คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 117
ขอแชร์ประสบการณ์การทำงานของตัวเองนะคะ 3 ปี 4 ที่ทำงานไม่มีกั๊ก
ขอเรียกตัวเองว่าพี่(พี่คาดว่าคุณน่าจะอายุน้อยกว่า) พี่เริ่มทำงานที่แรกเปนเลขานุการบ.รถยนต์ เงินเดือน+ประกันสังคม ประมาณ 15000 เท่าวุฒิปริญญาตรี หน้าที่งานคือทำทุกอย่าง รวมทั้งงานทำโซเชี่ยล(สื่อประชาสัมพันธ์) งานสนุกดี แต่กดดันพอตัว พี่ไม่ถนัดแต่ทำได้แค่ 5 เดือน ก็ออก เพราะอยากทำงานบริการ
ที่ทำงานที่สอง พี่เริ่มงานเปนเจ้าหน้าที่ประจำพิพิธภัณฑ์แห่งหนึ่ง เงินเดือนเท่าเดิม แต่ได้หยุด 2วันไม่ตรงเสาร์-อาทิตย์ ในกรณีที่ผ่านโปร พี่ทำมาประมาณ 1ปี 6 เดือน จริงๆพี่ตั้งใจจะทำให้ครบ2ปีนะ แต่มีบางอย่างทำให้พี่ลาออกมาค่ะ พี่ตั้งใจทุ่มเท แต่สุดท้าย ใจแลกใจใช้ไม่ได้กับทุกคน พี่เลยตัดสินใจลาออกค่ะ ไม่คิดจะย้อนกลับไปด้วย
ที่ทำงานที่3 พี่ทำงานเปนครูสอนภาษาอังกฤษ ทำมา4เดือน สนุกดีคะ เจอเด็กๆ(ของพี่สอนเด็กประถมต้น)แต่เจอการไม่ผ่านโปร ออกสิคะรอไร เสียดายเวลาดีๆที่อยู่กับเด็กๆแต่ก็อนาคตเราด้วย เงินเดือน+สวัสดิการดี. เกือบ 17,500บาท(รวมค่าสอนพิเศษ+อาหารกลางวัน+เบี้ยขยันมาทำงานไม่สาย)แต่งานหนักพอสมควร พี่ทำงานด้วยเรียนปริญญาโทด้วย แล้วไม่ขยันค่ะ เลยเกรดออกมาแบบไปวัดไปวา ไม่สวยหรูเท่าไร
งานล่าสุด ทำตั้งแต่เดือนพ.ค.-มี.ค. เปนงานคอลเซนเตอร์ภาษาอังกฤษค่ะ ทำให้หน่วยงานรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่ง เงินเดือนเกือบ 17000บาทค่ะ(ขอไม่บอกนะ นี่คือตัวเลขคร่าวๆ) ถือว่าโอเค พอมีพอใช้ พอมีเก็บ พี่ชอบเกบเงินเผื่อมีเหตุฉุกเฉิน ไม่ค่อยใช้เงินมาก ถ้าจะหมดก็จ่ายค่าหอค่ะ (บ้านไกลจากที่ทำงาน เลยหาหออยู่ค่ะ) แต่เงินเก็บพี่ก็พอสมควรนะ พี่เปนโสด ชอบทำงาน ไม่ชอบอยู่ว่างๆไง ข้อดีอยู่ตรงนี้
ทุกอาชีพมีค่าเท่ากันหมดค่ะ เราเพิ่งจบมาใช่ไหม ลองทำงานให้เต็มที่เต็มความสามารถ ไปๆมาๆเงินปรับขึ้นเองค่ะ แล้วความสุขจะตามมา อันนี้พี่พูดถึงกรณีเจ้าของบริษัทตั้งใจจะรักษาทรัพยากรมนุษย์ไว้นะ เขาจะให้ค่าตอบแทน+สวัสดิการแบบสมน้ำสมเนื้อหากคุณตั้งใจทำงานให้เต็มที่เต็มเวลา อย่าไปคิดมาก ลองคำนวณรายรับรายจ่ายดีๆมีเงินเก็บระหว่างทำงานแน่นอน
เรื่องเงินเดือน พี่ถือว่าพี่ทำงานตามความสามารถ พี่ไม่เลือกงาน แต่ถ้าหากจะเลือกพี่ก็จะต้องพิจารณาตามหัวข้อที้เรียกว่า work life balance คือไม่กระทบเรื่องการเรียนปริญญาโทของพี่ด้วย
