เรื่องผี ค่ายธรรมมะสยองขวัญ

ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 8 ปีที่แล้ว เป็นช่วงที่มินยังอยู่มอห้า ตอนนั้นได้มีการจัดกิจกรรมเข้าค่ายธรรมมะ โดยในรอบแรกทางโรงเรียนได้มีการส่งเด็กไปประมาณ 10 คน รวมตัวมินด้วย  ก่อนเริ่มกิจกรรมทั้งหมดจะมีการจับคู่บัดดี้ โดยที่ต้องนอนด้วยกัน ไปไหนต้องไปด้วยกันห้ามไปคนเดียวเด็ดขาด ทางวัดจัดกิจกรรมมีการเดินจงกรม สวดมนต์ นั่งสมาธิ ตามปกติ และมีการเข้าฐานเหมือนการเข้าค่ายลูกเสือ ทางวัดจะมีสมุดให้คนละเล่มให้ทำการจดสิ่งที่ได้เรียนรู้และจะมีคะแนนให้ แต่ยังไม่ได้ประกาศว่าจะมีการเข้าค่ายครั้งต่อไป ซึ่งตัวมินเนี่ยเป็นคนชอบจดเลยจดแทบทุกคำพูดของสตาร์ฟของแต่ละฐาน 
 
          แต่อีกประมาณผ่านไปไม่นานทางวัดได้มีการประกาศผลของการเข้าค่ายครั้งก่อนว่าใครจะได้ไปเข้าค่ายครั้งต่อไป ซึ่งทางโรงเรียนของมินมีเพียงแค่คนเดียวที่ผ่านเข้ารอบนี้ ซึ่งก็คือมิน ในตอนแรกมินปฏิเสธค่ะเนื่องจากมินต้องไปคนเดียวเลยไม่อยากไป แต่ทางโรงเรียนได้มีการขอร้องมินเพราะมินเป็นคนเดียวที่ผ่านเข้ารอบเลยทำให้เหมือนมินเป็นตัวแทนโรงเรียนไปโดยปริยายค มินจึงต้องไปเข้าร่วมค่ายธรรมมะครั้งนี้ มินได้มีการนั่งรถตู้ของทางโรงเรียนซึ่งมีแค่คนขับรถกับมินแค่สองคนเท่านั้น มินได้มีการรู้จักกับสตาร์ฟที่คุมการเข้าค่ายครั้งที่แล้ว ทำให้ได้มีการติดต่อเพื่อให้สตาร์ฟมารอรับ ขออนุญาตแทนชื่อสตาร์ฟคนนี้ว่าพี่นิดนะคะ มินได้มีการแชทบอกพี่นิดตลอดว่าถึงไหนแล้ว เพื่อให้พี่นิดจะได้บอกทางและออกมารับเข้าไปยังพื้นที่วัด
          มินออกเดินทางจากสุพรรณบุรีไปยังวัดที่อยู่นครปฐม ใช้เวลาเดินทางไม่นานมากก็ถึง ซึ่งค่ายนี้จะมีการจัดขึ้นทั้งหมด 7 วัน ซึ่งคนที่ไปทั้งหมดไม่ทราบกำหนดการนอกจากมินคนเดียว เพราะมินถามกำหนดการมาจากพี่นิด มินก็นึกว่าทุกคนทราบอยู่แล้ว ว่า 7 วันนี้ จะมีการค้างคืนที่วัดเป็นสองวันหนึ่งคืน และจะไปค้างที่สถานที่ปฏิบัติธรรมของทางวัดที่อีกจังหวัดหนึ่งที่เป็นประตูสู่ภาคอีสาน โดยเมื่อมินเดินทางถึงสถานที่นัดพบกับทางพี่นิด พี่นิดก็รับเอไปที่วัดเพื่อทำกิจกรรมร่วมกับคนอื่นๆ
          เมื่อถึงวัดมินได้มีการทำกิจกรรมเหมือนคนอื่นตามปกติ แต่มินบังเอญเจอกับคนที่เคยเจอเมื่อค่ายครั้งที่แล้วด้วย โดยจะมีมิ้นท์ กุ๊ก และเขมที่เป็นรุ่นน้องมอสี่ โดยเขมจะเป็นคนที่ค่อนข้างสนิทที่สุด กิจกรรมก็ได้ดำเนินไปเหมือนครั้งแรกเลยค่ะ มีการสวดมนต์เช้าเย็น เดินจงกรม นั่งสมาธิตามปกติ
