สวัสดีครับบบ จากที่เคยตั้งกระทู้สอบถามเกี่ยวกับเกาะเจจูเมื่อครั้งก่อน เพราะว่าบริษัทกำลังจะพาไป Outing ซึ่งมีหลายคนเข้ามา Comment รวมถึงมี User ใจดี ให้ซิมการ์ดเรามาใช้ฟรีๆ โดยไม่คิดตังค์สักบาท คนไทยนี่มีน้ำใจจริงๆ นะครับ หลังจากกลับมาเมื่อไม่นานนี้ จึงอยากมาเขียน รีวิวเสียหน่อย เพื่อไม่ให้ประสบการณ์ที่ได้รับมาแบบสดๆ ร้อนๆ ต้องมอดดับไปตามสายฝนในเมืองกรุงช่วงนี้.....
ทำไมถึง "ไม่คาดหวัง" เพราะก่อนจะไป จากการค้นหาข้อมูลอย่างหนักหน่วง ก็พบว่า เป็นเกาะที่ไม่มีอะไรเลย ร้านเหล้า แท๊กซี่หมด 3 ทุ่ม ดาวน์ทาวห่างจากโรงแรมที่พัก ไม่มีแสงสีใดๆ นี่คือชุดข้อมูลในสมองของผมก่อนจะไปที่นี่ ก็เลยไม่ได้คาดหวังอะไร คือไปแค่ 3 วัน 2 คืน แว้บเดียวก็กลับละ มีอย่างเดียวที่เตรียมไปจริงๆ คือ เสื้อกันหนาว เพราะว่าดูจากแอปมัน 4 - 8 องศา เองเลยต้องเตรียมตัวแรงหน่อย เงินที่แลกไปมีเพียง 180,000 วอน หรือประมาณ 5,000 บาท เท่านั้น
เอาล่ะขอเปิดวาร์ปผ่านกระบวนการนั่งเครื่องต่างๆ ลงเครื่องเริ่มต้นสู่สถานที่เที่ยวกันเลยยยย โดยสถานที่เที่ยวจะเรียงตามลำดับที่เขียนเลยยย
Day 1
1. เทือกเขาฮัลลาซาน - เป็นเทือกเขาที่ได้ชื่อว่าเป็นจุดกำเนิดของเกาะเจจู มีความสูง 1900 เมตร จากระดับน้ำทะเล ตอนไปก็ไม่คาดหวังว่าจะเจอหิมะอันใด เพราะที่สนามบิน ถึงจะหนาวแต่คิดว่าไม่เพียงพอจะให้มีหิมะ แต่โป๊ะแตก พอขึ้นไปบนเขาลูกนี้ ดันไปเจอหิมะ เพียบบบ เรียกได้ว่าขาวโพลน ทำให้เกิดกิจกรรมแรกขึ้นมาคือ การเล่นปาหิมะ แบบ เบาๆ กับผองเพื่อน
2. ไร่ชา Osulloc - เป็นไร่ชาขนาดใหญ่ที่สุดของเกาหลี โดยใบชาที่นี่มีคุณภาพสูงมาก และมีผลผลิตดี เนื่องจากมีเทคนิคการเก็บชาที่เป็นองค์ความรู้แบบชาวเกาหลีสามารถเก็บยอดอ่อนได้สูงสุดวันละ 3 ครั้ง เมื่อเข้าไปแล้วสิ่งที่ควรลองคือ
ไอติมชาเขียว และแยมชาเขียว ขอบอกเลยว่าอร่อยมากกกก เรานี่ไม่ได้ไปดูไร่ชาเลย ลุยแต่ในร้านอาหารอย่างเดียว 5555
3. ไร่ส้ม Odeung Gangyul - อันนี้เป็นเหมือนไร่ส้มที่ให้นักท่องเที่ยวไปเก็บกินจากต้น แต่เนื่องจากช่วงที่เราไปเป็นปลายๆ ฤดูท่องเที่ยวแล้ว ส้มก็เริ่มโกร๋นหมดต้น เหลือเพียงไม่กี่ลูกให้เด็ดกิน ส่มลูกใหญ่มากและมีรสเปรี้ยววอมหวานบางๆ
