๛ มุนีและปฏิปทาของมุนี ๛

ขอกราบไหว้พระรัตนตรัยด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง

------------------

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต


นาลกสูตร
ว่าด้วยนาลกดาบสทูลถามปัญหา


[เมื่อพระโพธิสัตว์แรกประสูติ อสิตฤาษีได้เห็นท้าวสักกะและเทวดาทั้งหลายมีความยินดีเบิกบาน
จึงได้รู้ว่าพระโพธิสัตว์ได้เกิดแล้วในมนุษย์โลก
เมื่อพระโพธิสัตว์ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และทรงแสดงธัมมจักกัปปวัตตนสูตรแล้ว
นาลกดาบสผู้เป็นหลานของอสิตฤาษีได้มาทูลถามพระผู้มีพระภาคถึงปฏิปทาอันสูงสุดของมุนี]


        (นาลกดาบสทูลถามดังนี้)
         [๗๐๕] ข้าแต่พระโคดม คำของอสิตฤๅษีนั้น
                 ข้าพระองค์ได้รู้ว่า เป็นจริงตามที่กล่าวแล้ว
                 เพราะเหตุนั้น ข้าพระองค์ขอทูลถามพระองค์
                 ผู้ถึงฝั่งแห่งธรรมทั้งปวง

         [๗๐๖] พระองค์ผู้อันข้าพระองค์ทูลถามแล้ว
                 ขอจงตรัสบอกมุนีและปฏิปทาอันสูงสุดของมุนีแห่งบรรพชิต
                 ผู้แสวงหาการเที่ยวไปเพื่อภิกษา แก่ข้าพระองค์เถิด


         (พระผู้มีพระภาคตรัสตอบดังนี้)
         [๗๐๗] เราจักพยากรณ์ปฏิปทาของมุนีที่ปฏิบัติได้ยาก
                 ทั้งให้เกิดความยินดีได้ยากแก่เธอ
                 เอาเถิด เราจะบอกปฏิปทาของมุนีนั้นแก่เธอ
                 เธอจงช่วยเหลือตนเอง จงเป็นผู้มั่นคงเถิด


         [๗๐๘] มุนีพึงทำทั้งคำด่าและการกราบไหว้
                 ในหมู่บ้านให้มีส่วนเสมอกัน
                 คือพึงรักษาจิตไม่ให้คิดร้าย เป็นผู้สงบ
                 ไม่ฟุ้งซ่านเที่ยวไป
                 [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

         [๗๐๙] อารมณ์สู่งต่ำ๑- เปรียบเหมือนเปลวไฟในป่าย่อมปรากฏ
                 นารีมักประเล้าประโลมมุนี
                 เธอจงระวังอย่าให้นางประเล้าประโลมได้
                 [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

         [๗๑๐] มุนีพึงงดเว้นจากเมถุนธรรม
                 ละกามคุณทั้งที่ประณีตและไม่ประณีต
                 ไม่ยินดียินร้ายในสัตว์ผู้ยังหวาดสะดุ้งและที่มั่นคง

         [๗๑๑] มุนีพึงทำตนให้เป็นอุปมาว่า เราฉันใด
                 สัตว์เหล่านี้ก็ฉันนั้น
                 สัตว์เหล่านี้ฉันใด เราก็ฉันนั้น ดังนี้แล้ว
                 ไม่ฆ่าเอง ไม่ใช้ให้ผู้อื่นฆ่า

         [๗๑๒] มุนีละความปรารถนาและความโลภในปัจจัย ๔
                 ที่ปุถุชนพากันหลงยึดติดได้แล้ว เป็นผู้มีจักษุ
                 ปฏิบัติปฏิปทาของมุนี
                 ก็จะข้ามพ้นความทะยานอยากในปัจจัยซึ่งเป็นดุจเหวลึกนี้ได้

         [๗๑๓] มุนีควรเป็นผู้มีท้องพร่อง ฉันอาหารแต่พอประมาณ
                 มีความปรารถนาน้อย ปราศจากความละโมบ
                 หมดความกระหายหิวด้วยความอยาก ไม่มีความอยากอีกต่อไป
                 ดับความเร่าร้อนได้ตลอดกาล

         [๗๑๔] มุนีนั้นเที่ยวรับบิณฑบาตแล้ว ควรเข้าไปชายป่าทันที
                 ยืนหรือนั่งที่โคนต้นไม้ชายป่านั้น

         [๗๑๕] มุนีนั้นควรจะขวนขวายในฌาน ทรงปัญญา
                 ยินดีอยู่เฉพาะในชายป่า
                 ควรเพ่งพินิจ ทำตนให้ยินดียิ่ง ณ โคนต้นไม้นั้น

