สวัสดีชาวพันทิปค่า จขกท ได้มีโอกาสไปเที่ยวเนปาลมาเมื่อสองปีที่แล้วหลังแผ่นดินไหว แต่ไม่มีโอกาสได้เขียนรีวิวสักที
วันนี้พอมีเวลาและได้เปิดไปเห็นรูปตอนไปเที่ยวมา เลยอยากมาแชร์ประสบการณ์ของตัวเองให้ฟัง
ข้อมูลบางอย่างอาจไม่ตรงกับตอนนี้นะคะ (จขกท ไปมาเมื่อ 4-7 ธ.ค.2559) หลังแผ่นดินไหวประมาณปีกว่าๆ
และถ้าผิดพลาดประการใด ขอภัยด้วยนะคะ ท้วงได้เลย ข้อมูลอาจจะไม่ค่อยละเอียด แต่ถ้ามีอะไรสงสัยหลังไมค์มาได้เลยค่า ^^
รูปมีถ่ายจาก iphone6,canon m10,olympus omd10 ปนๆกันค่า
-----------------------------------------------------------------------------
เนปาล...หนึ่งในประเทศที่อุดมไปด้วยวัฒนธรรม และภูมิศาสตร์ จุดหมายหลักของคนที่มาที่นี่คือการพิชิตยอดเขาที่สูงที่สุดของโลก แต่ครั้งนี้เราจะไปพาทุกคนไปเที่ยวชิวๆหลังแผ่นดินไหว สัมผัสบรรยากาศและธรรมชาติช่วงหน้าหนาวกัน
การเดินทางครั้งนี้ จขกท ใช้บริการสายการบิน AirAsia X โดยขึ้นเครื่องจากสนามบิน KLIA2 ประเทศ Malaysia เที่ยวบินที่ D7-19
หลังจากนั่งๆนอนๆบนเครื่อง ก็เดินทางมาถึงสนามบิน TRIBHUWAN กรุง KATHMANDU เวลา 14.15 น. ตามเวลาท้องถิ่น ใช้เวลาเดินทาง 4 ชม. โดยประมาณ
สิ่งแรกที่เราต้องทำคือ ขอวีซ่า ชาวไทยสามารถขอ Visa on arrival ได้ โดยกรอกเอกสารพร้อมแนบรูปถ่ายขนาด 2" จำนวน 2 รูป พื้นหลังสีอ่อน ส่วนใครที่ไม่ได้นำรูปมาก็สามารถใช้บริการตู้ Kiosk ที่สามารถกรอกเอกสารพร้อมถ่ายรูปได้ในคราวเดียวกัน และเมื่อเอกสารครบแล้วก็นำไปชำระเงิน 25$ อยู่ได้ 15 วัน จากนั้นนำใบเสร็จพร้อมพาสปอตไปยื่นที่ ตม. ได้เลย
หลักจากผ่าน ตม. เสร็จเรียบร้อยเราก็ไปรับกระเป๋ากัน วันที่เดินทางไปถึงคนเยอะมาก ส่วนใหญ่เป็นชาวเนปาลเดินทางกลับมาบ้านกัน
แลกเงินสักนิด ที่นี่ใช้เงินสกุลรูปีเนปาล แต่ทุกคนก็สามารถจ่ายเงินดอลล่าห์ได้อย่างไม่มีปัญหา แต่เงินทอนจะได้กลับมาเป็นรูปี เพื่อความสบายใจ แลกเงินดีกว่า เราแลกไป 50$ ได้กลับมา 5230 NRS อันนี้แลกในสนามบินเลย
พวกเราเดินทางเข้าที่พักย่าน THAMEL โดยใช้บริการแท็กซี่จากสนามบิน ราคาสามารถต่อรองได้ ระหว่างทางนี่บอกเลยว่ามีแต่ฝุ่นๆๆและก็ฝุ่น ผู้คนขับรถแบบเปิดกระจกเต็มที่ ไม่กลัวฝุ่นกันเลย ส่วน จขกท ก็เตรียมผ้าปิดจมูกไป ตามรีวิวของคนอื่น ที่สำคัญ เสียงแตรดังสนั่นหวั่นไหวตลอดทางเลย 55 บีบทีก็สะดุ้งที เพราะบีบแตรดังมาก หลังๆชินละ