ขอให้โชคดี
ขอเรียกตัวเองว่าพี่(พี่คาดว่าคุณน่าจะอายุน้อยกว่า) พี่เริ่มทำงานที่แรกเปนเลขานุการบ.รถยนต์ เงินเดือน+ประกันสังคม ประมาณ 15000 เท่าวุฒิปริญญาตรี หน้าที่งานคือทำทุกอย่าง รวมทั้งงานทำโซเชี่ยล(สื่อประชาสัมพันธ์) งานสนุกดี แต่กดดันพอตัว พี่ไม่ถนัดแต่ทำได้แค่ 5 เดือน ก็ออก เพราะอยากทำงานบริการ
ที่ทำงานที่สอง พี่เริ่มงานเปนเจ้าหน้าที่ประจำพิพิธภัณฑ์แห่งหนึ่ง เงินเดือนเท่าเดิม แต่ได้หยุด 2วันไม่ตรงเสาร์-อาทิตย์ ในกรณีที่ผ่านโปร พี่ทำมาประมาณ 1ปี 6 เดือน จริงๆพี่ตั้งใจจะทำให้ครบ2ปีนะ แต่มีบางอย่างทำให้พี่ลาออกมาค่ะ พี่ตั้งใจทุ่มเท แต่สุดท้าย ใจแลกใจใช้ไม่ได้กับทุกคน พี่เลยตัดสินใจลาออกค่ะ ไม่คิดจะย้อนกลับไปด้วย
ที่ทำงานที่3 พี่ทำงานเปนครูสอนภาษาอังกฤษ ทำมา4เดือน สนุกดีคะ เจอเด็กๆ(ของพี่สอนเด็กประถมต้น)แต่เจอการไม่ผ่านโปร ออกสิคะรอไร เสียดายเวลาดีๆที่อยู่กับเด็กๆแต่ก็อนาคตเราด้วย เงินเดือน+สวัสดิการดี. เกือบ 17,500บาท(รวมค่าสอนพิเศษ+อาหารกลางวัน+เบี้ยขยันมาทำงานไม่สาย)แต่งานหนักพอสมควร พี่ทำงานด้วยเรียนปริญญาโทด้วย แล้วไม่ขยันค่ะ เลยเกรดออกมาแบบไปวัดไปวา ไม่สวยหรูเท่าไร
งานล่าสุด ทำตั้งแต่เดือนพ.ค.-มี.ค. เปนงานคอลเซนเตอร์ภาษาอังกฤษค่ะ ทำให้หน่วยงานรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่ง เงินเดือนเกือบ 17000บาทค่ะ(ขอไม่บอกนะ นี่คือตัวเลขคร่าวๆ) ถือว่าโอเค พอมีพอใช้ พอมีเก็บ พี่ชอบเกบเงินเผื่อมีเหตุฉุกเฉิน ไม่ค่อยใช้เงินมาก ถ้าจะหมดก็จ่ายค่าหอค่ะ (บ้านไกลจากที่ทำงาน เลยหาหออยู่ค่ะ) แต่เงินเก็บพี่ก็พอสมควรนะ พี่เปนโสด ชอบทำงาน ไม่ชอบอยู่ว่างๆไง ข้อดีอยู่ตรงนี้
ทุกอาชีพมีค่าเท่ากันหมดค่ะ เราเพิ่งจบมาใช่ไหม ลองทำงานให้เต็มที่เต็มความสามารถ ไปๆมาๆเงินปรับขึ้นเองค่ะ แล้วความสุขจะตามมา อันนี้พี่พูดถึงกรณีเจ้าของบริษัทตั้งใจจะรักษาทรัพยากรมนุษย์ไว้นะ เขาจะให้ค่าตอบแทน+สวัสดิการแบบสมน้ำสมเนื้อหากคุณตั้งใจทำงานให้เต็มที่เต็มเวลา อย่าไปคิดมาก ลองคำนวณรายรับรายจ่ายดีๆมีเงินเก็บระหว่างทำงานแน่นอน
เรื่องเงินเดือน พี่ถือว่าพี่ทำงานตามความสามารถ พี่ไม่เลือกงาน แต่ถ้าหากจะเลือกพี่ก็จะต้องพิจารณาตามหัวข้อที้เรียกว่า work life balance คือไม่กระทบเรื่องการเรียนปริญญาโทของพี่ด้วย
ขอให้โชคดี
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 15
สตาร์ท หมายถึง เริ่มต้น ....
