ชีวิตของผมช่วงหลังๆมานี้มักผูกติดอยู่กับการเดินทางเสียมาก เมื่อต้องเดินทางไปที่ใหม่ๆ ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้อง พักในที่ค้างคืนชั่วคราว แล้วแต่ครั้งแต่คราว โรงแรมเล็กใหญ่ตามโอกาส และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่ ความบังเอิญ หรือ ความซวยก็ไม่แน่ใจ พาให้ผมต้องไปพบเจอกับ อะไรแบบนี้อีกครั้ง
ไม่กี่ครั้งนักที่ผมจะได้เข้ามาพักในโรงแรมที่ค่อนข้างใหญ่อย่างนี้ เมื่อเทียบกับจำนวนครั้งในการเดินทาง โชคดีที่ครั้งนี้ทางผู้จัดงานเขาอำนวยความสะดวกให้มากกว่าทุกๆที่ที่เคยไป
ผมได้พักในห้องพักที่ชั้น 7 ห้องพักของโรงแรมนั้น กว้าง มีเตียงสองเตียงและมุมเล็กๆที่มีโต๊ะกระจกเล็กๆกับโซฟาขนาดใหญ่สองตัว ทั้งห้องตกแต่งด้วยพรมที่เป็นผ้านิ่มๆ ไม่ใช่กระเบื้อง สองข้างกำแพงก็เช่นเดียวกัน ใช้วัสดุคล้ายกับผ้าบุนิ่มๆ
เมื่อเดินเข้ามาจากทางหน้าประตูห้องพักที่ต้องใช้คีย์การ์ดในการเปิดแล้วจะเป็นทางเดินแคบๆ ข้างขวาเป็นตู้เสื้อผ้าแบบ built-in ติดกับกำแพงห้องอย่างแนบเนียน ข้างซ้ายเป็นห้องน้ำที่มีขนาดใหญ่พอสมควร
ตรงสุดขอบห้องตรงข้ามประตูทางเข้าไม่มีระเบียงเหมือนอย่างโรงแรมอื่นๆ แต่เป็นกระจกใสทั้งบาน ทำให้มองเห็นทิวทัศน์ภายนอกได้อย่างชัดเจน เหมือนกับห้องนั้นไม่มีกำแพง จะมีก็แต่ขอบปูนที่สูงจากพื้นขึ้นมาจากพื้นประมาณเกือบถึงเอว
ผมเข้ามาพักในช่วงเย็นของวันที่เดินทางไปถึง แต่ก็ยังไม่ได้พักผ่อนในทันทีจำเป็นจะต้องไปเคลียร์ธุระเรื่องงานเสียก่อน
กว่าจะเสร็จธุระงานการทั้งหมดเวลาก็ล่วงไปเกือบๆสองทุ่ม บวกกับเวลาการเดินทางที่เสียไปนั้นผมก็กลับมาถึงที่พักในเวลาราวๆ 3ทุ่มกว่าๆ
ผมกลับเข้ามาในห้องที่ตอนนี้มืดสนิทแต่เมื่อเสียบคีย์การ์ดในช่องตรงสวิทซ์ไฟห้องก็สว่างพร้อมกับเสียงการทำงานของเครื่องปรับอากาศ
ผมมาพักแค่ 4 วันจึงไม่ได้สนใจจะใช้ตู้เสื้อผ้าของทางโรงแรมเลย อย่างไรผมก็นอนคนเดียวจะโยนกระเป๋าเสื้อผ้าไว้บนเตียงอีกตัวที่ไม่ได้ใช้ก็คงจะไม่เป็นไร
ผมยังไม่ได้อาบน้ำในทันทีเพราะความเมื่อยล้าจากการเดินทางจึงอยากจะทิ้งตัวลงบนเตียงนุ่มๆสักพักก่อนให้สบายตัว โทรทัศน์ที่เปิดเอาไว้ก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไรน่าสนใจให้ผมดูในเวลานี้