เราพักกันในย่าน THAMEL ซึ่งถือเป็น First stop และแหล่งรวมนักท่องเที่ยว ย่านนี้เต็มไปด้วยข้าวของมากมาย โรงแรมและ ร้านอาหาร สามารถผลาซเงินและพลังงานของทุกคนได้เต็มที่ หลังจากเช็คอินเก็บกระเป๋าที่โรงแรมเสร็จ เราก็เดินหาบริษัททัวร์ที่จะพาเราเที่ยวพรุ่งนี้กัน
เช้าวันแรก หลังจากได้บริษัททัวร์ที่ถูกใจแล้ว
เราเริ่มกันที่วัดสยมภูวนาถ เป็นเจดีย์ของชาวพุทธ (Buddhist Chaityas) ที่ยิ่งใหญ่แห่งหนึ่งของโลก กล่าวกันว่าน่าจะมีอายุถึง2,000 ปีเลยทีเดียว สร้างขึ้นในรัชสมัยของพระเจ้ามานะเทวะในปี พ.ศ. 936 สิ่งที่น่าสนใจภายในวัดคือ ส่วนตรงฐานของสถูปซึ่งมีดวงตาเห็นธรรมหรือWisdom Eyes ของพระพุทธเจ้าอยู่โดยรอบทั้ง4 ด้าน ตั้งอยู่บนยอดเขาห่างจากกรุงกาฐมาณฑุไปทางทิศตะวันตก3 กิโลเมตร ตัวสถูปตั้งอยู่บนเนินเขาเล็กๆ ประมาณ77 เมตร เหนือระดับน้ำทะเลของหุบเขากาฐมาณฑุ จึงทำให้ทิวทัศน์เหนือหุบเขาที่แสนงดงาม สถูปแห่งนี้เป็นสถูปที่เก่าแก่ที่สุดของเนปาล อีกทั้งยังเป็นสถานที่ที่มีการผสมผสานระหว่างศาสนาพุทธกับฮินดู โดยองค์การยูเนสโกได้ทำการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี พ.ศ. 2522
ที่นี่คนไทยมักเรียกติดปากว่าวัดลิง ระหว่างทางขึ้นลิงเต็มไปหมดดดดด เต็มไปถึงบนยอดเจดีย์ ลิงบ้างตัวร้ายมาก มาแย่งอาหารที่เราจะเอามาทำบุญก็มีนะเออ
สถูปเล็กด้านล่างระหว่างทางขึ้น
วิวระหว่างเดินขึ้นสถูปข้างบน
ระหว่างเดินขึ้นสถูป เราจะเห็นร้านรวงเหล่านี้เรียงรายสองข้างทาง
ร้านค้าส่วนใหญ่จะเป็นของแนวๆยิปซีๆ โบฮีเมียน แนวๆนี้ วินเทจนิดๆ เหมาะกับคนชอบแต่งบ้าน
บริเวณลานขึ้นสถูป
ระหว่างทาง มีสถาปัตยกรรมต่างๆมากมายให้ดู
น้องหมาบนวัด
ก่อนถึงสถูปบนยอด ก็จะมีพระมากมายให้เราได้สักการะ
ถึงยอดกันแล้วววว ด้านบนมีนักเที่ยวมาทำบุญมากมาย
อีกสิ่งหนึ่งที่จะมีเกือบทุกวัดเลยคือกงล้อมนตรา ทุกคนจะเอามือมาหมุนกงล้อเหล่านี้ เพราะกงล้อเหล่านี้บันทึกพระไตรปิฏกไว้ ชาวพุทธที่นี่เชื่อกันว่า การได้หมุนกงล้อหนึ่งครั้งเท่ากับการสวดมนต์ 40,000 จบ ดังนั้นผู้คนส่วนใหญ่จะมาหมุนกงล้อเหล่านี่เช้า 108 รอบ และเย็น 108 รอบ เดินวนตามเข็มนาฬิกา