ทำไมต้องเริ่มต้น เพราะ เค้ายังไม่รู้ว่าคุณจะมี "ประสิทธิภาพ" กี่มากน้อยไงครับ ... คุณเอากระดาษใบเดียวไปการันตีว่าคุณเก่งเกินใคร ? คุณรู้หรือไม่ คนที่จบ ป.ตรี พร้อมกับคุณ มีกี่แสนคน ?
คุณเรียน คนอื่นก็เรียน คุณจบ คนอื่นเค้าก็จบ ... จบยังไง ? ก็ต้องผ่านเกณฑ์ที่กำหนด คือ การสอบ ใช่หรือไม่ ? คุณสอบผ่าน เค้าก็สอบฝ่าย โดยตำราเดียวกัน
แล้วโลกแห่งการทำงานจริง มันไม่เหมือนกับเรียนหนังสือ และสอบไล่ ไงครับ มันมีอะไรที่ต้องวัดผลมากกว่ากระดาษใบเดียว ที่ถูกวัดผลด้วยโจทย์คำถามเดียวกัน .... จริงอยู่ มันก็พอจะช่วยรับประกันได้บ้างว่าคุณ "มีประสิทธิพอที่จะทำงาน" แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะทำได้ดีทั้งหมด ...
" จ่ายค่าที่พัก ค่ากิน ค่าน้ำมัน ตังจะเหลือเก็บจากไหนคะ .................."
ผมตกใจเรื่องค่าน้ำมัน ? และประหลาดใจมาก แต่กระนั่น ก็เถอะ คุณอาจจะจำเป็นต้องใช้รถส่วนตัว แต่ถ้าคุณยังไม่พร้อม ตัดออกได้มั้ยล่ะ ถ้ารถส่วนตัวของคุณ มันไม่ได้ก่อให้เกิดรายได้
".................. ไม่ว่าจะหน่วยงานรัฐบาล/เอกชน ไม่สงสารคนจนๆจบปริญญาตรี ต้องมาใช้หนี้กยส ที่เรียนมาอีก ไหนจะต้องภาระค่าใช้จ่ายของครอบครัวที่ทุกคนฝากความหวังเอาไว้เมื่อลูกเรียนจบรับปริญญาจะได้ช่วยแบ่งเบาภาระต่างๆได้................."
รัฐก็สงสารไงครับ จึงต้องมีโครงการ กยส. มาให้โอกาสคนที่มีรายได้น้อยได้ศึกษา ถ้าคุณคิดว่า การใช้หนี้ กยส. ค้ือ ภาระ ผมคิดว่าไม่ใช่แล้วครับ เค้าเรียกว่า โอกาส เพียงแต่ บางคนอาจจะมองเห็นโอกาสไม่เหมือนกัน ใช้มันให้เกิดผลไม่เท่ากัน ก็แค่นั้นเอง
การจบปริญญานั้น ไม่ใช่จุดสิ้นสุด ของความหวังครับ มันคือจุดเริ่มต้นต่างหาก .... การช่วยลดค่าใช้จ่าย ไม่ฟุ่มเฟือย ก็เป็นการแบ่งเบาภาระได้อีกหนึ่งเหมือนกันนะครับ เช่น ค่าน้ำมัน เป็นต้น
" ...........น่าสงสารมนุษย์เงินเดือนอย่างพวกเราๆนะคะ เสียเงินเรียนมาแทบตาย สุดท้ายมาจบที่เงินเดือนไม่ถึงหมื่นห้าไหนจะค่าภาษีที่อาจจะเก็บเพิ่มขึ้น .........."