ผ่านไปหนึ่งวันหนึ่งคืน เช้าวันต่อมาก็ได้มีการออกเดินทางจากวัด เพื่อไปยังสถานที่ปฏิบัติธรรมของทางวัดที่จังหวัดหนึ่งประตู่สู่ภาคอีสาน 
          ทั้งหมดได้ออกเดินทางโดยได้มีการแวะไหว้พระวัดดังในกรุงเทพ เพราะเป็นทางผ่านเลยได้มีการแวะไหว้พระทำบุญกัน ช่วงนั้นจะเป็นงานพระศพของในหลวงร 9 พอดี ทางวัดเลยให้พวกมินช่วยกันจัดแจงข้าวของ แจกน้ำเปล่าและดูแลคนที่มาทำบุญที่วัดนี้ กว่าจะได้ออกเดินทางก็ค่ำแล้ว ทั้งหมดได้ออกเดินทางจากวัดในกทมประมาณทุ่มนึง กว่าจะถึงจังหวัดนั้นก็ประมาณสี่ห้าทุ่ม พอถึงก็มีการแยกนอนชายหญิงเป็นตึกใครตึกมัน 
          โดยสถานที่จะมีผังแบบนี้ค่ะ เมื่อขับเข้าไปจะเจอหอประชุมอยู่ทางซ้ายมือ และจะมีลานตักบาตรอยู่ใกล้ๆกัน บริเวณข้างลานตักบาตรจะมีสระน้ำ
เลยตรงบริเวณหอประชุมไปจะเป็นหอพักชายสองตึกติดกัน แต่ถ้าตรงมาจากทางเข้าแล้วเลี้ยวขวาจะเป็นหอพักหญิงตึกบี เลยไปอีกจะเป็นตึกเอ แต่ที่น่าแปลกคือ ทุกคนจะโดนสั่งห้ามเข้าไปที่ตึกเอ โดยตึกเอเนี่ยค่ะมีสภาพรกร้างเถาวัลย์ขึ้นเต็มไปหมด บรรยากาศตรงตึกเอตรงนี้จะอึมครึม บรรยากาศน่ากลัวมากค่ะ สถานที่นี้เหมือนตั้งอยู่ท่ามกลางป่าคือตรงบริเวณสถานที่เนี้ยโล่ง แต่มีแค่ตึกเอเนี่ยแหละค่ะที่มีสภาพอีกนิดคือจะกลืนไปกับป่าด้านหลังแล้ว รอบๆบริเวณจะเป็นป่าทั้งหมด พื้นที่ดินของวัดตรงนี้มีสภาพไม่สม่ำเสมอ เป็นลักษณะคล้ายๆสนามกลอฟ หรือถ้ามองอีกอย่างมีพื้นที่มีลักษณะคล้ายฮวงซุ้ยของคนจีน ลักษณะพื้นที่มันแปลกมาก แต่มินก็คิดว่าคงไม่มีอะไรหรอก หลังจากนั้นเขาจึงพาเดินมาพักยังตึกบี ซึ่งลักษณะของตึกนี้คือเป็นตึกที่เหมือนมีการดีดพื้นให้ยกสูงขึ้น และข้างๆตึกจะเป็นลานออกกำลังกายค่ะ

          พอมาถึงทั้งหมดจะได้แบ่งกลุ่มแยกกันพัก ซึ่งตึกมี 5 ชั้น มินได้พักกับมิ้นท์ กุ๊ก และเขมที่ชั้นหนึ่ง โดยจะมีเพื่อนอีกสี่คนพักอีกห้องหนึ่ง ขออธิบายผังตึกแบบนี้ค่ะ เมื่อเดินตรงเข้าไปทางซ้ายจะมีประตูห้องเข้าไป ซึ่งห้องนี้จะเป็นห้องพักของทางมิน มิ้นท์ กุ๊ก และเขม ทางขวามือของทางเดินจะเป็นอ่างล้างหน้าและทางเข้าห้องน้ำกับห้องอาบน้ำ ถ้าเดินตรงจากทางเข้าตึกตรงไปจนสุดแล้วเลี้ยวขวา จะเป็นห้องพักอีกห้องหนึ่ง หากตรงไปเรื่อยๆจะเป็นบรรไดสู่ชั้นถัดไป
