[หนังโรงเรื่องที่ 217] Lady Bird - ก้าวพ้นวัยสาว ; (Greta Gerwig, 2017)
by ตั๋วหนังมันแพง
คะแนนความชอบ : A++ (จากสเกล D-A)
*มีการสปอยล์เนื้อเรื่องสำคัญเล็กน้อย
เรื่องย่อ: เรื่องราวเกี่ยวกับเด็กสาวในย่านคาทอลิกจัด ที่ตั้งชื่อให้ตัวเองด้วยความเก๋ไก๋อย่าง "เลดี้ เบิร์ด" (Saoirse Ronan) ที่กำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวต่อกำลังจะจบชั้นมัธยมปลาย ที่ต้องเผชิญการเปลี่ยนแปลงทั้งด้านร่างกายและจิตใจของตัวเอง รวมไปถึงช่วงวัยที่ความเป็นขบถของตัวเองถูกแสดงออกมาอย่างเต็มที่ ภายใต้สภาวะครอบครัวที่ขัดสนเงินทอง
.
.
นี่อาจจะเป็นหนังไม่กี่เรื่องที่ผู้เขียนชอบ ... แต่ไม่รู้จะเขียนถึงอะไรดี เพราะหนังมันเป็นลักษณะ "ก้าวข้ามพ้นวัย" (coming-of-age) ที่ไม่ได้ขายอะไรที่ดูหวือหวาโดดเด่นเหนือธรรมชาติเลย หากแต่มันเป็นหนังธรรมดาๆ เรื่องหนึ่ง ที่เล่าถึงชีวิตของเด็กผู้หญิงธรรมดาๆ คนหนึ่ง ที่อยากจะเป็นคนพิเศษ--ก็เท่านั้น
.
ตัวละครของ Lady Bird ก็เป็นเหมือนเด็กสาวทั่วไป ที่อยู่ในวัยที่อยากจะสร้างอัตลักษณ์ (identity) ของตัวเองให้โดดเด่นเหนือใคร อยากเป็นคนที่เท่กว่าใคร และอยากขบถกับทุกขนบธรรมเนียมที่รายล้อมรอบตัวเธอในสังคมของโรงเรียนคาทอลิกเคร่งศาสนาประจำท้องถิ่นในซาคราเมนโต ดังนั้นความขัดแย้ง (conflicts) ในตัวเธอจึงกำเนิดขึ้นจากขั้วของความเชื่อของทั้งศาสนาและสมัยนิยมปะปนกันไป
.
แต่ถึงแม้ Lady Bird จะอยากเป็น "cool girl" จนใจจะขาด แต่เหมือนฐานะทางบ้านของเธอจะไม่นำพาสักเท่าไรนัก ด้วยรายได้ที่จำกัดจำเขี่ยของพ่อและแม่ก็ทำให้วิถีชีวิตเธอไม่สามารถหรูหราได้อย่างที่ฝัน ลำพังค่าใช้จ่ายในบ้านก็แทบจะไม่พอใช้อยู่แล้ว ยังต้องมาเผชิญกับสถานการณ์ที่พ่อกำลังหมิ่นเหม่จะโดนเชิญออกจากงานอีก เรื่องเงินเรื่องทองจึงเป็นหนึ่งในปมในใจที่ใหญ่ที่สุดของ Lady Bird อย่างเลี่ยงไม่ได้
.
ส่วนที่ผู้เขียนชอบที่สุดของหนังก็คือ ตอนวันเกิดของ Lady Bird อายุ 18 ปีบริบูรณ์ครั้งแรก และสิ่งแรกที่เธอทำก็คือ "ไปร้านสะดวกซื้อ และซื้อบุหรี่ เหล้า และหนังสือโป๊" พร้อมกับยื่นบัตรประชาชนให้กับคนขายอย่างภาคภูมิ คือมันมีความเป็นอเมริกันมากๆ มันสรุปจุดยืนของการรักและภูมิใจที่จะใช้สิทธิ์ในฐานะของพลเมืองของตนมากๆ
.