ต่อไป เรามาเดินเล่นกันที่ย่าน dhoka square จริงๆ มันเป็นจตุรัส hanuman dhoka square ซึ่งเป็นจตุรัสที่มีรูปปั้นของหนุมาน ตั้งแท่นสูงอยู่หน้าประตูราชวัง มีประชาชนมาสักการะเป็นประจำ อันนี้ไม่ได้เข้าไปข้างใน มาเดินเล่นย่านนี้เพื่อชมวิถีชีวิตของชาวเนปาล แน่นอน เดินนานไม่ได้ ฝุ่นมันเยอะจริง และตอนที่ไปมีบางส่วนได้รับความเสียหายจากแผ่นดินไหวอยู่ เดี๋ยวจะหารูปมาเพิ่มนะคะ
ต่อไปเรามากันที่เมืองปาทัน หรือเมืองปาทาน เป็นเมืองโบราณที่ตั้งอยู่เหนือแม่น้ำพัคมาตี อยู่ห่างจากกรุงกาฐมาณฑุไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ 5 กิโลเมตร สร้างในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ช่วงศตวรรษที่ 3 ปะฏันได้ชื่อว่าเป็นเมืองคู่แฝดของกรุงกาฐมาณฑุได้รับการขนานนามว่าเมืองแห่งความงาม (City of Beauty) เป็นเมืองที่รู้จักกันในนามของเมืองแห่งศิลปะอีกด้วย โดยเฉพาะชื่อเสียงทางศูนย์กลางงานหัตถศิลป์ของชาวทิเบตอพยพ มีชื่อเสียงในเรื่องพระพุทธรูป นับเป็นนครโบราณที่ยังมีชีวิต ภายในเมืองเต็มไปด้วยวัดทางศาสนาฮินดูและสิ่งปลูกสร้างในพุทธศาสนา สืบเนื่องมาจากความหลากหลายของวัฒนธรรมในยุคกลางทำให้ทั้งศาสนาฮินดูและศาสนาพุทธเฟื่องฟูในแถบนี้ เมืองปะฏันนี้นับเป็นผลงานสถาปัตยกรรมและการวางผังเมืองชิ้นเอกแบบเนวารี มีถนนโบราณตัดตามแนวเหนือ-ใต้และตะวันออก-ตะวันตก แบ่งเมืองออกเป็น 4 ส่วน โดยมีจัตุรัสปะฏัน ดูร์บาร์และพระราชวังปะฏันเป็นศูนย์กลาง
การเข้าไปชมด้านในเราจะต้องซื้อบัตรด้านหน้าทางเข้า ราคาไม่แพง เดี๋ยวไปหาบัตรก่อน แล้วจะมาแปะรูปกับราคาเพิ่มนะคะ
แต่ช่างน่าเสียดาย หลังแผ่นดินไหวเมื่อไม่นานนี้ สถาปัตยกรรมอันสวยงามที่นี่ ถูกทำลายลงไปเยอะมาก เหลือให้เห็นเพียงซากปรักหักพัง ที่กำลังถูกบูรณะซ่อมแซม
เดินเข้าไปด้านในจะเจอ Musuem ที่เก็บรวบรวมของที่อยู่และค้นเจอในจตุรัสแห่งนี้ วันที่ไป เจอน้องนักเรียนชาวเนปาลมาทัศนศึกษา น้องๆที่นี่น่ารักมาก เห็นพวกเราถ่ายรูปก็วิ่งมาขอเซลฟี่กันยกใหญ่
สิ่งของอยู่ที่นี่ส่วนใหญ่จะเป็นรูปปั้นที่เป็นสัญลักษณ์ทางศาสนาทั้งพุทธและฮินดู
ได้ของที่ระลึกเป็นสร้อย Mandala ใส่แล้วชิคๆ เป็นสาวโบฮีเมียน สาวยิปซี เส้นละ 300 รูปี