         [๗๑๖] จากนั้น เมื่อราตรีสว่างแล้ว
                 มุนีควรเข้าไปสู่บริเวณหมู่บ้าน
                 ไม่ควรยินดีรับนิมนต์ฉันที่เรือน
                 และอาหารที่เขานำมาจากบ้านถวายเจาะจง

         [๗๑๗] มุนีเข้าไปถึงหมู่บ้านแล้ว
                 ไม่ควรรีบร้อนเข้าไปเรือนตระกูลอุปัฏฐาก
                 เป็นผู้ตัดการพูดคุย ไม่ควรกล่าววาจาเกี่ยวกับการแสวงหาของกิน

         [๗๑๘] มุนีนั้นคิดว่า สิ่งที่เราได้แล้วล้วนแต่เป็นประโยชน์ทั้งนั้น
                 ถึงไม่ได้ก็ดี ดังนี้แล้ว
                 เป็นผู้คงที่ เพราะการได้เและไม่ได้ทั้ง ๒ อย่างนั้น
                 กลับเข้าไปยังที่อยู่ของตน
                 เหมือนคนหาผลไม้เข้าไปยังต้นไม้ ฉะนั้น

         [๗๑๙] มุนีนั้นอุ้มบาตรเที่ยวไป
                 ไม่เป็นใบ้ก็สมมติตนว่าเป็นใบ้
                 ไม่ควรดูหมิ่นทานว่าน้อย
                 ไม่ควรดูแคลนทายกผู้ให้

         [๗๒๐] ปฏิปทา๒- ที่พระสมณะประกาศแล้ว มีทั้งสูงและต่ำ๓-
                 มุนีผู้ปฏิบัติจะไปถึงฝั่งถึง ๒ ครั้งหามิได้๔-
                 ฝั่งนี้ ผู้ปฏิบัติรู้ได้ครั้งเดียว ก็หามิได้๕-

         [๗๒๑] อนึ่ง มุนีเป็นภิกษุซึ่งตัดกระแสขาดแล้ว
                 ไม่มีตัณหาซ่านไป ละกิจน้อยใหญ่ได้แล้ว
                 ย่อมไม่มีความเร่าร้อน๖-

         [๗๒๒] เราจะพยากรณ์ปฏิปทาของมุนีให้เธอทราบต่อไปคือ
                 ภิกษุผู้ปฏิบัติควรเป็นผู้มีคมมีดโกนเป็นเครื่องเปรียบ
                 กดเพดานไว้ด้วยลิ้น สำรวมท้อง
                 [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

         [๗๒๓] ควรเป็นผู้มีจิตไม่ท้อแท้ และไม่ควรครุ่นคิดกังวลมาก
                 เป็นผู้หมดกลิ่นสาบ๗- ไม่มีตัณหาและทิฏฐิอาศัย
                 มีพรหมจรรย์เป็นจุดหมาย

         [๗๒๔] พึงฝึกฝนเพื่อการนั่งสงบผู้เดียว
                 และเพื่อบำเพ็ญจิตภาวนาของสมณะ
                 ความเป็นมุนีที่เราบอกไว้แล้วโดยส่วนเดียว
                 หากเธอจักยินดีอยู่ผู้เดียว
                 เธอก็จักปรากฏเกียรติคุณไปทั่ว ๑๐ ทิศ

         [๗๒๕] เธอได้ฟังเสียงสรรเสริญของนักปราชญ์ทั้งหลาย
                 ผู้เพ่งพินิจอยู่ ตัดขาดจากกามแล้ว
                 ต่อจากนั้น ควรทำหิริและศรัทธาให้ยิ่งขึ้น
                 จึงนับว่าเป็นสาวกของเราได้

         [๗๒๖] เธอจะเข้าใจคำที่เรากล่าวแล้วนั้นได้แจ่มแจ้ง
                 ด้วยการเปรียบเทียบแม้น้ำกับลำคลอง และหนองบึง คือ
                 แม่น้ำน้อยไหลดังสนั่น
                 แม่น้ำสายใหญ่ๆ ไหลเงียบสงบ

         [๗๒๗] สิ่งใดพร่อง สิ่งนั้นดัง
                 สิ่งใดเต็ม สิ่งนั้นเงียบ
                 คนพาลเปรียบได้กับหม้อน้ำที่มีน้ำเพียงครึ่งเดียว
                 บัณฑิตเปรียบได้กับห้วงน้ำที่เต็มเปี่ยม