เสียเงินเรียน หรือ กู้ยืม กยส. ครับ ? ไม่มีใครตายเพราะเรียนครับ แต่ถ้าไม่เรียนอาจจะตายได้ .... เงินเดือน ไม่ถึงหมื่นห้านั้น มันไม่อยู่กับคุณตลอดไปหรอกครับ มันสามารถเพิ่มพูนขึ้นได้ครับ ซึ่ง มันก็ขึ้นอยู่กับคุณ ว่าคุณมีความสามารถ มีประสิทธิภาพ มีการการพัฒนาตนเอง เพิ่มขึ้น ควรค่าแก่เงินเดือนที่มากกว่าหมื่นห้า หรือไม่ ... เรื่องภาษี อาจจะต้องไปศึกษาเสียใหม่นะครับ รายได้ 15000 บาท เสียภาษีเท่าไหร่ อย่างไร แต่ค่าประกันสังคม คงมี
" ...............พอจะหารายได้เสริมเพื่อนร่วมงานก้เขม่น ชีวิตที่ต้องคอยแคร์คนอื่นนี่อยู่ยากจังเลยคะ ...."
ถ้าตัดรายจ่าย "ที่ไม่จำเป็นออก" บางที ก็ยังไม่ต้องหารายได้เสริมก็ได้ครับ หรือหากต้องการหารายได้เสริม ผมแนะนำให้คุณทำงานในรายได้หลัก ให้เต็มกำลัง และเต็มประสิทธิภาพก่อนครับ .... เพราะถ้างานหลักคุณทำได้ไม่ดี รายได้เสริมคุณก็ทำไม่ได้หรอก อย่าเพิ่งไปเพ่งโทษคนอื่นว่าเค้าจะ เขม่น อะไร ถ้าเราแบ่งเวลาได้ ทำอะไรบนพื้นฐานของความไม่เอารัดเอาเปรียนใคร ก็ไม่เห็นต้องแคร์ใครนิครับ แต่ถ้าคุณมีจิตใจเห็นแก่ตัว ใช้เวลาการทำงานหลัก ไปห่ารายได้เสริม แล้วไปกินแรงเพื่อน อันนี้ไม่ใช่ครับ วิธีการลดความเห็นแก่ตัว คือ ... เลิกความคิด เรื่องการใช้หนี้ กยส. ว่าเป็นภาระได้แล้ว ครับ
" ............แนะนำหน่อยคะเราควรจะทำงานเสริมเพิ่มเติมให้ได้เงินสูงขึ้นจากที่ไหน วอนผู้รู้ช่วยคลายข้อสงสัยหน่อยนะคะ ....."
ไม่มีคำแนะนำครับ
อาจจะแนะนำว่า มีบริษัทฯ หลายแห่ง ที่เงินเดือนเริ่มต้น มากกว่า 15000 ครับ ลองไปสมัครดูนะครับ ได้ไม่ได้อย่างไร ค่อยมาพิจารณาดูตัวเอง ครับ
ทำไมต้องเริ่มต้น เพราะ เค้ายังไม่รู้ว่าคุณจะมี "ประสิทธิภาพ" กี่มากน้อยไงครับ ... คุณเอากระดาษใบเดียวไปการันตีว่าคุณเก่งเกินใคร ? คุณรู้หรือไม่ คนที่จบ ป.ตรี พร้อมกับคุณ มีกี่แสนคน ?