หนึ่งในตัวละครหลักที่น่าสนใจอย่างคุณแม่ "แมเรียน" (Marion McPherson) ที่จากบริบทที่หนังให้มาว่าเป็นเหมือนบุคลากรระดับล่างๆ ในสถาบันจิตเวช (aka.โรงพยาบาลบ้า) ซึ่งด้วยรายได้ต่อชั่วโมงที่ไม่มากมายนักก็ทำให้เธอต้อง "ควงกะ" อย่างเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งลำพังเรื่องงานก็ทำให้เธอทั้งอ่อนล้าทั้งร่างกายและจิตใจอยู่แล้ว แต่พอกลับมาบ้านเธอก็ต้องรับผิดชอบในบทบาท "แม่ของทุกคน" ที่ต้องคอยซักผ้าทำความสะอาดและทำอาหารเช้าให้ (ทั้งๆ ที่เธอเพิ่งกลับมาจากทำงานแต่เช้าตรู่) ซ้ำยังต้องมารองรับอารมณ์ที่แปรปรวนเอาแต่ใจของ Lady Bird อีก
หรือไม่ว่าจะเป็นพี่ชายอย่าง "มิเกล" (Jordan Rodrigues) ที่เป็นเหยื่ออารมณ์ของน้องสาวอยู่เป็นประจำ ด้วยความที่เขาเรียนจบวิทยาลัยท้องถิ่นระดับปลายแถว หนำซ้ำงานที่พอจะหาได้ก็คืองานแคชเชียร์ซูเปอร์มาร์เก็ตซะอีก ถ้าเรื่องแค่นี้ยังโดนดูถูกไม่พอแล้ว เขายังโดน Lady Bird ที่เป็นน้องสาวตัวเองโดนเหยียดชาติพันธุ์อีก (ซึ่งจากที่ดูๆ แล้ว น่าจะเป็นอินเดียนท้องถิ่น ได้มาจากใครหว่า?) แต่ถึงจะมีประเด็นพวกนี้มากมายขนาดไหนเขาก็ยังถือว่ามีน้ำอดน้ำทนพอสมควรเลยเชียว
อาจจะพูดได้ว่าหนังเรื่องนี้ไม่ได้โดดเด่นในความเป็นตัวของตัวเองอย่าง Lady Bird ซะทีเดียว แต่มันคือการนำเสนอวิถีชีวิตและความลำบากของคนอื่นๆ ในครอบครัวที่ต่างก็ต้องเผชิญกับความยากลำบากไม่ต่างกัน ซึ่งเอาจริงๆ แล้วพอเราย้อนกลับมาดูความลำบากในชีวิตของ Lady Bird แล้วมันดูขี้ประติ๋วไปเลยเชียว
.
การจัดโทนและอารมณ์ของหนังออกมาโดดเด่นอย่างที่สุด มันให้ความรู้สึกเงียบๆ เหงาๆ ที่เราสามารถเชื่อมโยง (relate) ได้ และทั้งบทพูดและการกระทำของตัวละครก็ดูสมจริง ไม่มีอะไรล้นหรือขาดไปแบบไม่เป็นธรรมชาติ เป็นความลื่นไหลแบบชวนให้ feel good นิดๆ ที่เชื้อชวนให้เราค่อยๆ กลายเป็นส่วนหนึ่งของย่านชานเมืองของซาคราเมนโตไปอย่างไม่รู้ตัว
.