สถานีต่อไปมหาเจดีย์โพธินาถ (Boudhanath) เป็นสถูปที่ตั้งอยู่ห่างจากกรุงกาฐมาณฑุไปทางทิศตะวันออกประมาณ 8 กิโลเมตร โดยเป็นเจดีย์ที่ใหญ่ที่สุดในเนปาล บนเจดีย์มีดวงตาเห็นธรรมของพระพุทธเจ้า (Wisdom Eyes) ทั้งสี่ทิศ บริเวณรอบวัดเป็นแหล่งชุมชนของชาวพุทธมหายานจากทิเบตที่อพยพเข้ามาเมื่อปีพ.ศ. 2502 จึงจะเห็นพระทิเบตและคนทั่วไปยืนแกว่งล้อมนต์พร้อมกับสวดมนต์อยู่ทั่วไป องค์การยูเนสโกขึ้นได้ทะเบียนสถานที่แห่งนี้เป็นมรดกโลกในปีพ.ศ. 2522
รอบๆเจดีย์จะมีธงมนตรา เป็นธงหลากสีสันที่ซึ่งจารึกบทสวดมนต์และปลุกเสกแล้ว ด้วยความเชื่อที่ว่าลมจะช่วยพัดพาบทสวดมนต์นำสิ่งชั่วร้ายออกไปมีแต่สิ่งดีๆให้กับผู้คนที่อยู่บริเวณนั้น
จบทริปวันแรก กลับที่พัก ขึ้นไปถ่ายรูปบนดาดฟ้าโรงแรมชมวิวเมืองกาฐมันดุ สัมผัสลมเย็นๆ ให้ชื่นใจ
วันที่ 2 เราเดินทางต่อไปยังเมืองโพคารา
การเดินทางไปเมืองโพคารามี 2 วิธีคือ นั่งรถและเครื่องบิน
ซึ่งทัวร์ประหยัดแบบเรานั่งรถไปค่ะ 555 เพราะราคาถูกกว่ามาก (อันนี้รวมกับทัวร์ตั้งแต่เมื่อวานละ) เป็นการเดินทางที่ยาวนานมากกกก กว่าจะถึงเมืองโพคารา ด้วยพื้นถนนบ้านเค้าค่อนข้างขรุขระและฝุ่นเยอะตลอดทาง เอาจริงๆย้อนเวลากลับไปได้จะเลือกนั่งเครื่องบินค่ะ เพราะขากลับโคตรลุ้นเลย แต่ระหว่างทางไปก็ได้ผ่านภูเข้าหลายลูก แม่น้ำหลายสาย วิถีชีวิตผู้คนแถวๆนั้น และที่ขาดไม่ได้คือ เสียงแตร เป็นแตรจากรถสิบล้อ บีบกันตลอดทาง ไม่ได้หยุดเลย เราเองก็ไม่ได้นอน เพราะแตรดังตลอดทาง ไหนจะต้องมาคอยหลบรถบรรทุกที่ชอบแซงอีก ส่วนอาหารการกิน คนขับรถของเราพาเราแวะกินข้าวข้างทางเป็นร้านอาหารจีนเล็กแบบบุฟเฟ่ต์ค่ะ (ขอกลับไปค้นรูป part นี้ ถ้าเจอจะเอามาแปะเพิ่มนะคะ)
เดินทางมาเกือบทั้งวัน ตกเย็นก็ถึงเมืองโพคารา ที่แรกที่คนขับรถเราพาเราไปแวะคือ World peach PAGODA ที่สร้างขึ้นโดยพระจากญี่ปุ่นบนยอดเขาเหนือทะเลสาบเฟวา ที่นี่เป็นจุดชมวิวยอดฮิตอีกแห่งของโภคารา ตอนแรกว่าจะไม่ขึ้นเห็นบันไดแล้วท้อแท้ 55 สุดท้ายก็ขึ้นไป ไหนๆก็มาแล้ว
ระหว่างทางขึ้นก็จะเป็นภูเขาๆๆ และมีร้านค้านิดหน่อยระหว่างทาง
ใกล้ถึงละ
ถึงแล้วว มาแค่นี้แหละ แล้วก็ลง
แวะถ่ายรูประหว่างทางขึ้น เห็นเขาหิมาลัยนิดๆ
หลังจากลงจากเขาพวกเราก็กลับเข้าที่พักเลยค่ะ ที่พักเราจะอยู่ใกล้ๆทะเลสาบเฟวา อันนี้จำชื่อไม่ได้ เดี๋ยวไปรื้อข้อมูลก่อนนะคะ
ราคาไม่แพงมาก สตาฟน่ารักทุกคนเลย
