จำได้ว่าเมื่อสมัยลองเล่นหุ้นครั้งแรก ตอนนั้นอายุยังไม่ถึงเกณฑ์ ต้องไปธนาคารกับแม่แล้วให้แม่ช่วยเซ็นรับทราบให้....พอเริ่มลงทุนตอนนั้นยังไม่รู้จักค่า P/E เลยด้วยซ้ำ ตอนเล่นใหม่ๆ ซื้อ CPF เพราะเข้าใจว่าทำธุรกิจเซเว่น(7-11)ถือไปอยู่นานราคาก็ขึ้นๆลงๆแถวๆ 22 บาท พอพวกมาบ้างกำไรก็ขายออกไป ได้กำไร 200-400 บาท เวลาผ่านไปความรู้ก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นเลยเราก็แค่ซื้อๆขายๆเหมือนเดิม

จนช่วงนึงตลาดหุ้นเริ่มปรับฐานช่วงปี 2014 จากแถวๆ 1600 จุด ลงมาอยู่ที่ 1280-1300 จุด ตอนนั้นก็หน้ามืดเลยติดดอยขนาดนั้นจำได้ว่าพอร์ทรวมลดประมาณ 40% ตอนนั้นเงินที่ตัวเองเก็บมารวมกับเงินที่ได้มาจากแม่ก็ติดอยู่ในพอร์ท เป็นการดอยครั้งแรก! จากนั้นก็เลยไม่ค่อยได้เปิดพอร์ทดูอีกเลยปล่อยให้มันปันผลและถือคติ "ไม่ขายไม่ขาดทุน" จนวันเวลาผ่านไปหุ้นที่ติดก็หลุดดอยซักที
หลังจากเราหลุดจากดอยเราก็คิดว่าควรที่จะหาความรู้เพิ่มเติม ที่ผ่านมาถือว่าเป็นบทเรียนราคาแพง โดยก็เริ่มจากการอ่าน ตีแตกของเซียน VI อย่าง ดร.นิเวศน์ รู้สึกว่าได้ภาพรวมการมองตลาดภาพรวมมากขึ้น เช่น ค่าเงินแข็งหรืออ่อนค่า ควรจะลงอุตสาหกรรมประเภทไหนแล้วมีหุ้นอะไรในตลาด ทีนี้ก็เริ่มอ่านหนังสือเล่มอื่นๆอีกเช่น common stock uncommon profit by philip fisher, one up on wall street peter lynch , intelligent investor เล่มแดงในตำนานนนนนนนนน นานนนนมากกว่าจะอ่านจบ อ่านแล้วก็หลับ พยายามยังไงก็หลับ แต่มีคนแนะนำให้อ่านมาเพื่อให้ได้ mindset ที่ดีเราก็ว่ามันดีจริงๆเพราะไม่จำเป็นที่เราต้องลงทุนในหุ้นตลอดเวลา แต่เราสามารถเลือกที่จะลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆได้ตามความเหมาะสมของผลตอบแทนและความเสี่ยงของสินทรัพย์ต่างๆ เช่น ถ้าผลตอบแทนในตลาดหุ้นซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงมีค่าใกล้เคียงกับผลตอบแทนอย่างตราสารหนี้ซึ่งมีความเสี่ยงน้อยกว่า เราอาาจะเลือกลงทุนในตราสารหนี้แทนเพราะรับความเสี่ยงน้อยกว่า
ในหลายๆหนังสือที่ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนในหุ้นเขียน ก็มักจะพูด 2 เรื่องใหญ่ๆ 1.ปัจจัยพื้นฐานของบริษัท 2.ปัจจัยทางเทคนิค(ที่เราเห็นเป็นกราฟ) วันนี้จะมาโฟกัสเรื่องของปัจจัยพื้นฐาน ซึ่งการดูปัจจัยพื้นฐานก็จะดูตั้งแต่ การวิเคราะห์เศรษฐกิจ>การวิเคราะห์อุตสาหกรรม>การวิเคราะห์บริษัท
การวิเคราะหเศรษฐกิจ (Economic Analysis)
“การวิเคราะห์เศรษฐกิจ” จะเป็นการวิเคราะห์ภาพใหญ่ดูว่าเศรษฐกิจอยู่ในช่วงขาขึ้น-ลง อาจจะดูตัวเลขการจ้างงาน,เงินเฟ้อ , GDP ซึ่ง GDP ก็จะประกอบไปด้วย C + I + G + (X-M) ซึ่งเราก็ควรจะไปดูตัวข้างในว่าตัวไหนที่โตดี เพราะหุ้นของบริษัทที่อยู่ในกลุ่มนั้นๆก็จะได้รับผลประโยชน์มากกว่าตัวอื่นๆ
NOTE:
C= การบริโภคภายในประเทศ
I= การลงทุนภาคเอกชน
G= การลงทุนจากภาครัฐ
X= การส่งออก
M= การนำเข้า
