เดินทางด้วย Estar jet ไปครั้งนี้เราเลือกเดินทางโดยทั่วค่ะ
ไปกลับ สุวรรณภูมิ-เจจู 5-8 มกราคม 2559 รวม 2 คืน 4 วันค่ะ
ราคารวม ทั้งไป-กลับคนละ 11,900 ค่ะ
บินไปด้วยไฟลท์ เวลา 01.30 น. ถึงเกาหลีใต้เก้าโมงเช้าค่ะ
(เดินทางเกือบ 6 ชั่วโมงแต่เวลาที่เกาหลีนำไทย 2 ชั่วโมงค่ะ)
ก่อนเครื่องออก พวกเราก็หาอะไรรองท้องกันก่อน นี่เลย ห้องอาหารที่สนามบิน ถูก รสชาติพอใช้ได้ค่ะ
ได้เวลาเช็คอินแล้วค่ะ เตรียมตัวบินลัดฟ้าไปเกาะเจจูกันเลยค่า
ถึงแล้ว เจจู ถนนหนทางคล้ายๆ บ้านเรา แต่เป็นระเบียบมาก รถไม่ติด ดูไม่วุ่นวาย อากาศที่นี่กำลังดี ไม่หนาวมากเท่าไหร่ ตอนนั้นที่ไปประมาณ 3 องศา
สถานที่แรกที่ไกด์จะพาเราไปที่แรก คือ
1.เดินทางสู่ - ภูเขาฮัลลาซาน เกาะเจจู
산 핼 라자 냐 번 . ครั้งหนึ่งที่ภูเขาฮัลลาซาน
เมืองมรดกโลก เกาะเชจู ที่องค์การ UNESCO ให้รางวัลเกาะเชจูเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติแห่งใหม่ของโลก (THE WORLD’S NEW 7 WONDERS OF NATURE) เพราะเกาะเชจูเป็นเกาะที่เกิดใหม่จากภูเขาไฟ พาท่านเดินทางสู่ ภูเขาฮัลลาซาน เป็นภูเขาที่สูงที่สุดในประเทศเกาหลีใต้ ประกอบด้วยภูเขาไฟที่ดับไปนานแล้วซึ่งเป็นต้นกำเนิดของเกาะส่วนใหญ่ในเชจู ภูเขาฮัลลาซานมีความสูง 1,950 เมตร และได้รับการคัดเลือกให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่มีความสวยงามลำดับที่ 182 ของเกาหลี และจัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติตั้งแต่ปี ค.ศ. 1970 ภูเขาฮัลลาได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นพื้นที่สงวนเขตชีวมณฑล (UNESCO Biosphere Reserve) และเพียงอีกห้าปีต่อมาก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ (World Natural Heritage Site)
เกาะเชจูเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติแห่งใหม่ของโลก
ครั้งแรกที่มาเกาหลี เลือกมาที่เจจู แค่ที่แรกเรามาถึง ก็รู้สึกประทับใจมากค่ะ สวยมาก ขนาดว่าหิมะละลายไปบ้างแล้ว อากาศดีมาก 3 องศา ถ้าติดลบคงไม่สนุกแน่ คงแข็งตาย แต่แค่ 3 องศา ถ้าลมพัดมาทีไร แอบหนาวยะเยือกจริงๆ ฮู้วววว
ภาพบรรยากาศโดยรอบ สวยใช่มั้ยค่ะ ลืมแนะนำไกด์ของทัวร์เราเลยค่ะ
มีไกด์คนเกาหลี ชื่อ สมชาย และไกด์ไทย ชือ พี่รัตต์ค่ะ ซึ่งน่ารักมาก ให้บริการ และให้ข้อมูลเราเป็นอย่างดี
จบไป 1 ที่นะคะ เป็นยังไงบ้างค่ะ อันนี้แค่น้ำจิ้มเล็ก ๆ น้อย ๆ นะคะ ก่อนที่จะไปชมสถานที่ต่อไป
พวกเราได้มีการถ่ายรูปหมู่กันก่อนค่ะ เก็บไว้เป็นที่ระลึก
2.เดินทางสู่: สวนส้มไร้เมล็ด เกาะเจจู
สวนส้มไร้เมล็ด เป็นสวนส้มแมนดารินไร้เมล็ดที่มีชื่อเสียงของเกาะเจจู และเป็นส้มพันธุ์พิเศษที่ขึ้นเฉพาะที่เกาะเจจู มีราคาค่อนข้างสูง ให้ รสชาติกลมกล่อม และมีวิตามินซีที่เป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระเป็นจำนวนมาก มีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว และสีสันสดใส