ส่วนที่ติดขัดนิดหน่อยก็คือ pattern ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนสาวสุดไฮโซอย่าง "เจนนา" (Odeya Rush) ที่แรกเริ่มเดิมทีถูกนำเสนอให้เป็นลักษณะ mean girl แบบที่เราคุ้นเคยกันดี แต่พอในเหตุการณ์โป๊ะแตกเรื่องนั้น ก็กลับกลายเป็นว่า เอ๊ นางก็ไม่ได้ so mean สักเท่าไรนี่หว่า บางทีเขาอาจจะเป็นคนดีจริงๆ ก็ได้ ... แต่เราก็งงเป็นไก่ตาแตกอีกครั้งจากบทพูดของนางและแฟนบนรถในคืนวันพรอม คือกลายเป็นหนังทำให้สิ่งที่ตัวเองเหมือนจะตั้งใจสื่อไว้ก่อนหน้านี้เป็นโมฆะหมดเลย ทำให้เราเคว้งไปช่วงหนึ่งว่า "แล้วสรุปหนังเสียเวลาไปร่วมยี่สิบนาทีกับฉากส่วนนั้นทำไมว้า"
รวมไปถึงฉากจบก็ไม่ค่อยเป็นที่พอใจสักเท่าไร แต่ก็พอจะเข้าใจเจตนาของผู้กำกับอยากให้ช่วงเวลาของการ "ก้าวพ้นวัย" เกิดขึ้นอย่างเรียบง่ายและสอดคล้องกับธีมศาสนา (religous) ที่หนังปูมาตั้งแต่ต้นเรื่องให้มากที่สุด
.
.
จริงๆ ก็เขียนมาซะยาวเลยนี่หว่า (หัวเราะ) สำหรับหนังเรื่องนี้ก็อาจจะพูดได้ว่าเป็นหนังดีๆ อีกเรื่องหนึ่งที่สามารถถ่ายทอดบรรยากาศและเจตนาของตัวเองออกมาได้ดี เป็นความพิเศษในความเรียบง่ายและเป็นธรรมชาติโดยไม่ต้องปรุงแต่งอะไรมากมาย ... มาถึงช่วงนี้แล้วอาจจะหาโรงดูยากสักหน่อย แต่ก็ถือว่าเป็นตัวเลือกดีๆ ที่อยากแนะนำกันครับ
ถูกใจกับรีวิวหรืออยากมาพูดคุยเกี่ยวกับหนังกัน ขอเชิญได้ที่เพจเฟซบุ๊ก "ตั๋วหนังมันแพง" นะครับ
[หนังโรงเรื่องที่ 217] Lady Bird - ก้าวพ้นวัยสาว by ตั๋วหนังมันแพง
by ตั๋วหนังมันแพง
คะแนนความชอบ : A++ (จากสเกล D-A)
*มีการสปอยล์เนื้อเรื่องสำคัญเล็กน้อย
เรื่องย่อ: เรื่องราวเกี่ยวกับเด็กสาวในย่านคาทอลิกจัด ที่ตั้งชื่อให้ตัวเองด้วยความเก๋ไก๋อย่าง "เลดี้ เบิร์ด" (Saoirse Ronan) ที่กำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวต่อกำลังจะจบชั้นมัธยมปลาย ที่ต้องเผชิญการเปลี่ยนแปลงทั้งด้านร่างกายและจิตใจของตัวเอง รวมไปถึงช่วงวัยที่ความเป็นขบถของตัวเองถูกแสดงออกมาอย่างเต็มที่ ภายใต้สภาวะครอบครัวที่ขัดสนเงินทอง
.