การวิเคราะห์อตุสาหกรรม(Industry Analysis)
ดูว่าอุตสาหกรรมไหนที่จะได้รับผลประโยชน์จากการเติบโตของเศรษฐกิจภาพใหญ่อย่างที่บอกไปข้างบน ประกอบกับ mega trend อันไหนที่กำลังจะมา เพราะเทรนผู้บริโภคก็จะทำให้กลุ่มอุตสาหกรรมนั้นๆเติบโตมากกว่าอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่นปัจจุบันเราอาจจะบอกว่า fintech หรือ รถ EV
การวิเคราะห์บริษัท(Company Analysis)
ทีนี้ก็จะเป็นการดูเป็นหุ้นรายตัวไป อาจจะแบ่งภาพใหญ่ๆได้ 2 แบบ คือ 1.ปัจจัยเชิงคุณภาพ 2.ปัจจัยเชิงปริมาณ
ปัจจัยเชิงคุณภาพ เช่น การวิเคราะห์ 5 forecs model , การวิเคราะห์ SWOT

การวิเคราะห์เชิงคุณภาพผมว่ามีความสำคัญเพราะมันเป็นการใช้ skill ในการดูถึงความสามารถในการแข่งขัน การใช้ประสพการณ์ในการมองอนาคตของบริษัทซึ่งไม่ใช่ว่าทุกคนจะทำได้ เช่นบอกว่าเราอยากจะลงทุนใน 7-11 แต่เมื่อ 5 ปีก่อนเพราะเรามองเห็นถึงความสามารถในการแข่งขันเมื่อเทียบกับร้านขายของอย่างโชวห่วย หรือจะเป็นร้านขายของชำที่อื่นๆ เพราะถ้าเราไปดูงบการเงินตอนนั้นมันก็อาจจะยังไม่ได้แสดงถึงอนาคตของบริษัทเลย มันเพียงแต่แสดงถึงสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วเท่านั้น!
ปัจจัยเชิงปริมาณ เช่นการดูงบการเงิน การดูงบการเงินเบื้องต้นอาจจะดูเพียงไม่กี่ตัวก่อนก็ได้ตอนเริ่มต้น ที่แนะนำให้ดูจะเป็น
P/E - เป็นการดูราคาหุ้นเทียบกับรายได้ต่อหุ้นที่ทำได้ จะบอกคร่าวๆว่าถ้าเราลงทุนไปเราใช้เวลากี่ปีที่จะคืนทุน เช่น P/E 10 หมายความว่าใช้เวลาประมาณ 10 ปีในการคืนทุน(เราไม่ได้คำนึงถึงอัตราการเติบโตของบริษัท)
P/BV - Price to book value บอกคร่าวๆว่าเราลงทุนได้ถูกกว่าหรือแพงกว่าเจ้าของบริษัท >1 คือแพงกว่า, =1 คือเท่ากับเจ้าของบริษัท, 1< คือลงทุนถูกกว่าเจ้าของบริษัท ย่างไรก็ตามต้องระวังเรื่องของบริษัทที่กำลังจะเจ้งก็อาจจะมีค่านี้ต่ำๆก็ได้
PE/G - เป็นการนำเอา PE มาใส่เรื่องของการเติบโตของบริษัทเข้าไป ซึ่งเป็นการนำ PE มาหารด้วย %growth ของบริษัท ค่านี้ควรมีค่าน้อยกว่า 1
ROE - ผลตอบแทนของผู้ถือหุ้น เช่นเราเอาเงอนไปลงทุน 100 บาท เราจะได้ผลตอบแทนกลับมากี่บาท ยิ่งเยอะๆยิ่งดี
ROA - ผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ เช่นถ้ามีสินทรัพย์ 100 บาท จะได้ผลตอบแทนมาเท่าไหร่จากสินทรัพย์ที่เรามี ยิ่งเยอะยิ่งดี!
Net profit - กำไรสุทธินั้นเอง ยิ่งเยอะยิ่งดี แต่ก็ขึ้นอยู่กับอุตสาหกรรมบางอุตสาหกรรมก็จะเยอะ บางอุตสาหกรรมก็จะน้อยแตกต่างกันไป
ร่ายมายาววววมากแต่ก็ยังคร่าวๆอยู่ดีจะเห็นว่าการจะลงทุนในหุ้นนั้นต้องศึกษาในหลายๆแง่มุมจริงๆ ไม่ใช่แค่มองว่าอันนี้ดีแล้วจบเท่านั้นแต่เป็นการมองภาพรวมทุกๆด้านโดยเราให้คะแนนว่าด้านไหนที่เราให้คะแนนมากที่สุด ดังนั้นมาแชร์กันว่า นักลงทุนระดับประเทศ หรือระดับโลกที่เขาได้ทำการวิเคราะห์และประมวลผลข้อมูลทั้งด้าน technical และ fundermental แล้วจะได้หุ้นตัวไหนออกมากันบ้าง?