4. วัด Sangbanggulsa - เป็นวัดที่มีประวัติเกี่ยวกับการสงครามคือเป็นที่หลบซ่อนของหญิงสาวชาวเจจู เนื่องจากสมัยนั้น เกิดการรบพุ่งขึ้นบริเวณนี้ มีการยกพลขึ้นบริเวณเกาะเจจูตอนใต้ ทำให้บริเวณนี้เป็นบริเวณปะทะจุดแรกๆ โดยในวัดมีการให้เราทำบุญสองประเภท คือการถวายข้าว เพื่อให้อุดมสมบูรณ์ และการถวายเทียน เพื่อกำจัดอุปสรรคต่างๆ ในชีวิต อีกหนึ่งไฮไลท์ของที่นี่คือ การหมุนระฆังที่มีคำสวดอยู่ ทำให้เราเหมือนได้สวดมนต์ทั้งหมด 84,000 บทสวด
5. พิพิธภัณฑ์ Kitty - อันนี้ดูจะเป็นสถานที่ ที่ไม่เหมาะกับเราที่สุดที่หนึ่ง ฮาาาา เพราะหนุ่มร่างใหญ่ หนวดเฟิ้ม คงไม่เข้ากันกับ สีชมพูหวานแหวว เท่าไร แต่สำหรับสาวๆ วัยใส บอกเลยว่าที่นี่ดีงาม เพราะนอกจากจะตกแต่งสวยแล้ว ยังมีประวัติต่างๆ ของคิตตี้รวมอยู่ที่นี่ด้วย
Day 2
6. Jeju Rail Bike - เริ่มต้นวันกันด้วยการเสียเหงื่อกับกิจกรรมสุดแหวกแนว 5555+ การปั่นจักรยาน ในรถราง ที่จะพาเราล่องไปต่างเส้นทางรางรถไฟขึ้นลงภูเขา พบกับต้นไม้นานาชนิด เสียดายที่ตอนไปเป็นหน้าหนาว ทำให้เหลือแต่ต้นส้น ต้นไม้อื่นๆ ต่างผลัดใบกันหมดแล้ว ถ้าไปช่วงมีดอกไม้คิดว่าจะสวยมากแน่นอน ใช้ระยะเวลาประมาณ 30 นาที ทีเด็ดของที่นี่คือ
โอเด้งร้อนๆ หลังจากปั่นจักรยานเสร็จทำให้หายเหนื่อยเลย
7. หมู่บ้านโบราณซองอึบ - อันนี้เป็นอีก Highlight ของวัน คือการได้ไปเยือนหมู่บ้านโบราณของเกาะเจจู ซึ่งมีคนเรียกว่า "หมู่บ้านแดจังกึม" ไม่รู้ว่าถูกผิดประการใด โดยในหมู่บ้านก็จะบอกเรื่องราวความเป็นมาของการใช้ชีวิตของคนบนเกาะเจจู โดยเท่าที่ฟัง ผู้หญิงบนเกาะมีความน่าสงสาร เพราะต้องดูแลผู้ชาย (ที่มีน้อย) ประหนึ่งเทพ โดยผู้ชายบนเกาะสามารถมีเมียได้ถึง 7 คน !!! ที่นี่เราจะได้พบกับสินค้าที่กำลังมาแรงของเกาหลีอีกตัวคือ "เบอรี่โอชูจา" และกระดูกม้า
8. พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำเกาะเจจู (Hanwa) - เป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดใหญ่บนเกาะ ซึ่งเต็มไปด้วยครอบครัวที่พาลูกมาดูเหล่าปลานานาพันธ์ุ ซึ่งนอกจากจะมีการจัดแสดงปลาท้องถื่นยังมีปลาแปลกๆ ที่ยังไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน และสัตว์อื่นๆ อีกด้วย ทีเด็ดอยู่ที่ตู้ปลาใหญ่ ที่มีปลามากมายแหวกว่ายอยู่รวมกัน แต่ส่วนตัวเราชอบตู้ "แมงกระพรุน" เพราะมีการติดตั้งไฟสีๆ พอเปลี่ยนสีไป ทำให้องค์ประกอบในตัวสีแมงกระพรุนเปลี่ยนสีไปด้วย สวยดี