เดี๋ยวมาต่อค่ะ
[CR] (CR) เนปาล ฝุ่นมันดุ...เที่ยวหลังแผ่นดินไหว สัมผัสอ้อมกอดแห่งหิมาลัย ต้องไปถึงจะรู้
วันนี้พอมีเวลาและได้เปิดไปเห็นรูปตอนไปเที่ยวมา เลยอยากมาแชร์ประสบการณ์ของตัวเองให้ฟัง
ข้อมูลบางอย่างอาจไม่ตรงกับตอนนี้นะคะ (จขกท ไปมาเมื่อ 4-7 ธ.ค.2559) หลังแผ่นดินไหวประมาณปีกว่าๆ
และถ้าผิดพลาดประการใด ขอภัยด้วยนะคะ ท้วงได้เลย ข้อมูลอาจจะไม่ค่อยละเอียด แต่ถ้ามีอะไรสงสัยหลังไมค์มาได้เลยค่า ^^
รูปมีถ่ายจาก iphone6,canon m10,olympus omd10 ปนๆกันค่า
-----------------------------------------------------------------------------
เนปาล...หนึ่งในประเทศที่อุดมไปด้วยวัฒนธรรม และภูมิศาสตร์ จุดหมายหลักของคนที่มาที่นี่คือการพิชิตยอดเขาที่สูงที่สุดของโลก แต่ครั้งนี้เราจะไปพาทุกคนไปเที่ยวชิวๆหลังแผ่นดินไหว สัมผัสบรรยากาศและธรรมชาติช่วงหน้าหนาวกัน
การเดินทางครั้งนี้ จขกท ใช้บริการสายการบิน AirAsia X โดยขึ้นเครื่องจากสนามบิน KLIA2 ประเทศ Malaysia เที่ยวบินที่ D7-19
หลังจากนั่งๆนอนๆบนเครื่อง ก็เดินทางมาถึงสนามบิน TRIBHUWAN กรุง KATHMANDU เวลา 14.15 น. ตามเวลาท้องถิ่น ใช้เวลาเดินทาง 4 ชม. โดยประมาณ
สิ่งแรกที่เราต้องทำคือ ขอวีซ่า ชาวไทยสามารถขอ Visa on arrival ได้ โดยกรอกเอกสารพร้อมแนบรูปถ่ายขนาด 2" จำนวน 2 รูป พื้นหลังสีอ่อน ส่วนใครที่ไม่ได้นำรูปมาก็สามารถใช้บริการตู้ Kiosk ที่สามารถกรอกเอกสารพร้อมถ่ายรูปได้ในคราวเดียวกัน และเมื่อเอกสารครบแล้วก็นำไปชำระเงิน 25$ อยู่ได้ 15 วัน จากนั้นนำใบเสร็จพร้อมพาสปอตไปยื่นที่ ตม. ได้เลย
หลักจากผ่าน ตม. เสร็จเรียบร้อยเราก็ไปรับกระเป๋ากัน วันที่เดินทางไปถึงคนเยอะมาก ส่วนใหญ่เป็นชาวเนปาลเดินทางกลับมาบ้านกัน
แลกเงินสักนิด ที่นี่ใช้เงินสกุลรูปีเนปาล แต่ทุกคนก็สามารถจ่ายเงินดอลล่าห์ได้อย่างไม่มีปัญหา แต่เงินทอนจะได้กลับมาเป็นรูปี เพื่อความสบายใจ แลกเงินดีกว่า เราแลกไป 50$ ได้กลับมา 5230 NRS อันนี้แลกในสนามบินเลย
พวกเราเดินทางเข้าที่พักย่าน THAMEL โดยใช้บริการแท็กซี่จากสนามบิน ราคาสามารถต่อรองได้ ระหว่างทางนี่บอกเลยว่ามีแต่ฝุ่นๆๆและก็ฝุ่น ผู้คนขับรถแบบเปิดกระจกเต็มที่ ไม่กลัวฝุ่นกันเลย ส่วน จขกท ก็เตรียมผ้าปิดจมูกไป ตามรีวิวของคนอื่น ที่สำคัญ เสียงแตรดังสนั่นหวั่นไหวตลอดทางเลย 55 บีบทีก็สะดุ้งที เพราะบีบแตรดังมาก หลังๆชินละ