มาร่วมกันแชร์ว่าเซียนหุ้นเขาถือหุ้นอะไรกัน ? แล้วเราถือหุ้นอะไรเพราะอะไร? (ทั้งสาย VI และ เทคนิค)
จนช่วงนึงตลาดหุ้นเริ่มปรับฐานช่วงปี 2014 จากแถวๆ 1600 จุด ลงมาอยู่ที่ 1280-1300 จุด ตอนนั้นก็หน้ามืดเลยติดดอยขนาดนั้นจำได้ว่าพอร์ทรวมลดประมาณ 40% ตอนนั้นเงินที่ตัวเองเก็บมารวมกับเงินที่ได้มาจากแม่ก็ติดอยู่ในพอร์ท เป็นการดอยครั้งแรก! จากนั้นก็เลยไม่ค่อยได้เปิดพอร์ทดูอีกเลยปล่อยให้มันปันผลและถือคติ "ไม่ขายไม่ขาดทุน" จนวันเวลาผ่านไปหุ้นที่ติดก็หลุดดอยซักที
หลังจากเราหลุดจากดอยเราก็คิดว่าควรที่จะหาความรู้เพิ่มเติม ที่ผ่านมาถือว่าเป็นบทเรียนราคาแพง โดยก็เริ่มจากการอ่าน ตีแตกของเซียน VI อย่าง ดร.นิเวศน์ รู้สึกว่าได้ภาพรวมการมองตลาดภาพรวมมากขึ้น เช่น ค่าเงินแข็งหรืออ่อนค่า ควรจะลงอุตสาหกรรมประเภทไหนแล้วมีหุ้นอะไรในตลาด ทีนี้ก็เริ่มอ่านหนังสือเล่มอื่นๆอีกเช่น common stock uncommon profit by philip fisher, one up on wall street peter lynch , intelligent investor เล่มแดงในตำนานนนนนนนนน นานนนนมากกว่าจะอ่านจบ อ่านแล้วก็หลับ พยายามยังไงก็หลับ แต่มีคนแนะนำให้อ่านมาเพื่อให้ได้ mindset ที่ดีเราก็ว่ามันดีจริงๆเพราะไม่จำเป็นที่เราต้องลงทุนในหุ้นตลอดเวลา แต่เราสามารถเลือกที่จะลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆได้ตามความเหมาะสมของผลตอบแทนและความเสี่ยงของสินทรัพย์ต่างๆ เช่น ถ้าผลตอบแทนในตลาดหุ้นซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงมีค่าใกล้เคียงกับผลตอบแทนอย่างตราสารหนี้ซึ่งมีความเสี่ยงน้อยกว่า เราอาาจะเลือกลงทุนในตราสารหนี้แทนเพราะรับความเสี่ยงน้อยกว่า
ในหลายๆหนังสือที่ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนในหุ้นเขียน ก็มักจะพูด 2 เรื่องใหญ่ๆ 1.ปัจจัยพื้นฐานของบริษัท 2.ปัจจัยทางเทคนิค(ที่เราเห็นเป็นกราฟ) วันนี้จะมาโฟกัสเรื่องของปัจจัยพื้นฐาน ซึ่งการดูปัจจัยพื้นฐานก็จะดูตั้งแต่ การวิเคราะห์เศรษฐกิจ>การวิเคราะห์อุตสาหกรรม>การวิเคราะห์บริษัท
การวิเคราะหเศรษฐกิจ (Economic Analysis)
“การวิเคราะห์เศรษฐกิจ” จะเป็นการวิเคราะห์ภาพใหญ่ดูว่าเศรษฐกิจอยู่ในช่วงขาขึ้น-ลง อาจจะดูตัวเลขการจ้างงาน,เงินเฟ้อ , GDP ซึ่ง GDP ก็จะประกอบไปด้วย C + I + G + (X-M) ซึ่งเราก็ควรจะไปดูตัวข้างในว่าตัวไหนที่โตดี เพราะหุ้นของบริษัทที่อยู่ในกลุ่มนั้นๆก็จะได้รับผลประโยชน์มากกว่าตัวอื่นๆ
NOTE:
C= การบริโภคภายในประเทศ
I= การลงทุนภาคเอกชน
G= การลงทุนจากภาครัฐ
X= การส่งออก
M= การนำเข้า
การวิเคราะห์อตุสาหกรรม(Industry Analysis)