ผมเลื่อนช่องรายการโทรทัศน์ไปเรื่อยๆจนเจอช่องหนึ่งที่กำลังฉายภาพยนตร์ที่ผมเคยดูเมื่อนานมาแล้ว การกลับมาดูอีกครั้งก็คงไม่ใช่เรื่องน่าเบื่ออะไร ในเมื่อเรารู้อยู่แล้วว่าเป็นภาพยนตร์คุณภาพเรื่องหนึ่ง
ระหว่างที่นอนดูโทรทัศน์อยู่บนเตียงผมรู้สึกว่ามันเมื่อยคอเพราะหมอนที่มีให้ไม่ได้ระดับ จึงลุกไปนั่งบนโซฟาข้างๆเตียงแทน อีกอย่างคือใกล้ๆกับเตียงนั้นไม่มีปลั๊กไฟเลยสักอันเดียว
ผมนั่งอยู่บนโซฟาตัวใหญ่ ยืดขาพาดไปบนเก้าอี้ตัวเล็กๆอีกตัวหนึ่งที่เข้าชุดกัน ในมือถือโทรศัพท์เล่นเกมกับเพื่อนๆตามปกติที่จะนัดกันบ้างในบางวัน
แม้ว่าผมจะกำลังเล่นเกมอยู่อย่างออกรสออกชาติแต่หูของผมก็ยังคงฟังเสียงภาพยนตร์ที่เปิดเป็นเพื่อนในยามค่ำคืนแบบนี้ไม่ห่าง เพราะปกติแล้วแม้จะอยู่ที่บ้านผมก็มันจะเปิดเพลงไว้แทบจะตลอดเวลาไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ก็ตาม
‘ทราบข่าวจากกองปราบปราม ถึงคดี...’
หูผมแว่วถึงเสียงที่ผิดปกติเข้ามากระทบโสตประสาท ภาพยนตร์ที่ผมเปิดทิ้งไว้เป็นแนวแฟนตาซีย้อนยุคไม่น่าจะมีบทพูดอย่างนี้ได้
‘อาจเป็นข่าวด่วน’
ผมคิดตามปกติว่าอาจเป็นช่องข่าวด่วนที่จะเข้ามาขั้นรายการโทรทัศน์ตามปกติ จึงไม่ได้สนใจจะลุกไปหยิบรีโมทมาเปลี่ยนช่อง เพราะคิดว่า จบข่าวก็คงกลับมาเป็นภาพยนตร์อย่างเดิม
ข่าวดำเนินต่อไปเป็นเวลาเกือบๆสิบนาทีก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะจบลง ปกติแล้วข่าวด่วนจะมีความยาวอยู่ที่ประมาณ 3 นาทีเท่านั้น
ผมหยุดเล่นเกมกับเพื่อนชั่วครู่เพราะเพื่อนบอกว่าขอไปทำธุระส่วนตัวก่อนสักพักหนึ่ง ระหว่างรอนั้นผมจึงหันกลับมาสนใจโทรทัศน์ตรงหน้าอีกครั้ง
เวลาผ่านไปราว 20 นาทีภาพในจอยังคงเป็นข่าวอยู่เช่นเคย ผมจึงตัดสินใจลุกไปหยิบรีโมทโทรทัศน์ที่โยนเอาไว้บนโต๊ะเล็กๆระหว่างสองเตียงในห้องพัก
ใจผมหล่นวูบไป เมื่อผมกดเลื่อนช่องบนรีโมทโดยการกดไล่ไปตามลำดับ ไม่ได้กดเลขช่องที่ต้องการด้วยตัวเอง เพียงช่องเดียวถัดจากภาพข่าวในโทรทัศน์
ภาพยนตร์แฟนตาซีย้อนยุคที่ผมชอบกำลังถึงฉากสำคัญ...