เราพักกันในย่าน THAMEL ซึ่งถือเป็น First stop และแหล่งรวมนักท่องเที่ยว ย่านนี้เต็มไปด้วยข้าวของมากมาย โรงแรมและ ร้านอาหาร สามารถผลาซเงินและพลังงานของทุกคนได้เต็มที่ หลังจากเช็คอินเก็บกระเป๋าที่โรงแรมเสร็จ เราก็เดินหาบริษัททัวร์ที่จะพาเราเที่ยวพรุ่งนี้กัน
เช้าวันแรก หลังจากได้บริษัททัวร์ที่ถูกใจแล้ว
เราเริ่มกันที่วัดสยมภูวนาถ เป็นเจดีย์ของชาวพุทธ (Buddhist Chaityas) ที่ยิ่งใหญ่แห่งหนึ่งของโลก กล่าวกันว่าน่าจะมีอายุถึง2,000 ปีเลยทีเดียว สร้างขึ้นในรัชสมัยของพระเจ้ามานะเทวะในปี พ.ศ. 936 สิ่งที่น่าสนใจภายในวัดคือ ส่วนตรงฐานของสถูปซึ่งมีดวงตาเห็นธรรมหรือWisdom Eyes ของพระพุทธเจ้าอยู่โดยรอบทั้ง4 ด้าน ตั้งอยู่บนยอดเขาห่างจากกรุงกาฐมาณฑุไปทางทิศตะวันตก3 กิโลเมตร ตัวสถูปตั้งอยู่บนเนินเขาเล็กๆ ประมาณ77 เมตร เหนือระดับน้ำทะเลของหุบเขากาฐมาณฑุ จึงทำให้ทิวทัศน์เหนือหุบเขาที่แสนงดงาม สถูปแห่งนี้เป็นสถูปที่เก่าแก่ที่สุดของเนปาล อีกทั้งยังเป็นสถานที่ที่มีการผสมผสานระหว่างศาสนาพุทธกับฮินดู โดยองค์การยูเนสโกได้ทำการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี พ.ศ. 2522
ที่นี่คนไทยมักเรียกติดปากว่าวัดลิง ระหว่างทางขึ้นลิงเต็มไปหมดดดดด เต็มไปถึงบนยอดเจดีย์ ลิงบ้างตัวร้ายมาก มาแย่งอาหารที่เราจะเอามาทำบุญก็มีนะเออ
สถูปเล็กด้านล่างระหว่างทางขึ้น
วิวระหว่างเดินขึ้นสถูปข้างบน
ระหว่างเดินขึ้นสถูป เราจะเห็นร้านรวงเหล่านี้เรียงรายสองข้างทาง
ร้านค้าส่วนใหญ่จะเป็นของแนวๆยิปซีๆ โบฮีเมียน แนวๆนี้ วินเทจนิดๆ เหมาะกับคนชอบแต่งบ้าน
บริเวณลานขึ้นสถูป
ระหว่างทาง มีสถาปัตยกรรมต่างๆมากมายให้ดู
น้องหมาบนวัด
ก่อนถึงสถูปบนยอด ก็จะมีพระมากมายให้เราได้สักการะ
ถึงยอดกันแล้วววว ด้านบนมีนักเที่ยวมาทำบุญมากมาย
อีกสิ่งหนึ่งที่จะมีเกือบทุกวัดเลยคือกงล้อมนตรา ทุกคนจะเอามือมาหมุนกงล้อเหล่านี้ เพราะกงล้อเหล่านี้บันทึกพระไตรปิฏกไว้ ชาวพุทธที่นี่เชื่อกันว่า การได้หมุนกงล้อหนึ่งครั้งเท่ากับการสวดมนต์ 40,000 จบ ดังนั้นผู้คนส่วนใหญ่จะมาหมุนกงล้อเหล่านี่เช้า 108 รอบ และเย็น 108 รอบ เดินวนตามเข็มนาฬิกา