9. ภูเขาซองซานอิลจูบง - โปรแกรมสุดท้ายของวันจริงๆ แล้วเป็นไฮไลท์ของเกาะเลย เพราะด้านบนจะมีลักษณะเป็นปล่องภูเขาไฟสงบแล้ว เป็นแอ่งกว้าง ในฤดูฝนจะมีน้ำขังและมีหญ้าเขียว แต่ตอนที่ไปเป็นหน้าหนาว จึงมีแต่หญ้าแห้งๆ การเดินขึ้นไปสูงพอเรียกเหงื่อได้ อากาศดี ด้านล่างมีร้านขายอาหารทะเลสด อย่างปลาหมึก หอย ที่มีอาจุมม่าจับขึ้นมาขาย แต่ตอนเราไปเหลือแต่ปลาหมึกเลยไม่ได้ลอง แต่วิวด้านล่างดันสวยกว่าด้านบนเฉย ฮาาาา
สำหรับที่นี่เรามีทีเด็ดมาบอกคือด้านหลังที่จอดรถจะมีร้านเบเกอรี่อยู่หนึ่งร้าน ขึ้นต้นด้วย P คือเมนูช็อคโกแลตเย็นอร่อยมาก ต้องไปโดย อร่อยยันน้ำแข็ง
โดยรวมๆ ก็จะมีประมาณนี้ครับสำหรับทริปนี้แต่เรามีเรื่องย่อยๆ ที่เราพบเจอมาสรุปเป็นข้อๆ ให้คือ
- คนเกาหลีติดหวาน อาหารหลายๆ อย่างบอกว่ามีพริก ก็ยังหวาน (เป็นพริกหวานป่าววะ)
- Taxi แพงและมีน้อย
- 4 ทุ่มคือเงียบจริงๆ แต่ทีมเราก็ยังหาร้านเหล้าไปถล่มได้ (พีคสุด)
- วัยรุ่นน้อย ส่วนมากเป็นครอบครัวหรือไม่ก็คนสูงอายุ
- สัญญาณโทรศัพท์มีทุกพื้นที่ไม่ต้องกลัวขาดการติดต่อกับโลกอินเทอร์เน็ต
- ยังคิดไม่ออก ถ้าคิดออกจะมาเพิ่มให้นะคร้บ
สรุป - เราว่าเป็นที่เที่ยวที่ไม่แย่ ไม่ได้จืดชืดอย่างที่คิดไว้เลย มีสถานที่สวยๆ เยอะแยะ ถึงจะไม่เจริญหูเจริญตา แต่ก็พอมีดีอยู่บ้างเหมาะกับการไปเที่ยวสัก 3 วัน 2 คืน
ถ้าอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกันกด "VOTE" หรือ "LIKE" ให้กำลังใจกันบ้างนาาาา
[CR] เจจูแบบไม่คาดหวัง ประสบการณ์ครั้งใหม่ที่เกาหลีใต้ กับทริปบริษัทสุดหนาววววว
ทำไมถึง "ไม่คาดหวัง" เพราะก่อนจะไป จากการค้นหาข้อมูลอย่างหนักหน่วง ก็พบว่า เป็นเกาะที่ไม่มีอะไรเลย ร้านเหล้า แท๊กซี่หมด 3 ทุ่ม ดาวน์ทาวห่างจากโรงแรมที่พัก ไม่มีแสงสีใดๆ นี่คือชุดข้อมูลในสมองของผมก่อนจะไปที่นี่ ก็เลยไม่ได้คาดหวังอะไร คือไปแค่ 3 วัน 2 คืน แว้บเดียวก็กลับละ มีอย่างเดียวที่เตรียมไปจริงๆ คือ เสื้อกันหนาว เพราะว่าดูจากแอปมัน 4 - 8 องศา เองเลยต้องเตรียมตัวแรงหน่อย เงินที่แลกไปมีเพียง 180,000 วอน หรือประมาณ 5,000 บาท เท่านั้น
เอาล่ะขอเปิดวาร์ปผ่านกระบวนการนั่งเครื่องต่างๆ ลงเครื่องเริ่มต้นสู่สถานที่เที่ยวกันเลยยยย โดยสถานที่เที่ยวจะเรียงตามลำดับที่เขียนเลยยย
Day 1
1. เทือกเขาฮัลลาซาน - เป็นเทือกเขาที่ได้ชื่อว่าเป็นจุดกำเนิดของเกาะเจจู มีความสูง 1900 เมตร จากระดับน้ำทะเล ตอนไปก็ไม่คาดหวังว่าจะเจอหิมะอันใด เพราะที่สนามบิน ถึงจะหนาวแต่คิดว่าไม่เพียงพอจะให้มีหิมะ แต่โป๊ะแตก พอขึ้นไปบนเขาลูกนี้ ดันไปเจอหิมะ เพียบบบ เรียกได้ว่าขาวโพลน ทำให้เกิดกิจกรรมแรกขึ้นมาคือ การเล่นปาหิมะ แบบ เบาๆ กับผองเพื่อน