เมื่อเห็นอย่างนั้นจึงย้อนกลับมาถามตัวเองว่า เราเปลี่ยนช่องมันหรือเปล่า ซึ่งผมแน่ใจมากว่า ไม่ใช่แน่ๆ หลังจากเปิดเจอสิ่งที่อยากดูผมก็โยนรีโมทไว้บนโต๊ะตัวนั้นตลอดเวลา
ผมพยายามทำใจให้สงบบอกกับตัวเองว่ามันคงเป็นเรื่องปกติที่ เครื่องใช้ไฟฟ้ามันรวนกันได้ เพราะผมยังต้องอยู่ที่นี่ต่ออีก 3 คืน จะเปลี่ยนไปพักที่อื่นก็ไม่ได้
พอดีกับที่เพื่อนของผมส่งข้อความมาในแชทส่วนตัวว่าขอเวลาอีกสักครึ่งชั่วโมง ผมจึงได้จังหวะเข้าไปอาบน้ำให้สบายตัวพร้อมกับมาคุยเล่นกับเพื่อนก่อนนอนเสียทีเดียว
ก่อนเข้าไปในห้องน้ำผมเร่งเสียงโทรทัศน์ให้ดังขึ้นด้วยความเคยชิน เพื่อไม่ให้ห้องมันเงียบมากนัก
ในห้องน้ำตกแต่งไว้อย่างสวนงามใช้สุขภัณฑ์สีขาวล้วนเหมือนอย่างทุกๆที่ตัดด้วยกระเบื้องลายหินอ่อนหลอกตา เพราะไม่ได้ทำมาจากหินอ่อนจริงๆ
ที่ตรงชิดมุมประตูห้องน้ำนั้นเป็นตู้อาบน้ำแบบฝักบัวล้อมรอบด้วยกระจกใสสี่ด้านขนาดเล็กสำหรับคนหนึ่งคนพอดี ข้างๆกันเป็นอ่างล้างหน้า แล้วอีกฝั่งห้องน้ำเป็นอ่างน้ำขนาดกลาง ไม่เล็กไม่ใหญ่
ผมเพิ่งสังเกตหลังจากเข้ามาในห้องน้ำว่า กำแพงห้องน้ำฝั่งที่ติดกำเตียงนอนนั้น เป็นกระจกบานใหญ่ ที่มองเข้าและออกได้อย่างสะดวกตา มีเพียงม่านพลาสติกแบบม้วนที่แขวนกั้นเอาไว้
ตอนที่นอนเล่นอยู่บนเตียงนั้นผมไม่ได้ใส่ใจจะมองอะไรมากมายนักจึงคิดว่าเป็นเพียงของตกแต่งห้องเท่านั้น ไม่คิดว่าหลังม่านพลาสติกจะเป็นกระจกใส
ผมใช้ตู้อาบน้ำเล็กๆแทนที่จะใช้อ่างน้ำ อาจเป็นความคิดแบบเด็กๆที่มักจะระแวงอ่านอาบน้ำในโรงแรม จำไม่ได้แล้วว่าติดมาจากภาพยนตร์เรื่องใดสักเรื่อง ที่จะมีมือโผล่ออกมาจากน้ำแล้วกดเราลงไปในอ่าง
หลังอาบน้ำเสร็จผมเดินเช็ดตัวออกจากห้องน้ำมายืนตรงพรมเช็ดเท้าหน้าประตูห้องน้ำที่อยู่ตรงข้ามกับตู้เสื้อผ้าของห้องพัก
แม้ไม่ได้คิดว่าจะใช้ประโยชน์จากมัน แต่ด้วยความอยากรู้จึงลองเปิดดูข้างในตู้เสื้อผ้า เผื่อจะมีหมอนอีกสักใบมารองขาที่เดินเมื่อยมาทั้งวัน
ในตู้ไม้นั้นว่างเปล่าไม่มีข้าวของเครื่องใช้อะไรเพิ่มเติม มีแต่กลิ่นไม้ที่ยังใหม่ให้ความหอมเหมือนทุกๆครั้งที่ไปพักตามโรงแรม
ผมโยนผ้าเช็ดตัวที่เพิ่งใช้เสร็จเอาไว้ตรงรางเล็กๆภายในตู้เสื้อผ้า แล้วเดินกลับมาที่โซฟาตัวเดิมอย่างไม่ได้สนใจจะจัดอะไรให้เรียบร้อย
ผมใช้เวลาอีกสักพักนอนเล่นเกมกับเพื่อนก่อนจะกลับมานอนที่เตียงเพื่อนจะปิดฉากวันเดินทางอันแสนยาวนานของผมลงในเวลาเกือบๆตี 1
ผมไม่ได้ปิดไฟนอนเพราะห้องพักมีเพียงไฟสลัวสีส้มๆไม่ได้มีนีออนดวงใหญ่ให้แสงสว่างจ้าจนนอนไม่หลับ ก่อนนอนผมหันมองไปทั่วๆห้องตามนิสัย
แล้วก็ต้องแปลกใจอีกครั้ง เพราะตอนนี้ตู้เสื้อผ้าที่ผมเพิ่งโยนผ้าเช็ดตัวเข้าไปนั้น มันปิดอยู่ ผมแน่ใจมากว่าผมไม่ได้ปิดมันด้วยมือตนเอง
ผมได้แต่มองอย่างสงสัย หรือว่าผมจะเผลอปิดมันซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้อย่างแน่นอน
หรือมันจะเป็นแบบที่ปิดได้เอง...