ต่อไป เรามาเดินเล่นกันที่ย่าน dhoka square จริงๆ มันเป็นจตุรัส hanuman dhoka square ซึ่งเป็นจตุรัสที่มีรูปปั้นของหนุมาน ตั้งแท่นสูงอยู่หน้าประตูราชวัง มีประชาชนมาสักการะเป็นประจำ อันนี้ไม่ได้เข้าไปข้างใน มาเดินเล่นย่านนี้เพื่อชมวิถีชีวิตของชาวเนปาล แน่นอน เดินนานไม่ได้ ฝุ่นมันเยอะจริง และตอนที่ไปมีบางส่วนได้รับความเสียหายจากแผ่นดินไหวอยู่ เดี๋ยวจะหารูปมาเพิ่มนะคะ
ต่อไปเรามากันที่เมืองปาทัน หรือเมืองปาทาน เป็นเมืองโบราณที่ตั้งอยู่เหนือแม่น้ำพัคมาตี อยู่ห่างจากกรุงกาฐมาณฑุไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ 5 กิโลเมตร สร้างในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ช่วงศตวรรษที่ 3 ปะฏันได้ชื่อว่าเป็นเมืองคู่แฝดของกรุงกาฐมาณฑุได้รับการขนานนามว่าเมืองแห่งความงาม (City of Beauty) เป็นเมืองที่รู้จักกันในนามของเมืองแห่งศิลปะอีกด้วย โดยเฉพาะชื่อเสียงทางศูนย์กลางงานหัตถศิลป์ของชาวทิเบตอพยพ มีชื่อเสียงในเรื่องพระพุทธรูป นับเป็นนครโบราณที่ยังมีชีวิต ภายในเมืองเต็มไปด้วยวัดทางศาสนาฮินดูและสิ่งปลูกสร้างในพุทธศาสนา สืบเนื่องมาจากความหลากหลายของวัฒนธรรมในยุคกลางทำให้ทั้งศาสนาฮินดูและศาสนาพุทธเฟื่องฟูในแถบนี้ เมืองปะฏันนี้นับเป็นผลงานสถาปัตยกรรมและการวางผังเมืองชิ้นเอกแบบเนวารี มีถนนโบราณตัดตามแนวเหนือ-ใต้และตะวันออก-ตะวันตก แบ่งเมืองออกเป็น 4 ส่วน โดยมีจัตุรัสปะฏัน ดูร์บาร์และพระราชวังปะฏันเป็นศูนย์กลาง
การเข้าไปชมด้านในเราจะต้องซื้อบัตรด้านหน้าทางเข้า ราคาไม่แพง เดี๋ยวไปหาบัตรก่อน แล้วจะมาแปะรูปกับราคาเพิ่มนะคะ
แต่ช่างน่าเสียดาย หลังแผ่นดินไหวเมื่อไม่นานนี้ สถาปัตยกรรมอันสวยงามที่นี่ ถูกทำลายลงไปเยอะมาก เหลือให้เห็นเพียงซากปรักหักพัง ที่กำลังถูกบูรณะซ่อมแซม
เดินเข้าไปด้านในจะเจอ Musuem ที่เก็บรวบรวมของที่อยู่และค้นเจอในจตุรัสแห่งนี้ วันที่ไป เจอน้องนักเรียนชาวเนปาลมาทัศนศึกษา น้องๆที่นี่น่ารักมาก เห็นพวกเราถ่ายรูปก็วิ่งมาขอเซลฟี่กันยกใหญ่
สิ่งของอยู่ที่นี่ส่วนใหญ่จะเป็นรูปปั้นที่เป็นสัญลักษณ์ทางศาสนาทั้งพุทธและฮินดู
ได้ของที่ระลึกเป็นสร้อย Mandala ใส่แล้วชิคๆ เป็นสาวโบฮีเมียน สาวยิปซี เส้นละ 300 รูปี