คุณเรียน คนอื่นก็เรียน คุณจบ คนอื่นเค้าก็จบ ... จบยังไง ? ก็ต้องผ่านเกณฑ์ที่กำหนด คือ การสอบ ใช่หรือไม่ ? คุณสอบผ่าน เค้าก็สอบฝ่าย โดยตำราเดียวกัน
แล้วโลกแห่งการทำงานจริง มันไม่เหมือนกับเรียนหนังสือ และสอบไล่ ไงครับ มันมีอะไรที่ต้องวัดผลมากกว่ากระดาษใบเดียว ที่ถูกวัดผลด้วยโจทย์คำถามเดียวกัน .... จริงอยู่ มันก็พอจะช่วยรับประกันได้บ้างว่าคุณ "มีประสิทธิพอที่จะทำงาน" แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะทำได้ดีทั้งหมด ...
" จ่ายค่าที่พัก ค่ากิน ค่าน้ำมัน ตังจะเหลือเก็บจากไหนคะ .................."
ผมตกใจเรื่องค่าน้ำมัน ? และประหลาดใจมาก แต่กระนั่น ก็เถอะ คุณอาจจะจำเป็นต้องใช้รถส่วนตัว แต่ถ้าคุณยังไม่พร้อม ตัดออกได้มั้ยล่ะ ถ้ารถส่วนตัวของคุณ มันไม่ได้ก่อให้เกิดรายได้
".................. ไม่ว่าจะหน่วยงานรัฐบาล/เอกชน ไม่สงสารคนจนๆจบปริญญาตรี ต้องมาใช้หนี้กยส ที่เรียนมาอีก ไหนจะต้องภาระค่าใช้จ่ายของครอบครัวที่ทุกคนฝากความหวังเอาไว้เมื่อลูกเรียนจบรับปริญญาจะได้ช่วยแบ่งเบาภาระต่างๆได้................."
รัฐก็สงสารไงครับ จึงต้องมีโครงการ กยส. มาให้โอกาสคนที่มีรายได้น้อยได้ศึกษา ถ้าคุณคิดว่า การใช้หนี้ กยส. ค้ือ ภาระ ผมคิดว่าไม่ใช่แล้วครับ เค้าเรียกว่า โอกาส เพียงแต่ บางคนอาจจะมองเห็นโอกาสไม่เหมือนกัน ใช้มันให้เกิดผลไม่เท่ากัน ก็แค่นั้นเอง
การจบปริญญานั้น ไม่ใช่จุดสิ้นสุด ของความหวังครับ มันคือจุดเริ่มต้นต่างหาก .... การช่วยลดค่าใช้จ่าย ไม่ฟุ่มเฟือย ก็เป็นการแบ่งเบาภาระได้อีกหนึ่งเหมือนกันนะครับ เช่น ค่าน้ำมัน เป็นต้น
" ...........น่าสงสารมนุษย์เงินเดือนอย่างพวกเราๆนะคะ เสียเงินเรียนมาแทบตาย สุดท้ายมาจบที่เงินเดือนไม่ถึงหมื่นห้าไหนจะค่าภาษีที่อาจจะเก็บเพิ่มขึ้น .........."
เสียเงินเรียน หรือ กู้ยืม กยส. ครับ ? ไม่มีใครตายเพราะเรียนครับ แต่ถ้าไม่เรียนอาจจะตายได้ .... เงินเดือน ไม่ถึงหมื่นห้านั้น มันไม่อยู่กับคุณตลอดไปหรอกครับ มันสามารถเพิ่มพูนขึ้นได้ครับ ซึ่ง มันก็ขึ้นอยู่กับคุณ ว่าคุณมีความสามารถ มีประสิทธิภาพ มีการการพัฒนาตนเอง เพิ่มขึ้น ควรค่าแก่เงินเดือนที่มากกว่าหมื่นห้า หรือไม่ ... เรื่องภาษี อาจจะต้องไปศึกษาเสียใหม่นะครับ รายได้ 15000 บาท เสียภาษีเท่าไหร่ อย่างไร แต่ค่าประกันสังคม คงมี
" ...............พอจะหารายได้เสริมเพื่อนร่วมงานก้เขม่น ชีวิตที่ต้องคอยแคร์คนอื่นนี่อยู่ยากจังเลยคะ ...."