          เมื่อทำกิจกรรมสวดมนต์เสร็จก็ประมาณตีสองตีสาม ทั้งสี่คนก็ได้มีการรอห้องอาบน้ำเพราะทางสี่คนที่พักอีกห้องได้มาอาบก่อนทำให้สี่คนต้องรอ โดยในบรรดาสี่คนนี้ มิ้นท์จะเป็นคนที่กลัวผีมากและขวัญอ่อน จิตอ่อนที่สุด รองมาจะเป็นกุ๊ก และเขม ส่วนตัวของมินไม่กลัวอยู่แล้วเพราะเห็นผีมานานแล้ว ในขณะที่รอทั้งสี่คนนั้นอาบน้ำ ทั้งสามคนรวมทั้งมินก็ได้ยินเสียงกดชักโครกมาจากห้องน้ำทั้งที่ไม่มีใครเข้า มิ้นท์สะดุ้งตัวโยน แต่ด้วยความที่มินเป็นคนไม่กลัวเลยปลอบใจน้องๆว่า ไม่มีอะไรหรอก น้ำค้างชักโครกแหละ มันเป็นบ่อย มินได้ปลอบใจน้องๆไปประมาณนี้ พอสี่คนนั้นออกมา มินจึงพาน้องๆไปอาบน้ำโดยแยกอาบห้องใครห้องมัน แต่เขมดันลืมตะกร้าสบู่ เขมได้ยินเสียงน้ำไหลตรงอ่างล้างหน้าเลยคิดว่าสี่คนนั้นยังไม่ไป เลยจะให้เพื่อนหยิบให้หน่อย แต่พอเขมเปิดประตูไป เขมไม่เจอใครเลย เขมเลยรีบปิดประตูแล้วเคาะกำแพงเรียกมินทันที
"พี่มิน เขมลืมสบู่แต่เปิดไปไม่เจอใครเลย"
มินเลยบอกว่า "เออรีบอาบไปก่อน สบู่ไม่ต้อง"
ทั้งสี่คนอาบน้ำ แต่คนที่รู้คือเขมกับมิน เพราะถ้ามิ้นท์กับกุ๊กรู้คือร้องไห้แน่ๆ เพราะสองคนนี้กลัวมาก
          ทั้งหมดเมื่ออาบน้ำเสร็จก็เตรียมเข้านอน  จะขออธิบายผังในห้องแบบนี้นะคะ โดยห้องจะเป็นเตียงเดี่ยวทั้งหมดสี่เตียง โดยเตียงของมินจะอยู่ริมในสุดเพราะไม่กลัวเลยต้องอยู่ในสุด ซึ่งตรงนั้นเนี่ยจะเป็นประตูระเบียง ที่ถ้าเดินออกไปสามารถตกได้เพราะพื้นที่เนี่ยค่อนข้างสูงเพราะเป็นตึกที่ยกสูง โดยปลายเตียงทุกคนจะเป็นกระจกยาวที่สามารถเปิดได้และมีม่านกั้นไว้ และนอกห้องตรงปลายเท้าอ่ะค่ะจะเป็นลานออกกำลังกาย
          คืนแรกสิ่งที่มิ้นท์เห็นคือเหมือนมีคนมายืนออกกำลังกายเป็นผู้ชาย จะเห็นในจังหวะที่ม่านโดนพัดลมในห้องพัดและกระพือ มิ้นท์เห็นก็ทักขึ้นทันทีว่า "ดึกดื่นป่านนี้ใครมาออกกำลังกายวะ"
พอมิ้นท์พูดดังนั้นทั้งสามคนที่เหลือจึงจ้องดู ปรากฏว่าเห็นเหมือนกัน แต่เห็นเป็นเหมือนพี่สตาร์ฟคนหนึ่งที่เข้าร่วมการเข้าค่ายครั้งนี้ ทุกคนจึงโล่งใจคิดว่าเออพี่เขาคงมาออกกำลังกายแหละ แต่พอจ้องอีกครั้งก็หายไปแล้ว ทุกคนเลยพากันคิดว่าพี่เขาคงออกกำลังกายมั้ง นอนๆไม่มีไร ทุกคนพากันเข้านอนและลืมเรื่องนี้ไป จนกระทั่งตื่นไปอาบน้ำเพื่อเตรียมตัวไปตักบาตร 
          เมื่อตักบาตรเสร็จทั้งสี่คนเลยได้ไปถามพี่สตาร์ฟคนนั้น ขออนุญาตแทนชื่อว่าพี่นันนะคะ ทั้งหมดเลยถามพี่นันค่ะว่า พี่นันได้ไปออกกำลังกายเมื่อคืนมั้ย พอดีเห็นพี่ออกกำลังกาย ฟิตจังน้า ทั้งสี่คนเอ่ยแซวๆพี่นันไป แต่พี่นันทำหน้างงก่อนจะเอ่ยจนทุกคนต้องขนหัวลุก
"พี่ไม่ได้ไปออก เขาก็บอกไม่ใช่หรอว่าไม่ให้ชายหญิงไปยุ่งกัน"