2. ไร่ชา Osulloc - เป็นไร่ชาขนาดใหญ่ที่สุดของเกาหลี โดยใบชาที่นี่มีคุณภาพสูงมาก และมีผลผลิตดี เนื่องจากมีเทคนิคการเก็บชาที่เป็นองค์ความรู้แบบชาวเกาหลีสามารถเก็บยอดอ่อนได้สูงสุดวันละ 3 ครั้ง เมื่อเข้าไปแล้วสิ่งที่ควรลองคือ ไอติมชาเขียว และแยมชาเขียว ขอบอกเลยว่าอร่อยมากกกก เรานี่ไม่ได้ไปดูไร่ชาเลย ลุยแต่ในร้านอาหารอย่างเดียว 5555
3. ไร่ส้ม Odeung Gangyul - อันนี้เป็นเหมือนไร่ส้มที่ให้นักท่องเที่ยวไปเก็บกินจากต้น แต่เนื่องจากช่วงที่เราไปเป็นปลายๆ ฤดูท่องเที่ยวแล้ว ส้มก็เริ่มโกร๋นหมดต้น เหลือเพียงไม่กี่ลูกให้เด็ดกิน ส่มลูกใหญ่มากและมีรสเปรี้ยววอมหวานบางๆ
4. วัด Sangbanggulsa - เป็นวัดที่มีประวัติเกี่ยวกับการสงครามคือเป็นที่หลบซ่อนของหญิงสาวชาวเจจู เนื่องจากสมัยนั้น เกิดการรบพุ่งขึ้นบริเวณนี้ มีการยกพลขึ้นบริเวณเกาะเจจูตอนใต้ ทำให้บริเวณนี้เป็นบริเวณปะทะจุดแรกๆ โดยในวัดมีการให้เราทำบุญสองประเภท คือการถวายข้าว เพื่อให้อุดมสมบูรณ์ และการถวายเทียน เพื่อกำจัดอุปสรรคต่างๆ ในชีวิต อีกหนึ่งไฮไลท์ของที่นี่คือ การหมุนระฆังที่มีคำสวดอยู่ ทำให้เราเหมือนได้สวดมนต์ทั้งหมด 84,000 บทสวด
5. พิพิธภัณฑ์ Kitty - อันนี้ดูจะเป็นสถานที่ ที่ไม่เหมาะกับเราที่สุดที่หนึ่ง ฮาาาา เพราะหนุ่มร่างใหญ่ หนวดเฟิ้ม คงไม่เข้ากันกับ สีชมพูหวานแหวว เท่าไร แต่สำหรับสาวๆ วัยใส บอกเลยว่าที่นี่ดีงาม เพราะนอกจากจะตกแต่งสวยแล้ว ยังมีประวัติต่างๆ ของคิตตี้รวมอยู่ที่นี่ด้วย
Day 2
6. Jeju Rail Bike - เริ่มต้นวันกันด้วยการเสียเหงื่อกับกิจกรรมสุดแหวกแนว 5555+ การปั่นจักรยาน ในรถราง ที่จะพาเราล่องไปต่างเส้นทางรางรถไฟขึ้นลงภูเขา พบกับต้นไม้นานาชนิด เสียดายที่ตอนไปเป็นหน้าหนาว ทำให้เหลือแต่ต้นส้น ต้นไม้อื่นๆ ต่างผลัดใบกันหมดแล้ว ถ้าไปช่วงมีดอกไม้คิดว่าจะสวยมากแน่นอน ใช้ระยะเวลาประมาณ 30 นาที ทีเด็ดของที่นี่คือ โอเด้งร้อนๆ หลังจากปั่นจักรยานเสร็จทำให้หายเหนื่อยเลย
7. หมู่บ้านโบราณซองอึบ - อันนี้เป็นอีก Highlight ของวัน คือการได้ไปเยือนหมู่บ้านโบราณของเกาะเจจู ซึ่งมีคนเรียกว่า "หมู่บ้านแดจังกึม" ไม่รู้ว่าถูกผิดประการใด โดยในหมู่บ้านก็จะบอกเรื่องราวความเป็นมาของการใช้ชีวิตของคนบนเกาะเจจู โดยเท่าที่ฟัง ผู้หญิงบนเกาะมีความน่าสงสาร เพราะต้องดูแลผู้ชาย (ที่มีน้อย) ประหนึ่งเทพ โดยผู้ชายบนเกาะสามารถมีเมียได้ถึง 7 คน !!! ที่นี่เราจะได้พบกับสินค้าที่กำลังมาแรงของเกาหลีอีกตัวคือ "เบอรี่โอชูจา" และกระดูกม้า
8. พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำเกาะเจจู (Hanwa) - เป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดใหญ่บนเกาะ ซึ่งเต็มไปด้วยครอบครัวที่พาลูกมาดูเหล่าปลานานาพันธ์ุ ซึ่งนอกจากจะมีการจัดแสดงปลาท้องถื่นยังมีปลาแปลกๆ ที่ยังไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน และสัตว์อื่นๆ อีกด้วย ทีเด็ดอยู่ที่ตู้ปลาใหญ่ ที่มีปลามากมายแหวกว่ายอยู่รวมกัน แต่ส่วนตัวเราชอบตู้ "แมงกระพรุน" เพราะมีการติดตั้งไฟสีๆ พอเปลี่ยนสีไป ทำให้องค์ประกอบในตัวสีแมงกระพรุนเปลี่ยนสีไปด้วย สวยดี
9. ภูเขาซองซานอิลจูบง - โปรแกรมสุดท้ายของวันจริงๆ แล้วเป็นไฮไลท์ของเกาะเลย เพราะด้านบนจะมีลักษณะเป็นปล่องภูเขาไฟสงบแล้ว เป็นแอ่งกว้าง ในฤดูฝนจะมีน้ำขังและมีหญ้าเขียว แต่ตอนที่ไปเป็นหน้าหนาว จึงมีแต่หญ้าแห้งๆ การเดินขึ้นไปสูงพอเรียกเหงื่อได้ อากาศดี ด้านล่างมีร้านขายอาหารทะเลสด อย่างปลาหมึก หอย ที่มีอาจุมม่าจับขึ้นมาขาย แต่ตอนเราไปเหลือแต่ปลาหมึกเลยไม่ได้ลอง แต่วิวด้านล่างดันสวยกว่าด้านบนเฉย ฮาาาา
สำหรับที่นี่เรามีทีเด็ดมาบอกคือด้านหลังที่จอดรถจะมีร้านเบเกอรี่อยู่หนึ่งร้าน ขึ้นต้นด้วย P คือเมนูช็อคโกแลตเย็นอร่อยมาก ต้องไปโดย อร่อยยันน้ำแข็ง
โดยรวมๆ ก็จะมีประมาณนี้ครับสำหรับทริปนี้แต่เรามีเรื่องย่อยๆ ที่เราพบเจอมาสรุปเป็นข้อๆ ให้คือ
- คนเกาหลีติดหวาน อาหารหลายๆ อย่างบอกว่ามีพริก ก็ยังหวาน (เป็นพริกหวานป่าววะ)
- Taxi แพงและมีน้อย
- 4 ทุ่มคือเงียบจริงๆ แต่ทีมเราก็ยังหาร้านเหล้าไปถล่มได้ (พีคสุด)
- วัยรุ่นน้อย ส่วนมากเป็นครอบครัวหรือไม่ก็คนสูงอายุ
- สัญญาณโทรศัพท์มีทุกพื้นที่ไม่ต้องกลัวขาดการติดต่อกับโลกอินเทอร์เน็ต
- ยังคิดไม่ออก ถ้าคิดออกจะมาเพิ่มให้นะคร้บ
สรุป - เราว่าเป็นที่เที่ยวที่ไม่แย่ ไม่ได้จืดชืดอย่างที่คิดไว้เลย มีสถานที่สวยๆ เยอะแยะ ถึงจะไม่เจริญหูเจริญตา แต่ก็พอมีดีอยู่บ้างเหมาะกับการไปเที่ยวสัก 3 วัน 2 คืน
ถ้าอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกันกด "VOTE" หรือ "LIKE" ให้กำลังใจกันบ้างนาาาา
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น