นี่อาจจะเป็นหนังไม่กี่เรื่องที่ผู้เขียนชอบ ... แต่ไม่รู้จะเขียนถึงอะไรดี เพราะหนังมันเป็นลักษณะ "ก้าวข้ามพ้นวัย" (coming-of-age) ที่ไม่ได้ขายอะไรที่ดูหวือหวาโดดเด่นเหนือธรรมชาติเลย หากแต่มันเป็นหนังธรรมดาๆ เรื่องหนึ่ง ที่เล่าถึงชีวิตของเด็กผู้หญิงธรรมดาๆ คนหนึ่ง ที่อยากจะเป็นคนพิเศษ--ก็เท่านั้น
ตัวละครของ Lady Bird ก็เป็นเหมือนเด็กสาวทั่วไป ที่อยู่ในวัยที่อยากจะสร้างอัตลักษณ์ (identity) ของตัวเองให้โดดเด่นเหนือใคร อยากเป็นคนที่เท่กว่าใคร และอยากขบถกับทุกขนบธรรมเนียมที่รายล้อมรอบตัวเธอในสังคมของโรงเรียนคาทอลิกเคร่งศาสนาประจำท้องถิ่นในซาคราเมนโต ดังนั้นความขัดแย้ง (conflicts) ในตัวเธอจึงกำเนิดขึ้นจากขั้วของความเชื่อของทั้งศาสนาและสมัยนิยมปะปนกันไป
แต่ถึงแม้ Lady Bird จะอยากเป็น "cool girl" จนใจจะขาด แต่เหมือนฐานะทางบ้านของเธอจะไม่นำพาสักเท่าไรนัก ด้วยรายได้ที่จำกัดจำเขี่ยของพ่อและแม่ก็ทำให้วิถีชีวิตเธอไม่สามารถหรูหราได้อย่างที่ฝัน ลำพังค่าใช้จ่ายในบ้านก็แทบจะไม่พอใช้อยู่แล้ว ยังต้องมาเผชิญกับสถานการณ์ที่พ่อกำลังหมิ่นเหม่จะโดนเชิญออกจากงานอีก เรื่องเงินเรื่องทองจึงเป็นหนึ่งในปมในใจที่ใหญ่ที่สุดของ Lady Bird อย่างเลี่ยงไม่ได้
ส่วนที่ผู้เขียนชอบที่สุดของหนังก็คือ ตอนวันเกิดของ Lady Bird อายุ 18 ปีบริบูรณ์ครั้งแรก และสิ่งแรกที่เธอทำก็คือ "ไปร้านสะดวกซื้อ และซื้อบุหรี่ เหล้า และหนังสือโป๊" พร้อมกับยื่นบัตรประชาชนให้กับคนขายอย่างภาคภูมิ คือมันมีความเป็นอเมริกันมากๆ มันสรุปจุดยืนของการรักและภูมิใจที่จะใช้สิทธิ์ในฐานะของพลเมืองของตนมากๆ
หนึ่งในตัวละครหลักที่น่าสนใจอย่างคุณแม่ "แมเรียน" (Marion McPherson) ที่จากบริบทที่หนังให้มาว่าเป็นเหมือนบุคลากรระดับล่างๆ ในสถาบันจิตเวช (aka.โรงพยาบาลบ้า) ซึ่งด้วยรายได้ต่อชั่วโมงที่ไม่มากมายนักก็ทำให้เธอต้อง "ควงกะ" อย่างเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งลำพังเรื่องงานก็ทำให้เธอทั้งอ่อนล้าทั้งร่างกายและจิตใจอยู่แล้ว แต่พอกลับมาบ้านเธอก็ต้องรับผิดชอบในบทบาท "แม่ของทุกคน" ที่ต้องคอยซักผ้าทำความสะอาดและทำอาหารเช้าให้ (ทั้งๆ ที่เธอเพิ่งกลับมาจากทำงานแต่เช้าตรู่) ซ้ำยังต้องมารองรับอารมณ์ที่แปรปรวนเอาแต่ใจของ Lady Bird อีก