เชิญเดินเล่นเที่ยวชมรอบๆ บริเวณสวนส้ม พร้อมทดลองชิมส้มแมนดารินไร้เมล็ด
ลูกโต๊โต น่ากินใช่มั้ยค่ะ อิอิ
ถ่ายรูปกับหินศักดิ์สิทธิ์ ถ้ามาเจจู สังเกตุหินรูปคนแบบนี้นะคะ มีทั่วเกาะเลยค่ะ
เชื่อกันว่า เป็นเทพเจ้าแห่งโชค คนที่เดินทางมาที่เกาะเจจู ส่วนใหญ่จะมาขอเรื่องความรัก
สุขภาพ โชคลาภ เพื่อนๆ คนไหนมีโอกาสมาเจจู อย่าลืมแวะมาลูบนะคะ ขอพรท่าน กลับไปสำเร็จดังใจทุกคนนะ
(เราก็แอบขอ แต่เราขอเรื่องสุขภาพอ่ะค่ะ 555) เพลิดเพลินกับการถ่ายรูปแล้ว ขากลับออกจากไร่ส้ม เค้าแจกส้มให้พวกเราชิมด้วยค่ะ อร่อยสมคำล่ำรือ
พักเบรคเที่ยวสักครู่นะคะ ตอนนี้ท้องร้องล่ะ
มื้อแรกที่เกาหลี : อาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร ไก่พะโล้เกาหลี
ไก่พะโล้เกาหลีเป็นเมนูอาหารที่ศิลปินชื่อดังของเกาหลีคือ SEVEN คิดค้นขึ้น ซึ่งส่วนผสมจะประกอบไปด้วย
เนื้อไก่ มันฝรั่ง วุ้นเส้น มีรสชาติและสีคล้ายกับพะโล้บ้านเรา เสิร์ฟพร้อมข้าวสวยร้อนๆ และกิมจิชนิดต่างๆ
พอทานเสร็จออกมาก็จะมีรถขายสตอเบอร์รี่อยู่ด้านหน้า ลูกโตมาก อดใจไม่ไหว คนขายก็หล่อซะด้วย
ช่วยอุดหนุนไป 1 กล่องค่ะ ตกกล่องละ 15000 วอน ตีเป็นเงินไทยประมาณ 450 บาทค่ะ แต่คุ้มค่าค่ะ เพราะมันอร่อยมาก
อย่าอิจฉากันล่ะ อิอิ ขอตัวขึ้นรถเพื่อไปเที่ยวที่ต่อไปนะคะ
วันนี้เราขอรีวิวการเดินทางที่เกาะเจจู ตอนที่ 1 ไว้เท่านี้ก่อนนะคะ เพราะง่วงมากๆ ตอนหน้าจะพาไป
ดินแดนมุ้งมิ้งของใครหลาย ๆคน HELLO KITTY ISLAND JEJU ที่จัดการแสดงเรื่องราว Hello Kitty หลากหลายเวอร์ชั่น พร้อมเรื่องราวความเป็นมา รวมถึงบรรดาของที่ระลึกน่ารักๆมากมายให้ท่านได้เลือกซื้อติดไม้ติดมือ รับรองถูกใจสาวกของ Hello Kitty แน่นอน จากนั้นพาท่านเดินทางสู่ พิพิธภัณฑ์ชาโอซุลลอค (O’Sulloc Tea House) ดินแดนที่ได้รับของขวัญจากธรรมชาติ ทำให้เป็นที่ปลูกชาเขียวคุณภาพสูง เป็นสถานที่จัดแสดงประวัติและวัฒนธรรมการผลิตชาเขียวอันหลากหลาย รวมถึงผลิตภัณฑ์แปรรูปจากชาเชียวนานาชนิด อาทิเช่น เค้กชาเขียว ไอศกรีมชาเขียว และแผ่นมาส์กหน้าชาเขียว ภายในยังมีหอชมวิวซึ่งนักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสกับภาพบรรยากาศของไร่ชาเขียวที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลีใต้ รวมทั้งถ่ายภาพที่ระลึกกับถ้วยชา ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของไร่ชาเขียวที่นี่เลยทีเดียว,โขดหินรูปมังกร,จูซังจอลลี่,วัดซันบังซา พร้อมรับประทานอาหารค่ำ และเข้าที่พัก (อันนี้แค่ทริป 1 วันเท่านั้นนะคะ)
พบกันรีวิวหน้า นะคะ กับพวกเรา นักเดินทางสมัครเล่น รีวิวนี้หากผิดพลาดประการใดขออภัยไว้นะที่นี้นะคะ
ฝากติดตามบันทึกการเดินทางของพวกเราได้ที่ FB : Traveler Blog
Review by Khemmanat.S