         [๗๒๘] พระสมณพุทธเจ้าทรงรู้จักถ้อยคำที่จะตรัสให้มากว่า
                 มีสาระประกอบด้วยประโยชน์ จึงทรงแสดงธรรม
                 พระองค์ทรงรู้อยู่จึงตรัสได้มาก

         [๗๒๙] อนึ่ง สมณะใดรู้แจ้งธรรม
                 สำรวมจิตของตนได้ ไม่กล่าวมากทั้งที่รู้
                 สมณะนั้นชื่อว่าเป็นมุนี
                 ย่อมควรแก่ปฏิปทาของมุนี
                 สมณะนั้นเป็นมุนีได้บรรลุปฏิปทาของมุนี๘- แล้ว


เชิงอรรถ :
อารมณ์สูงต่ำ หมายถึงอิฏฐารมณ์(อารมณ์ที่น่าปรารถนา) และอนิฏฐารมณ์(อารมณ์ที่ไม่น่าปรารถนา)
(ขุ.สุ.อ. ๒/๗๐๙/๓๒๔)
ปฏิปทา หมายถึงประเภทของการปฏิบัติ มี ๔ อย่าง คือ (๑) ทุกขาปฏิปทา ทันธาภิญญา (ปฏิบัติลำบาก
และรู้ได้ช้า) (๒) ทุกขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา(ปฏิบัติลำบาก แต่รู้ได้เร็ว) (๓) สุขาปฏิปทา ทันธาภิญญา
(ปฏิบัติสะดวก แต่รู้ได้ช้า) (๔) สุขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา(ปฏิบัติสะดวก และรู้ได้เร็ว)
(องฺ.จตุกฺก. (แปล) ๒๑/๑๖๑-๑๖๓/๒๒๖-๒๓๐)
มีทั้งสูงและต่ำ หมายถึงปฏิปทาสูง คือ ทุกขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา และสุขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา
ส่วนปฏิปทาต่ำ คือ ทุกขาปฏิปทา ทันธาภิญญา และสุขาปฏิปทา ทันธาภิญญา (ขุ.สุ.อ. ๒/๗๒๐/๓๓๐)
หมายถึงมุนีไม่สามารถบรรลุนิพพานถึง ๒ ครั้งได้ ข้อความนี้แสดงถึงภาวะที่ไม่มีความเสื่อม กล่าวคือ
กิเลสเหล่าใดที่ละได้แล้ว ก็ไม่ต้องกลับไปละกิเลสเหล่านั้นซ้ำอีก (ขุ.สุ.อ. ๒/๗๒๐/๓๓๐)
ข้อความนี้แสดงภาวะที่ละกิเลสด้วยมรรคนั้นๆ ตามลำดับถึงอรหัตตมรรค มิใช่ละกิเลสทั้งหมดด้วยมรรค
ใดมรรคหนึ่ง (ขุ.สุ.อ. ๒/๗๒๐/๓๓๐) และดู อภิ.ก. ๓๗/๒๖๕/๔๗๔
ดูเทียบ ขุ.จู. (แปล) ๓๐/๗๔/๒๗๐
กลิ่นสาบ หมายถึงความโกรธ (องฺ.ฉกฺก.อ. ๓/๕๔/๑๓๔)
บรรลุปฏิปทาของมุนี หมายถึงบรรลุอรหัตตมัคคญาณ (ขุ.สุ.อ. ๒/๗๒๗-๗๒๙/๓๓๒-๓๓๓)



         เนื้อความพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาฯ เล่มที่ ๒๕ หน้าที่ ๖๖๓-๖๗๒.
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/m_siri.php?B=25&siri=264
         อ่านเทียบพระไตรปิฎกฉบับหลวง :-
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=25&A=9556&Z=9695
         ศึกษาอรรถกถานี้ได้ที่ :-
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=388
         ศึกษาพระไตรปิฏกฉบับภาษาบาลีอักษรไทย :-
[388-389] http://84000.org/tipitaka/pali/pali_item_s.php?book=25&item=388&items=2
         อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย :-
http://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=29&A=7078
         The Pali Tipitaka in Roman :-
[388-389] http://84000.org/tipitaka/pali/roman_item_s.php?book=25&item=388&items=2
         The Pali Atthakatha in Roman :-
http://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=29&A=7078
         สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕
http://84000.org/tipitaka/read/?index_25
         อ่านเทียบฉบับแปลอังกฤษ Compare with English Translation :-
http://84000.org/tipitaka/english/metta.lk/25i354-e.php#sutta11
https://accesstoinsight.org/tipitaka/kn/snp/snp.3.11.than.html
https://accesstoinsight.org/tipitaka/kn/snp/snp.3.11.olen.html
https://suttacentral.net/en/snp3.11




แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่