'เงาใคร' ในโรงแรม
ไม่กี่ครั้งนักที่ผมจะได้เข้ามาพักในโรงแรมที่ค่อนข้างใหญ่อย่างนี้ เมื่อเทียบกับจำนวนครั้งในการเดินทาง โชคดีที่ครั้งนี้ทางผู้จัดงานเขาอำนวยความสะดวกให้มากกว่าทุกๆที่ที่เคยไป
ผมได้พักในห้องพักที่ชั้น 7 ห้องพักของโรงแรมนั้น กว้าง มีเตียงสองเตียงและมุมเล็กๆที่มีโต๊ะกระจกเล็กๆกับโซฟาขนาดใหญ่สองตัว ทั้งห้องตกแต่งด้วยพรมที่เป็นผ้านิ่มๆ ไม่ใช่กระเบื้อง สองข้างกำแพงก็เช่นเดียวกัน ใช้วัสดุคล้ายกับผ้าบุนิ่มๆ
เมื่อเดินเข้ามาจากทางหน้าประตูห้องพักที่ต้องใช้คีย์การ์ดในการเปิดแล้วจะเป็นทางเดินแคบๆ ข้างขวาเป็นตู้เสื้อผ้าแบบ built-in ติดกับกำแพงห้องอย่างแนบเนียน ข้างซ้ายเป็นห้องน้ำที่มีขนาดใหญ่พอสมควร
ตรงสุดขอบห้องตรงข้ามประตูทางเข้าไม่มีระเบียงเหมือนอย่างโรงแรมอื่นๆ แต่เป็นกระจกใสทั้งบาน ทำให้มองเห็นทิวทัศน์ภายนอกได้อย่างชัดเจน เหมือนกับห้องนั้นไม่มีกำแพง จะมีก็แต่ขอบปูนที่สูงจากพื้นขึ้นมาจากพื้นประมาณเกือบถึงเอว
ผมเข้ามาพักในช่วงเย็นของวันที่เดินทางไปถึง แต่ก็ยังไม่ได้พักผ่อนในทันทีจำเป็นจะต้องไปเคลียร์ธุระเรื่องงานเสียก่อน
กว่าจะเสร็จธุระงานการทั้งหมดเวลาก็ล่วงไปเกือบๆสองทุ่ม บวกกับเวลาการเดินทางที่เสียไปนั้นผมก็กลับมาถึงที่พักในเวลาราวๆ 3ทุ่มกว่าๆ
ผมกลับเข้ามาในห้องที่ตอนนี้มืดสนิทแต่เมื่อเสียบคีย์การ์ดในช่องตรงสวิทซ์ไฟห้องก็สว่างพร้อมกับเสียงการทำงานของเครื่องปรับอากาศ
ผมมาพักแค่ 4 วันจึงไม่ได้สนใจจะใช้ตู้เสื้อผ้าของทางโรงแรมเลย อย่างไรผมก็นอนคนเดียวจะโยนกระเป๋าเสื้อผ้าไว้บนเตียงอีกตัวที่ไม่ได้ใช้ก็คงจะไม่เป็นไร
ผมยังไม่ได้อาบน้ำในทันทีเพราะความเมื่อยล้าจากการเดินทางจึงอยากจะทิ้งตัวลงบนเตียงนุ่มๆสักพักก่อนให้สบายตัว โทรทัศน์ที่เปิดเอาไว้ก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไรน่าสนใจให้ผมดูในเวลานี้
ผมเลื่อนช่องรายการโทรทัศน์ไปเรื่อยๆจนเจอช่องหนึ่งที่กำลังฉายภาพยนตร์ที่ผมเคยดูเมื่อนานมาแล้ว การกลับมาดูอีกครั้งก็คงไม่ใช่เรื่องน่าเบื่ออะไร ในเมื่อเรารู้อยู่แล้วว่าเป็นภาพยนตร์คุณภาพเรื่องหนึ่ง
ระหว่างที่นอนดูโทรทัศน์อยู่บนเตียงผมรู้สึกว่ามันเมื่อยคอเพราะหมอนที่มีให้ไม่ได้ระดับ จึงลุกไปนั่งบนโซฟาข้างๆเตียงแทน อีกอย่างคือใกล้ๆกับเตียงนั้นไม่มีปลั๊กไฟเลยสักอันเดียว
ผมนั่งอยู่บนโซฟาตัวใหญ่ ยืดขาพาดไปบนเก้าอี้ตัวเล็กๆอีกตัวหนึ่งที่เข้าชุดกัน ในมือถือโทรศัพท์เล่นเกมกับเพื่อนๆตามปกติที่จะนัดกันบ้างในบางวัน
แม้ว่าผมจะกำลังเล่นเกมอยู่อย่างออกรสออกชาติแต่หูของผมก็ยังคงฟังเสียงภาพยนตร์ที่เปิดเป็นเพื่อนในยามค่ำคืนแบบนี้ไม่ห่าง เพราะปกติแล้วแม้จะอยู่ที่บ้านผมก็มันจะเปิดเพลงไว้แทบจะตลอดเวลาไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ก็ตาม
‘ทราบข่าวจากกองปราบปราม ถึงคดี...’