สักพักก็มีเพื่อนผู้ชายเดินมาแล้วบอกว่า "กูเป็นพยานได้ พี่นันอยู่กับพวกกูทั้งคืน ไม่ได้ไปไหนเลย"
มิ้นท์เลยบอกว่า"เห้ย หนูไม่เล่นนะพี่"
มิ้นท์ได้ยินดังนั้นจึงน้ำตาคลอ มินจึงปลอบมิ้นท์ ทั้งหมดก็ได้ทำกิจกรรมและลืมเรื่องนี้ไป เพื่อนอีกห้องพอได้ยินก็พากันไปอยู่ที่ห้องของเอทั้งหมด 8 คน 
         โดยคืนนี้ เจอเรื่องที่หนักมากจนทำให้มิ้นท์กับกุ๊กแทบช๊อคกันเลยทีเดียว ทุกคนได้เข้านอนและได้ดันเตียงมาติดกันที่กลางห้อง ห้องนี้เลยนอน 8 คน ทั้งหมดได้นั่งคุยกันอยู่ตอนนั้นจนกระทั่งพัดลมได้พัดผ้าม่านบางๆที่ประตูริมระเบียง ก็ปรากฏเงาดำของใครคนนึง ลักษณะเหมือนเกาะขอบระเบียงจากด้านล่างแล้วเอาหัวโผล่ขึ้นมาเพื่อดู แต่มีนไม่สามารถเป็นไปได้ เพราะพื้นตรงนั้นสูงประมาณสองเมตร ถ้าหากจะโผล่หัวขึ้นมาได้คงต้องสูงสองเมตรกว่าแน่นอน
          ในตอนแรกโผล่มาแค่หัวกับมือ เพียงแค่ครู่เดียวเงาดำนั้นก็ทำท่าดันยกตัวขึ้นโดยเอาแขนยันเพื่อเอาจะตัวขึ้นมา ท่าที่คล้ายกับคนที่กำลังดันตัวขึ้นจากสระน้ำ พอมิ้นท์เห็นแบบนั้นจึงกรี๊ดเสียงดังออกมา ทั้งหมดจึงหันไปหามิ้นท์ มิ้นท์เอาแต่บอกว่าไม่เอาแล้ว ไม่เอาแล้ว จะกลับ จะกลับ อย่างเดียว
          มิ้นท์ร้องไห้ดีดดิ้นเหมือนคนเสียสติทันที พอมินหันไปดูอีกครั้งเงาดำนั้นก็หายไปแล้ว แต่มิ้นท์ร้องไห้เสียงดังจนทำให้สตาร์ฟต้องลงมาดูทันที และพามิ้นท์ไปนอนที่ชั้น 4  ที่สตาร์ฟพักกัน ผ่านไปจนถึงตอนเช้าได้มีการประชุมเรื่องนี้ว่าจะจัดกิจกรรมต่อหรือไม่ สรุปก็คือจัดต่อ แต่เอาคนที่ไม่ไหวกลับก่อน ส่วนคนอื่นก็ให้ทำกิจกรรมปกติค่ะ โดยคนที่ไม่ไหวต้องขอกลับไปก่อนคือ มิ้นท์และกิ๊ก เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นมินก็พยายามถามสตาร์ฟว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ และที่นี่มีอะไร แต่เขาก็ไม่ยอมบอกว่าเกิดอะไรขึ้นกับที่นี่ ทุกคนบอกแค่ว่าไม่มีอะไรแค่นั้นเอง
          ตัดไปที่ตอนกลางคืนอีกคืนนึง คืนนี้ด้วยความที่ทุกคนคิดว่าคงจะไม่หนักกว่าเมื่อคืนแล้วแหละเลยนอนแค่สองคนแล้วก็ดันเตียงให้มีระยะห่างกันเหมือนเดิม โดยจะนอนเตียงเดิมคือเขมนอนติดกับมิน และมินนอนริมติดประตูหลังเช่นเดิม แต่มินมีความรู้สึกเหมือนมีคนจ้องมองจากหน้าต่างตลอดเวลา ซึ่งไม่ใช่คนแน่นอนเพราะมันต้องสูงเกินสองเมตรถึงจะมองได้ ตอนแรกมินกับเขมได้กลิ่นเหม็น เหม็นแบบเหม็บสาปสาง กลิ่นเหมือนซากอะไรที่ตายมานานแล้ว กลิ่นเหม็นมาก จนทำให้มินพูดขึ้น แค่มินพูดว่า"เขม" เขมตอบกลับทันทีเลยค่ะ "ได้กลิ่นเหมือนกันพี่" ทั้งสองมองหน้ากันแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา ทั้งสองเลยคิดว่าเออ คงมาแค่กลิ่นแหละ ไม่มีอะไรหนักกว่านี้ละ ทั้งสองจึงพากันปิดไฟนอน