ดูว่าอุตสาหกรรมไหนที่จะได้รับผลประโยชน์จากการเติบโตของเศรษฐกิจภาพใหญ่อย่างที่บอกไปข้างบน ประกอบกับ mega trend อันไหนที่กำลังจะมา เพราะเทรนผู้บริโภคก็จะทำให้กลุ่มอุตสาหกรรมนั้นๆเติบโตมากกว่าอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่นปัจจุบันเราอาจจะบอกว่า fintech หรือ รถ EV
การวิเคราะห์บริษัท(Company Analysis)
ทีนี้ก็จะเป็นการดูเป็นหุ้นรายตัวไป อาจจะแบ่งภาพใหญ่ๆได้ 2 แบบ คือ 1.ปัจจัยเชิงคุณภาพ 2.ปัจจัยเชิงปริมาณ
ปัจจัยเชิงคุณภาพ เช่น การวิเคราะห์ 5 forecs model , การวิเคราะห์ SWOT
การวิเคราะห์เชิงคุณภาพผมว่ามีความสำคัญเพราะมันเป็นการใช้ skill ในการดูถึงความสามารถในการแข่งขัน การใช้ประสพการณ์ในการมองอนาคตของบริษัทซึ่งไม่ใช่ว่าทุกคนจะทำได้ เช่นบอกว่าเราอยากจะลงทุนใน 7-11 แต่เมื่อ 5 ปีก่อนเพราะเรามองเห็นถึงความสามารถในการแข่งขันเมื่อเทียบกับร้านขายของอย่างโชวห่วย หรือจะเป็นร้านขายของชำที่อื่นๆ เพราะถ้าเราไปดูงบการเงินตอนนั้นมันก็อาจจะยังไม่ได้แสดงถึงอนาคตของบริษัทเลย มันเพียงแต่แสดงถึงสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วเท่านั้น!
ปัจจัยเชิงปริมาณ เช่นการดูงบการเงิน การดูงบการเงินเบื้องต้นอาจจะดูเพียงไม่กี่ตัวก่อนก็ได้ตอนเริ่มต้น ที่แนะนำให้ดูจะเป็น
P/E - เป็นการดูราคาหุ้นเทียบกับรายได้ต่อหุ้นที่ทำได้ จะบอกคร่าวๆว่าถ้าเราลงทุนไปเราใช้เวลากี่ปีที่จะคืนทุน เช่น P/E 10 หมายความว่าใช้เวลาประมาณ 10 ปีในการคืนทุน(เราไม่ได้คำนึงถึงอัตราการเติบโตของบริษัท)
P/BV - Price to book value บอกคร่าวๆว่าเราลงทุนได้ถูกกว่าหรือแพงกว่าเจ้าของบริษัท >1 คือแพงกว่า, =1 คือเท่ากับเจ้าของบริษัท, 1< คือลงทุนถูกกว่าเจ้าของบริษัท ย่างไรก็ตามต้องระวังเรื่องของบริษัทที่กำลังจะเจ้งก็อาจจะมีค่านี้ต่ำๆก็ได้
PE/G - เป็นการนำเอา PE มาใส่เรื่องของการเติบโตของบริษัทเข้าไป ซึ่งเป็นการนำ PE มาหารด้วย %growth ของบริษัท ค่านี้ควรมีค่าน้อยกว่า 1
ROE - ผลตอบแทนของผู้ถือหุ้น เช่นเราเอาเงอนไปลงทุน 100 บาท เราจะได้ผลตอบแทนกลับมากี่บาท ยิ่งเยอะๆยิ่งดี
ROA - ผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ เช่นถ้ามีสินทรัพย์ 100 บาท จะได้ผลตอบแทนมาเท่าไหร่จากสินทรัพย์ที่เรามี ยิ่งเยอะยิ่งดี!
Net profit - กำไรสุทธินั้นเอง ยิ่งเยอะยิ่งดี แต่ก็ขึ้นอยู่กับอุตสาหกรรมบางอุตสาหกรรมก็จะเยอะ บางอุตสาหกรรมก็จะน้อยแตกต่างกันไป
ร่ายมายาววววมากแต่ก็ยังคร่าวๆอยู่ดีจะเห็นว่าการจะลงทุนในหุ้นนั้นต้องศึกษาในหลายๆแง่มุมจริงๆ ไม่ใช่แค่มองว่าอันนี้ดีแล้วจบเท่านั้นแต่เป็นการมองภาพรวมทุกๆด้านโดยเราให้คะแนนว่าด้านไหนที่เราให้คะแนนมากที่สุด ดังนั้นมาแชร์กันว่า นักลงทุนระดับประเทศ หรือระดับโลกที่เขาได้ทำการวิเคราะห์และประมวลผลข้อมูลทั้งด้าน technical และ fundermental แล้วจะได้หุ้นตัวไหนออกมากันบ้าง?