หูผมแว่วถึงเสียงที่ผิดปกติเข้ามากระทบโสตประสาท ภาพยนตร์ที่ผมเปิดทิ้งไว้เป็นแนวแฟนตาซีย้อนยุคไม่น่าจะมีบทพูดอย่างนี้ได้
‘อาจเป็นข่าวด่วน’
ผมคิดตามปกติว่าอาจเป็นช่องข่าวด่วนที่จะเข้ามาขั้นรายการโทรทัศน์ตามปกติ จึงไม่ได้สนใจจะลุกไปหยิบรีโมทมาเปลี่ยนช่อง เพราะคิดว่า จบข่าวก็คงกลับมาเป็นภาพยนตร์อย่างเดิม
ข่าวดำเนินต่อไปเป็นเวลาเกือบๆสิบนาทีก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะจบลง ปกติแล้วข่าวด่วนจะมีความยาวอยู่ที่ประมาณ 3 นาทีเท่านั้น
ผมหยุดเล่นเกมกับเพื่อนชั่วครู่เพราะเพื่อนบอกว่าขอไปทำธุระส่วนตัวก่อนสักพักหนึ่ง ระหว่างรอนั้นผมจึงหันกลับมาสนใจโทรทัศน์ตรงหน้าอีกครั้ง
เวลาผ่านไปราว 20 นาทีภาพในจอยังคงเป็นข่าวอยู่เช่นเคย ผมจึงตัดสินใจลุกไปหยิบรีโมทโทรทัศน์ที่โยนเอาไว้บนโต๊ะเล็กๆระหว่างสองเตียงในห้องพัก
ใจผมหล่นวูบไป เมื่อผมกดเลื่อนช่องบนรีโมทโดยการกดไล่ไปตามลำดับ ไม่ได้กดเลขช่องที่ต้องการด้วยตัวเอง เพียงช่องเดียวถัดจากภาพข่าวในโทรทัศน์
ภาพยนตร์แฟนตาซีย้อนยุคที่ผมชอบกำลังถึงฉากสำคัญ...