ถ้าตัดรายจ่าย "ที่ไม่จำเป็นออก" บางที ก็ยังไม่ต้องหารายได้เสริมก็ได้ครับ หรือหากต้องการหารายได้เสริม ผมแนะนำให้คุณทำงานในรายได้หลัก ให้เต็มกำลัง และเต็มประสิทธิภาพก่อนครับ .... เพราะถ้างานหลักคุณทำได้ไม่ดี รายได้เสริมคุณก็ทำไม่ได้หรอก อย่าเพิ่งไปเพ่งโทษคนอื่นว่าเค้าจะ เขม่น อะไร ถ้าเราแบ่งเวลาได้ ทำอะไรบนพื้นฐานของความไม่เอารัดเอาเปรียนใคร ก็ไม่เห็นต้องแคร์ใครนิครับ แต่ถ้าคุณมีจิตใจเห็นแก่ตัว ใช้เวลาการทำงานหลัก ไปห่ารายได้เสริม แล้วไปกินแรงเพื่อน อันนี้ไม่ใช่ครับ วิธีการลดความเห็นแก่ตัว คือ ... เลิกความคิด เรื่องการใช้หนี้ กยส. ว่าเป็นภาระได้แล้ว ครับ
" ............แนะนำหน่อยคะเราควรจะทำงานเสริมเพิ่มเติมให้ได้เงินสูงขึ้นจากที่ไหน วอนผู้รู้ช่วยคลายข้อสงสัยหน่อยนะคะ ....."
ไม่มีคำแนะนำครับ
อาจจะแนะนำว่า มีบริษัทฯ หลายแห่ง ที่เงินเดือนเริ่มต้น มากกว่า 15000 ครับ ลองไปสมัครดูนะครับ ได้ไม่ได้อย่างไร ค่อยมาพิจารณาดูตัวเอง ครับ
ความคิดเห็นที่ 22
บริษัท ไม่ได้ต้องการ ใบปริญญาตรี ที่หิ้วมายี่นสมัครงาน
ในบริษัท มีเยอะแล้ว ปริญญาโท/เอก ก็มีไม่น้อย
เขาจ่ายเงินค่าจ้าง แลก ผลงาน ที่ลูกจ้างทำได้
เขาจ่าย 1, 2, 3, 4, 5 หมื่น ตามฝีมือ ของแต่ละคน
เลิกอ้างได้แล้ว
เรียนมายากลำบาก เป็นหนี้เป็นสิน ทุกข์สาหัส ต้องเลี้ยงครอบครัว....
ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับ ค่าจ้างแรงงาน
คนเก่งๆ ราคาแพง เขาก็สู้ เต็มใจจ่าย
แต่ทำอะไรไม่เป็นเลย มีกระดาษมาแผ่นเดียว
มาทำให้เปล่าๆ ยังกลัวจะเสียงานเสียการ พลาดพลั้ง เจ๊งเอาง่ายๆ อีกด้วย
ในบริษัท มีเยอะแล้ว ปริญญาโท/เอก ก็มีไม่น้อย
เขาจ่ายเงินค่าจ้าง แลก ผลงาน ที่ลูกจ้างทำได้
เขาจ่าย 1, 2, 3, 4, 5 หมื่น ตามฝีมือ ของแต่ละคน
เลิกอ้างได้แล้ว
เรียนมายากลำบาก เป็นหนี้เป็นสิน ทุกข์สาหัส ต้องเลี้ยงครอบครัว....
ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับ ค่าจ้างแรงงาน
คนเก่งๆ ราคาแพง เขาก็สู้ เต็มใจจ่าย
แต่ทำอะไรไม่เป็นเลย มีกระดาษมาแผ่นเดียว
มาทำให้เปล่าๆ ยังกลัวจะเสียงานเสียการ พลาดพลั้ง เจ๊งเอาง่ายๆ อีกด้วย
แสดงความคิดเห็น
ทำไมจบปริญญาตรีมา ฐานเงินเดือนไม่สตาร์ทที่15,000 เท่ากันทุกบริษัท มีความเศร้าเรียนเอาใบปริญญามาเพื่ออะไร