          ซึ่งปกติทุกคนที่ไปค่ายธรรมมะนี้ต้องตื่นประมาณตีสี่ เพื่อที่ตีห้าจะได้ทำกิจกรรมที่ทางวัดจัดไว้ให้ และจะมีนาฬิกาปลุกห้องละเครื่องเนื่องจากเขาเก็บโทรศัพท์เลยต้องใช้นาฬิกาปลุกแทนนะคะ มินรู้สึกหลังเปียกที่นอนเปียก เลยทำให้สะดุ้งตื่น ตอนแรกคิดว่าหรือจะเป็นประจำเดือน ไม่น่าใช่เพราะพึ่งหายก่อนมาค่ายนี้ หรือจะฉี่รดที่นอน เอจึงเอามือแตะที่เปียกๆอ่ะค่ะมาดม แต่มันไม่มีกลิ่น มินจึงคิดได้ว่าไม่ใช่ฉี่แล้วเป็นอะไรเลยเรียกเขม เรียกอยู่สักพักเขมก็ตื่น มินจึงบอกให้เขมเปิดไฟให้หน่อย พอเปิดไฟเขมร้องเสียงดังเลยค่ะว่า "พี่มิน !!!" แล้วทำหน้าตกใจสุดขีดและชี้ไปที่กำแพงด้านข้างของมิน 
          มินจึงหันไปมองปรากฏว่ามันเป็นรอยเลือด สาดเต็มเตียงและเต็มกำแพง ตรงบริเวณกำแพงมีรอยมือแต่เป็นรอยมือแบบคว่ำค่ะ ซึ่งโดยปกติถ้ารอยมันเปื้อนเพราะมินหรือรอยจากคนที่นอน นิ้วเราจะชี้ขึ้น แต่นี่เหมือนคนนั่งที่เตียงแล้วหันหลังให้กำแพง รอยมือมันคว่ำลง และรอยมันคือเลือดที่แห้งแล้วค่ะ รอยเลือดไหลตามนิ้วมือที่กำแพงลงมา แต่ยังพอรู้ว่ายังไงก็เป็นรอยมือคนแน่ๆ ทุกคนจำได้มั้ยคะว่าตอนแรกที่มินนอนที่นอนมันเปียก แต่พอมินลุกมาเลือดมันแห้งแล้ว แต่ถ้าเป็นเลือดของมินจริงทำไมหลังมินถึงไม่เปียกเลย และมินใส่เสื้อสีขาวนอน ต่อให้แห้งยังไงก็ต้องเห็นใช่มั้ยคะ แต่มินกลับไม่มีรอยเลือดติดตัวเลย ทั้งสองเห็นท่าไม่ดีเลยพากันวิ่งไปตามสตาร์ฟทันที เมื่อสตาร์ฟมาถึงก็ตกใจค่ะ เพราะมีรอยเลืดเต็มกำแพงกับเต็มเตียงที่มินนอนเลยค่ะ มินทนไม่ไหวคือต้องรู้ให้ได้แล้วค่ะว่ามันเกิดอะไรขึ้นที่นี่ แต่เขาก็บอกแค่ว่ามันเคยมีเหตุเกิดขึ้น แต่ไม่บอกนะคะว่าเหตุอะไร บอกแค่ว่ามีเหตุ ถามใครกี่คนก็ไม่ยอมบอก และเหตุการณ์วันนั้นเขาก็ห้ามมินกับเขมเล่าให้ใครฟัง ไม่แน่ใจว่าจะเสียผลประโยชน์กับเขาหรืออย่างไรนะคะ ทำให้ไม่ทราบประวัติที่นี่เลยค่ะ เพราะคนในไม่ยอมเล่าให้ฟังแม้ประทั่งตึกเอ ว่าทำไมถึงร้างและห้ามเข้าไปใกล้เด็ดขาด
           เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น ทางวัดก็พาเด็กที่เข้าค่ายธรรมมะกลับวัดที่นครปฐมทันทีและได้นอนที่วัดอีกสองคืน แ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่