สถานีต่อไปมหาเจดีย์โพธินาถ (Boudhanath) เป็นสถูปที่ตั้งอยู่ห่างจากกรุงกาฐมาณฑุไปทางทิศตะวันออกประมาณ 8 กิโลเมตร โดยเป็นเจดีย์ที่ใหญ่ที่สุดในเนปาล บนเจดีย์มีดวงตาเห็นธรรมของพระพุทธเจ้า (Wisdom Eyes) ทั้งสี่ทิศ บริเวณรอบวัดเป็นแหล่งชุมชนของชาวพุทธมหายานจากทิเบตที่อพยพเข้ามาเมื่อปีพ.ศ. 2502 จึงจะเห็นพระทิเบตและคนทั่วไปยืนแกว่งล้อมนต์พร้อมกับสวดมนต์อยู่ทั่วไป องค์การยูเนสโกขึ้นได้ทะเบียนสถานที่แห่งนี้เป็นมรดกโลกในปีพ.ศ. 2522
รอบๆเจดีย์จะมีธงมนตรา เป็นธงหลากสีสันที่ซึ่งจารึกบทสวดมนต์และปลุกเสกแล้ว ด้วยความเชื่อที่ว่าลมจะช่วยพัดพาบทสวดมนต์นำสิ่งชั่วร้ายออกไปมีแต่สิ่งดีๆให้กับผู้คนที่อยู่บริเวณนั้น
จบทริปวันแรก กลับที่พัก ขึ้นไปถ่ายรูปบนดาดฟ้าโรงแรมชมวิวเมืองกาฐมันดุ สัมผัสลมเย็นๆ ให้ชื่นใจ
วันที่ 2 เราเดินทางต่อไปยังเมืองโพคารา
การเดินทางไปเมืองโพคารามี 2 วิธีคือ นั่งรถและเครื่องบิน
ซึ่งทัวร์ประหยัดแบบเรานั่งรถไปค่ะ 555 เพราะราคาถูกกว่ามาก (อันนี้รวมกับทัวร์ตั้งแต่เมื่อวานละ) เป็นการเดินทางที่ยาวนานมากกกก กว่าจะถึงเมืองโพคารา ด้วยพื้นถนนบ้านเค้าค่อนข้างขรุขระและฝุ่นเยอะตลอดทาง เอาจริงๆย้อนเวลากลับไปได้จะเลือกนั่งเครื่องบินค่ะ เพราะขากลับโคตรลุ้นเลย แต่ระหว่างทางไปก็ได้ผ่านภูเข้าหลายลูก แม่น้ำหลายสาย วิถีชีวิตผู้คนแถวๆนั้น และที่ขาดไม่ได้คือ เสียงแตร เป็นแตรจากรถสิบล้อ บีบกันตลอดทาง ไม่ได้หยุดเลย เราเองก็ไม่ได้นอน เพราะแตรดังตลอดทาง ไหนจะต้องมาคอยหลบรถบรรทุกที่ชอบแซงอีก ส่วนอาหารการกิน คนขับรถของเราพาเราแวะกินข้าวข้างทางเป็นร้านอาหารจีนเล็กแบบบุฟเฟ่ต์ค่ะ (ขอกลับไปค้นรูป part นี้ ถ้าเจอจะเอามาแปะเพิ่มนะคะ)
เดินทางมาเกือบทั้งวัน ตกเย็นก็ถึงเมืองโพคารา ที่แรกที่คนขับรถเราพาเราไปแวะคือ World peach PAGODA ที่สร้างขึ้นโดยพระจากญี่ปุ่นบนยอดเขาเหนือทะเลสาบเฟวา ที่นี่เป็นจุดชมวิวยอดฮิตอีกแห่งของโภคารา ตอนแรกว่าจะไม่ขึ้นเห็นบันไดแล้วท้อแท้ 55 สุดท้ายก็ขึ้นไป ไหนๆก็มาแล้ว
ระหว่างทางขึ้นก็จะเป็นภูเขาๆๆ และมีร้านค้านิดหน่อยระหว่างทาง
ใกล้ถึงละ
ถึงแล้วว มาแค่นี้แหละ แล้วก็ลง
แวะถ่ายรูประหว่างทางขึ้น เห็นเขาหิมาลัยนิดๆ
หลังจากลงจากเขาพวกเราก็กลับเข้าที่พักเลยค่ะ ที่พักเราจะอยู่ใกล้ๆทะเลสาบเฟวา อันนี้จำชื่อไม่ได้ เดี๋ยวไปรื้อข้อมูลก่อนนะคะ
ราคาไม่แพงมาก สตาฟน่ารักทุกคนเลย
เดี๋ยวมาต่อค่ะ