หรือไม่ว่าจะเป็นพี่ชายอย่าง "มิเกล" (Jordan Rodrigues) ที่เป็นเหยื่ออารมณ์ของน้องสาวอยู่เป็นประจำ ด้วยความที่เขาเรียนจบวิทยาลัยท้องถิ่นระดับปลายแถว หนำซ้ำงานที่พอจะหาได้ก็คืองานแคชเชียร์ซูเปอร์มาร์เก็ตซะอีก ถ้าเรื่องแค่นี้ยังโดนดูถูกไม่พอแล้ว เขายังโดน Lady Bird ที่เป็นน้องสาวตัวเองโดนเหยียดชาติพันธุ์อีก (ซึ่งจากที่ดูๆ แล้ว น่าจะเป็นอินเดียนท้องถิ่น ได้มาจากใครหว่า?) แต่ถึงจะมีประเด็นพวกนี้มากมายขนาดไหนเขาก็ยังถือว่ามีน้ำอดน้ำทนพอสมควรเลยเชียว
อาจจะพูดได้ว่าหนังเรื่องนี้ไม่ได้โดดเด่นในความเป็นตัวของตัวเองอย่าง Lady Bird ซะทีเดียว แต่มันคือการนำเสนอวิถีชีวิตและความลำบากของคนอื่นๆ ในครอบครัวที่ต่างก็ต้องเผชิญกับความยากลำบากไม่ต่างกัน ซึ่งเอาจริงๆ แล้วพอเราย้อนกลับมาดูความลำบากในชีวิตของ Lady Bird แล้วมันดูขี้ประติ๋วไปเลยเชียว
การจัดโทนและอารมณ์ของหนังออกมาโดดเด่นอย่างที่สุด มันให้ความรู้สึกเงียบๆ เหงาๆ ที่เราสามารถเชื่อมโยง (relate) ได้ และทั้งบทพูดและการกระทำของตัวละครก็ดูสมจริง ไม่มีอะไรล้นหรือขาดไปแบบไม่เป็นธรรมชาติ เป็นความลื่นไหลแบบชวนให้ feel good นิดๆ ที่เชื้อชวนให้เราค่อยๆ กลายเป็นส่วนหนึ่งของย่านชานเมืองของซาคราเมนโตไปอย่างไม่รู้ตัว
ส่วนที่ติดขัดนิดหน่อยก็คือ pattern ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนสาวสุดไฮโซอย่าง "เจนนา" (Odeya Rush) ที่แรกเริ่มเดิมทีถูกนำเสนอให้เป็นลักษณะ mean girl แบบที่เราคุ้นเคยกันดี แต่พอในเหตุการณ์โป๊ะแตกเรื่องนั้น ก็กลับกลายเป็นว่า เอ๊ นางก็ไม่ได้ so mean สักเท่าไรนี่หว่า บางทีเขาอาจจะเป็นคนดีจริงๆ ก็ได้ ... แต่เราก็งงเป็นไก่ตาแตกอีกครั้งจากบทพูดของนางและแฟนบนรถในคืนวันพรอม คือกลายเป็นหนังทำให้สิ่งที่ตัวเองเหมือนจะตั้งใจสื่อไว้ก่อนหน้านี้เป็นโมฆะหมดเลย ทำให้เราเคว้งไปช่วงหนึ่งว่า "แล้วสรุปหนังเสียเวลาไปร่วมยี่สิบนาทีกับฉากส่วนนั้นทำไมว้า"
รวมไปถึงฉากจบก็ไม่ค่อยเป็นที่พอใจสักเท่าไร แต่ก็พอจะเข้าใจเจตนาของผู้กำกับอยากให้ช่วงเวลาของการ "ก้าวพ้นวัย" เกิดขึ้นอย่างเรียบง่ายและสอดคล้องกับธีมศาสนา (religous) ที่หนังปูมาตั้งแต่ต้นเรื่องให้มากที่สุด
.
จริงๆ ก็เขียนมาซะยาวเลยนี่หว่า (หัวเราะ) สำหรับหนังเรื่องนี้ก็อาจจะพูดได้ว่าเป็นหนังดีๆ อีกเรื่องหนึ่งที่สามารถถ่ายทอดบรรยากาศและเจตนาของตัวเองออกมาได้ดี เป็นความพิเศษในความเรียบง่ายและเป็นธรรมชาติโดยไม่ต้องปรุงแต่งอะไรมากมาย ... มาถึงช่วงนี้แล้วอาจจะหาโรงดูยากสักหน่อย แต่ก็ถือว่าเป็นตัวเลือกดีๆ ที่อยากแนะนำกันครับ
ถูกใจกับรีวิวหรืออยากมาพูดคุยเกี่ยวกับหนังกัน ขอเชิญได้ที่เพจเฟซบุ๊ก "ตั๋วหนังมันแพง" นะครับ