[CR] Review : Winter Jeju in Korea (เค้า..กะเตง ตอนพิเศษ ที่ เจจู) ตอนที่ 1
เดินทางด้วย Estar jet ไปครั้งนี้เราเลือกเดินทางโดยทั่วค่ะ
ไปกลับ สุวรรณภูมิ-เจจู 5-8 มกราคม 2559 รวม 2 คืน 4 วันค่ะ
ราคารวม ทั้งไป-กลับคนละ 11,900 ค่ะ
บินไปด้วยไฟลท์ เวลา 01.30 น. ถึงเกาหลีใต้เก้าโมงเช้าค่ะ
(เดินทางเกือบ 6 ชั่วโมงแต่เวลาที่เกาหลีนำไทย 2 ชั่วโมงค่ะ)
ก่อนเครื่องออก พวกเราก็หาอะไรรองท้องกันก่อน นี่เลย ห้องอาหารที่สนามบิน ถูก รสชาติพอใช้ได้ค่ะ
ได้เวลาเช็คอินแล้วค่ะ เตรียมตัวบินลัดฟ้าไปเกาะเจจูกันเลยค่า
ถึงแล้ว เจจู ถนนหนทางคล้ายๆ บ้านเรา แต่เป็นระเบียบมาก รถไม่ติด ดูไม่วุ่นวาย อากาศที่นี่กำลังดี ไม่หนาวมากเท่าไหร่ ตอนนั้นที่ไปประมาณ 3 องศา
สถานที่แรกที่ไกด์จะพาเราไปที่แรก คือ
1.เดินทางสู่ - ภูเขาฮัลลาซาน เกาะเจจู
산 핼 라자 냐 번 . ครั้งหนึ่งที่ภูเขาฮัลลาซาน
เมืองมรดกโลก เกาะเชจู ที่องค์การ UNESCO ให้รางวัลเกาะเชจูเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติแห่งใหม่ของโลก (THE WORLD’S NEW 7 WONDERS OF NATURE) เพราะเกาะเชจูเป็นเกาะที่เกิดใหม่จากภูเขาไฟ พาท่านเดินทางสู่ ภูเขาฮัลลาซาน เป็นภูเขาที่สูงที่สุดในประเทศเกาหลีใต้ ประกอบด้วยภูเขาไฟที่ดับไปนานแล้วซึ่งเป็นต้นกำเนิดของเกาะส่วนใหญ่ในเชจู ภูเขาฮัลลาซานมีความสูง 1,950 เมตร และได้รับการคัดเลือกให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่มีความสวยงามลำดับที่ 182 ของเกาหลี และจัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติตั้งแต่ปี ค.ศ. 1970 ภูเขาฮัลลาได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นพื้นที่สงวนเขตชีวมณฑล (UNESCO Biosphere Reserve) และเพียงอีกห้าปีต่อมาก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ (World Natural Heritage Site)
เกาะเชจูเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติแห่งใหม่ของโลก
ครั้งแรกที่มาเกาหลี เลือกมาที่เจจู แค่ที่แรกเรามาถึง ก็รู้สึกประทับใจมากค่ะ สวยมาก ขนาดว่าหิมะละลายไปบ้างแล้ว อากาศดีมาก 3 องศา ถ้าติดลบคงไม่สนุกแน่ คงแข็งตาย แต่แค่ 3 องศา ถ้าลมพัดมาทีไร แอบหนาวยะเยือกจริงๆ ฮู้วววว
ภาพบรรยากาศโดยรอบ สวยใช่มั้ยค่ะ ลืมแนะนำไกด์ของทัวร์เราเลยค่ะ
มีไกด์คนเกาหลี ชื่อ สมชาย และไกด์ไทย ชือ พี่รัตต์ค่ะ ซึ่งน่ารักมาก ให้บริการ และให้ข้อมูลเราเป็นอย่างดี
จบไป 1 ที่นะคะ เป็นยังไงบ้างค่ะ อันนี้แค่น้ำจิ้มเล็ก ๆ น้อย ๆ นะคะ ก่อนที่จะไปชมสถานที่ต่อไป
พวกเราได้มีการถ่ายรูปหมู่กันก่อนค่ะ เก็บไว้เป็นที่ระลึก
2.เดินทางสู่: สวนส้มไร้เมล็ด เกาะเจจู
สวนส้มไร้เมล็ด เป็นสวนส้มแมนดารินไร้เมล็ดที่มีชื่อเสียงของเกาะเจจู และเป็นส้มพันธุ์พิเศษที่ขึ้นเฉพาะที่เกาะเจจู มีราคาค่อนข้างสูง ให้ รสชาติกลมกล่อม และมีวิตามินซีที่เป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระเป็นจำนวนมาก มีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว และสีสันสดใส