เมื่อเห็นอย่างนั้นจึงย้อนกลับมาถามตัวเองว่า เราเปลี่ยนช่องมันหรือเปล่า ซึ่งผมแน่ใจมากว่า ไม่ใช่แน่ๆ หลังจากเปิดเจอสิ่งที่อยากดูผมก็โยนรีโมทไว้บนโต๊ะตัวนั้นตลอดเวลา
ผมพยายามทำใจให้สงบบอกกับตัวเองว่ามันคงเป็นเรื่องปกติที่ เครื่องใช้ไฟฟ้ามันรวนกันได้ เพราะผมยังต้องอยู่ที่นี่ต่ออีก 3 คืน จะเปลี่ยนไปพักที่อื่นก็ไม่ได้
พอดีกับที่เพื่อนของผมส่งข้อความมาในแชทส่วนตัวว่าขอเวลาอีกสักครึ่งชั่วโมง ผมจึงได้จังหวะเข้าไปอาบน้ำให้สบายตัวพร้อมกับมาคุยเล่นกับเพื่อนก่อนนอนเสียทีเดียว
ก่อนเข้าไปในห้องน้ำผมเร่งเสียงโทรทัศน์ให้ดังขึ้นด้วยความเคยชิน เพื่อไม่ให้ห้องมันเงียบมากนัก
ในห้องน้ำตกแต่งไว้อย่างสวนงามใช้สุขภัณฑ์สีขาวล้วนเหมือนอย่างทุกๆที่ตัดด้วยกระเบื้องลายหินอ่อนหลอกตา เพราะไม่ได้ทำมาจากหินอ่อนจริงๆ
ที่ตรงชิดมุมประตูห้องน้ำนั้นเป็นตู้อาบน้ำแบบฝักบัวล้อมรอบด้วยกระจกใสสี่ด้านขนาดเล็กสำหรับคนหนึ่งคนพอดี ข้างๆกันเป็นอ่างล้างหน้า แล้วอีกฝั่งห้องน้ำเป็นอ่างน้ำขนาดกลาง ไม่เล็กไม่ใหญ่
ผมเพิ่งสังเกตหลังจากเข้ามาในห้องน้ำว่า กำแพงห้องน้ำฝั่งที่ติดกำเตียงนอนนั้น เป็นกระจกบานใหญ่ ที่มองเข้าและออกได้อย่างสะดวกตา มีเพียงม่านพลาสติกแบบม้วนที่แขวนกั้นเอาไว้
ตอนที่นอนเล่นอยู่บนเตียงนั้นผมไม่ได้ใส่ใจจะมองอะไรมากมายนักจึงคิดว่าเป็นเพียงของตกแต่งห้องเท่านั้น ไม่คิดว่าหลังม่านพลาสติกจะเป็นกระจกใส
ผมใช้ตู้อาบน้ำเล็กๆแทนที่จะใช้อ่างน้ำ อาจเป็นความคิดแบบเด็กๆที่มักจะระแวงอ่านอาบน้ำในโรงแรม จำไม่ได้แล้วว่าติดมาจากภาพยนตร์เรื่องใดสักเรื่อง ที่จะมีมือโผล่ออกมาจากน้ำแล้วกดเราลงไปในอ่าง
หลังอาบน้ำเสร็จผมเดินเช็ดตัวออกจากห้องน้ำมายืนตรงพรมเช็ดเท้าหน้าประตูห้องน้ำที่อยู่ตรงข้ามกับตู้เสื้อผ้าของห้องพัก
แม้ไม่ได้คิดว่าจะใช้ประโยชน์จากมัน แต่ด้วยความอยากรู้จึงลองเปิดดูข้างในตู้เสื้อผ้า เผื่อจะมีหมอนอีกสักใบมารองขาที่เดินเมื่อยมาทั้งวัน
ในตู้ไม้นั้นว่างเปล่าไม่มีข้าวของเครื่องใช้อะไรเพิ่มเติม มีแต่กลิ่นไม้ที่ยังใหม่ให้ความหอมเหมือนทุกๆครั้งที่ไปพักตามโรงแรม
ผมโยนผ้าเช็ดตัวที่เพิ่งใช้เสร็จเอาไว้ตรงรางเล็กๆภายในตู้เสื้อผ้า แล้วเดินกลับมาที่โซฟาตัวเดิมอย่างไม่ได้สนใจจะจัดอะไรให้เรียบร้อย
ผมใช้เวลาอีกสักพักนอนเล่นเกมกับเพื่อนก่อนจะกลับมานอนที่เตียงเพื่อนจะปิดฉากวันเดินทางอันแสนยาวนานของผมลงในเวลาเกือบๆตี 1
ผมไม่ได้ปิดไฟนอนเพราะห้องพักมีเพียงไฟสลัวสีส้มๆไม่ได้มีนีออนดวงใหญ่ให้แสงสว่างจ้าจนนอนไม่หลับ ก่อนนอนผมหันมองไปทั่วๆห้องตามนิสัย
แล้วก็ต้องแปลกใจอีกครั้ง เพราะตอนนี้ตู้เสื้อผ้าที่ผมเพิ่งโยนผ้าเช็ดตัวเข้าไปนั้น มันปิดอยู่ ผมแน่ใจมากว่าผมไม่ได้ปิดมันด้วยมือตนเอง
ผมได้แต่มองอย่างสงสัย หรือว่าผมจะเผลอปิดมันซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้อย่างแน่นอน
หรือมันจะเป็นแบบที่ปิดได้เอง...