง แต่ก็เดินไปที่ห้องตรวจ พยาบาลให้ถอดกางเกงยีนส์ กางเกงใน ใส่ผ้าถุงของโรงพยาบาลแล้วขึ้นไปนอนบนเตียงตรวจ ซึ่งเตียงตรวจนี่หลอนมากค่ะ ต้องเอาขาขึ้นไปพาดให้ถ่างออกจากกัน แล้วอยู่ในท่าที่อ้าซ่า ส่วนสงวนนั้นเปิดอ้าเต็มที่ ก็อายอยู่นะคะ หมอเป็นผู้ชายด้วย แต่ก็คิดว่าหมอคงเห็นมาเยอะแล้ว พอหมอเข้ามาเราก็พยายามนอนมองเพดานห้องตรวจไว้ บอกตัวเองว่าอย่ากลัว ทั้งที่สติจะแตก
พอหมอมาถึงก็เอา speculum จ่อแล้วกดลงไปในช่องคลอด แต่เราร้องลั่นทนเจ็บไม่ไหว ทำยังไงก็เอาเข้าไม่ได้ เราร้องเสียงดัง ดิ้นด้วยเกร็งไปหมด เมื่อไม่สำเร็จ หมอจึงเอาเครื่องอัลตร้าซาวด์อีกแบบมาตรวจแทน โดยใส่เข้าทางทวารหนักซึ่งก็เจ็บมากอยู่ เราเกร็ง ขมิบทวารหนักแบบอัตโนมัติ เรารู้ตอนนั้นเลยทั้งช่องคลอดและทวารหนักต้องเป็นแผลแหง ๆ เราเจ็บจนเป็นลม หน้ามืดไปบนขาหยั่งชั่วขณะ (แต่ก็ฟื้นได้เอง)
หลังจากเอาเครื่องอัลตร้าซาวด์เข้าทางทวารหนักหมอก็พบก้อนช็อกโกแลตซีสต์ขนาด 5 เซนติเมตรกว่าในรังไข่ข้างหนึ่ง (ตอนนั้นหมอผู้ชายบอกว่าข้างซ้าย) พอหมอเอาเครื่องอัลตร้าซาวด์ที่เป็นแท่ง ๆ ออกจากทวารหนัก หมอก็พยายามเอา speculum พยายามจะใส่เข้าในช่องคลอดเราอีกครั้ง แต่ก็ใส่ไม่ได้เพราะเราทนเจ็บไม่ไหว (ข้อเสียของการไม่เคยมีเซ็กส์มาก่อน เวลาจะตรวจภายในคือมันจะลำบากยากเย็นมาก เจ็บปวดแสบทรมานจริง ๆ คิดตอนนี้ก็ยังกลุ้ม เมื่อจะต้องเจอการตรวจแบบนี้อีกเรื่อย ๆ)
พอหมอออกจากห้องไป เราก็ใส่กางเกงในตามด้วยกางเกงยีนส์มันเหนอะหนะไปหมด แหยงๆ ตัวเอง มีความรู้สึกว่าเลือดต้องไหล เพราะการตรวจทางทวารหนักจึงได้กลิ่นอุจจาระตัวเองลอยอวลอยู่ เราเดินออกจากห้องตรวจมานั่งหน้าโต๊ะหมอ หมอก็บอกว่าเราเป็นโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่แล้วก็อธิบายว่ามันเกิดได้ยังไง หมอบอกเยื่อมดลูกเจริญผิดที่นี้แทรกตัวอยู่ในกล้ามเนื้อมดลูก ในมดลูกก็มีพังผืด ถ้าจะให้หายก็ต้องตัดมดลูกทิ้งถึงจะหายปวดประจำเดือน แต่เราอายุยังน้อยอยู่ ยังไม่อยากให้ตัดเพราะเผื่ออยากมีลูก ส่วนในรังไข่ก็มีช็อกโกแลตซีสต์ขนาด 5 เซนติเมตรกว่า ๆ อยู่ หมอถาม
ว่าจะรักษาแบบไหนดี
1.กินยาคุมกำเนิด (จะยังมีประจำเดือน)
2. ฉีดยาคุมกำเนิด (ประจำเดือนอาจมาแบบกระปริดกระปรอย อาจมีฝ้าขึ้น น้ำหนักขึ้น หรืออาจไม่มีประจำเดือนไหลเลย)
3. ผ่าตัด เป็นวิธีการรักษาที่ดีที่สุด มีทั้งแบบเปิดหน้าท้อง และแบบส่องกล้อง (ส่องกล้องจะแพงกว่า แผลเล็ก เสียเลือดน้อย ลดการเกิดพังผืดหลังผ่าตัดได้ดีกว่า)
ตอนนั้นตกใจทำอะไรไม่ถูก ตายละชั้นจะทำไง เป็นได้ไงเนี่ย อุตส่าห์ดูแลเรื่องอาหารการกิน กินแต่ของดี ๆ มาตลอด กินผักก็เยอะกว่าเนื้อสัตว์ ไม่กินของหวาน มีวินัยการกินเพื่อความงามอย่างเคร่งครัดมาตลอด ในใจฟูมฟายสติแตกมาก หมอถามว่าจะเอาไง ก็ยังมึน ๆ งง ๆ ทำอะไรไม่ถูก เบลอไปหมดก็เลยเลือกรักษาแบบกินยาคุมกำเนิด ทั้งที่เคยอ่านเจอมาว่ายาคุมกำเนิดทำให้อ้วน แต่ก็อยากคงภาวะเดิมให้มากที่สุด คือ ยังอยากมีประจำเดือนอยู่
หลังจากกลับมาจากหาหมอวันนั้น ก็ร้องไห้สติแตกอยู่หลายวัน ค้นอ่านข้อมูลเกี่ยวกับโรคนี้อย่างเอาเป็นเอาตาย ยิ่งอ่านก็ยิ่งกลุ้ม ยิ่งเครียด ยาคุมกำเนิดที่ได้มาก็ยังไม่กล้ากิน มองแบบสยอง ๆ กลัวอ้วน กลัวความสวยลดลงกว่าเดิมอะไรแบบนี้ หนึ่งสัปดาห์ต่อมาหลังจากอ่านข้อมูลมาพอสมควร รู้ว่าทางรักษาที่มีประสิทธิภาพที่สุดคือ การผ่าตัด จึงกลับไปหาหมอใหม่ และตัดสินใจผ่าตัดในที่สุด เลือกผ่าแบบส่องกล้องค่ะ อยากได้แผลเป็นที่เล็กที่สุด แค่นี้ก็หดหู่พอละ หน้าท้องเรียบ ๆ สะดือสวยๆ จะต้องเป็นแผลเป็น
(มีต่อ...)