เชิญเดินเล่นเที่ยวชมรอบๆ บริเวณสวนส้ม พร้อมทดลองชิมส้มแมนดารินไร้เมล็ด
ลูกโต๊โต น่ากินใช่มั้ยค่ะ อิอิ
ถ่ายรูปกับหินศักดิ์สิทธิ์ ถ้ามาเจจู สังเกตุหินรูปคนแบบนี้นะคะ มีทั่วเกาะเลยค่ะ
เชื่อกันว่า เป็นเทพเจ้าแห่งโชค คนที่เดินทางมาที่เกาะเจจู ส่วนใหญ่จะมาขอเรื่องความรัก
สุขภาพ โชคลาภ เพื่อนๆ คนไหนมีโอกาสมาเจจู อย่าลืมแวะมาลูบนะคะ ขอพรท่าน กลับไปสำเร็จดังใจทุกคนนะ
(เราก็แอบขอ แต่เราขอเรื่องสุขภาพอ่ะค่ะ 555) เพลิดเพลินกับการถ่ายรูปแล้ว ขากลับออกจากไร่ส้ม เค้าแจกส้มให้พวกเราชิมด้วยค่ะ อร่อยสมคำล่ำรือ
พักเบรคเที่ยวสักครู่นะคะ ตอนนี้ท้องร้องล่ะ
มื้อแรกที่เกาหลี : อาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร ไก่พะโล้เกาหลี
ไก่พะโล้เกาหลีเป็นเมนูอาหารที่ศิลปินชื่อดังของเกาหลีคือ SEVEN คิดค้นขึ้น ซึ่งส่วนผสมจะประกอบไปด้วย
เนื้อไก่ มันฝรั่ง วุ้นเส้น มีรสชาติและสีคล้ายกับพะโล้บ้านเรา เสิร์ฟพร้อมข้าวสวยร้อนๆ และกิมจิชนิดต่างๆ
พอทานเสร็จออกมาก็จะมีรถขายสตอเบอร์รี่อยู่ด้านหน้า ลูกโตมาก อดใจไม่ไหว คนขายก็หล่อซะด้วย
ช่วยอุดหนุนไป 1 กล่องค่ะ ตกกล่องละ 15000 วอน ตีเป็นเงินไทยประมาณ 450 บาทค่ะ แต่คุ้มค่าค่ะ เพราะมันอร่อยมาก
อย่าอิจฉากันล่ะ อิอิ ขอตัวขึ้นรถเพื่อไปเที่ยวที่ต่อไปนะคะ
วันนี้เราขอรีวิวการเดินทางที่เกาะเจจู ตอนที่ 1 ไว้เท่านี้ก่อนนะคะ เพราะง่วงมากๆ ตอนหน้าจะพาไป
ดินแดนมุ้งมิ้งของใครหลาย ๆคน HELLO KITTY ISLAND JEJU ที่จัดการแสดงเรื่องราว Hello Kitty หลากหลายเวอร์ชั่น พร้อมเรื่องราวความเป็นมา รวมถึงบรรดาของที่ระลึกน่ารักๆมากมายให้ท่านได้เลือกซื้อติดไม้ติดมือ รับรองถูกใจสาวกของ Hello Kitty แน่นอน จากนั้นพาท่านเดินทางสู่ พิพิธภัณฑ์ชาโอซุลลอค (O’Sulloc Tea House) ดินแดนที่ได้รับของขวัญจากธรรมชาติ ทำให้เป็นที่ปลูกชาเขียวคุณภาพสูง เป็นสถานที่จัดแสดงประวัติและวัฒนธรรมการผลิตชาเขียวอันหลากหลาย รวมถึงผลิตภัณฑ์แปรรูปจากชาเชียวนานาชนิด อาทิเช่น เค้กชาเขียว ไอศกรีมชาเขียว และแผ่นมาส์กหน้าชาเขียว ภายในยังมีหอชมวิวซึ่งนักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสกับภาพบรรยากาศของไร่ชาเขียวที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลีใต้ รวมทั้งถ่ายภาพที่ระลึกกับถ้วยชา ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของไร่ชาเขียวที่นี่เลยทีเดียว,โขดหินรูปมังกร,จูซังจอลลี่,วัดซันบังซา พร้อมรับประทานอาหารค่ำ และเข้าที่พัก (อันนี้แค่ทริป 1 วันเท่านั้นนะคะ)
พบกันรีวิวหน้า นะคะ กับพวกเรา นักเดินทางสมัครเล่น รีวิวนี้หากผิดพลาดประการใดขออภัยไว้นะที่นี้นะคะ
ฝากติดตามบันทึกการเดินทางของพวกเราได้ที่ FB : Traveler Blog
Review by Khemmanat.S