ครั้งหนึ่งที่เนปาลก่อนที่จะล่มสลายเพราะเหตุแผ่นดินไหว...ความทรงจำไม่มีวันจาง “นมัสเต... เนปาล”

สวัสดีครับเพื่อนๆนักเดินทางวันนี้ผมมีประสบการณ์สุดวิเศษที่ประเทศเนปาลมาเล่าสู่กันฟังอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ผมไปก่อนที่จะเกิดแผ่นดินไหว 1 ปีมิฉะนั้นผมคงไม่มีโอกาสได้นำมาเล่าให้กับเพื่อนๆได้ฟังเพราะสถานที่ที่ผมไปล้วนแต่ได้รับความเสียหายมากมายมหาศาลอย่างน่าเสียดาย...แต่ผมได้เก็บภาพสวยงามพร้อมเรื่องราวที่อาจเป็นแรงบันดาลใจให้หลายคนที่ใฝ่ฝันอยากไปเที่ยวต่างประเทศด้วยตัวเราเองมันท้าทายตื่นเต้นและภูมิใจมากเลยครับ...เพราะนี่คือครั้งแรกของผมเช่นกัน
นับเป็นข่าวช็อกโลกเมื่อเกิดเกตุการณ์แผ่นดินไหวในประเทศเนปาลในช่วงสายๆของวันที่ 25 เมษายน 2558 เหตุการณ์ในครั้งนี้ได้สร้างความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินให้กับชาวเนปาลรวมทั้งกระทบความรู้สึกของคนทั่วโลกเนื่องจากอาคารเก่าแก่หลายศตวรรษที่แหล่งมรดกโลกของยูเนสโกในหุบเขากาฐมาณฑุถูกทำลาย รวมทั้งบางส่วนของจัตุรัสกาฐมาณฑุดูร์บาร์นับว่าเป็นการสูญเสียอย่างมากมายมหาศาลของมวลมนุษยชาติเลยก็ว่าได้ ผมเป็นคนหนึ่งที่เคยมีบุญวาสนาได้ไปเยือนถิ่นของเนปาลและได้เห็นและสัมผัสโบราณสถานสำคัญๆ ที่ยังคงติดตราตึงใจมาจนถึงทุกวันนี้ก่อนที่จะได้เห็นภาพอันล่มสลายของอาณาจักรตามสื่อต่างๆ ซึ่งไม่อยากจะคิดเหมือนกันว่าถ้าวันนั้นตรงกับวันที่แผ่นดินไหวผมจะยังคงมีโอกาสได้มาเล่าเรื่องราวที่น่าประทับใจนี้หรือไม่...
    ครั้งหนึ่งในชีวิตของผมที่ต้องจากดอยแม่สลอง อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงรายเหินฟ้าข้ามน้ำข้ามทะเลไปถึงเนปาลเพื่อพิชิตเทือกเขาหิมาลัย มันช่างเป็นประสบการณ์ที่น่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก ทริปเล็กๆ ของผมและผองเพื่อนเริ่มต้นจากการที่ผมได้พัฒนาตนเองในการรองรับประเทศไทยเพื่อก้าวสู่ประชาคมอาเซียนในไม่ช้า พวกเราจองตั๋วเครื่องบินผ่านทางอินเตอร์เน็ตโดยได้รับความสะดวกจากผู้รู้และมีประสบการณ์การเดินทางไปสู่เนปาลซึ่งใช้ระยะเวลาการจองตั๋วนานเกือบ 3 เดือน ผมรอคอยวันนั้นวันที่ทุกอย่างคือครั้งแรกของผมไม่ว่าจะเป็นการนั่งเครื่องบินครั้งแรกในชีวิตการได้เดินทางไปสู่อีกประเทศหนึ่งที่มีเพื่อนมนุษย์ของเราอาศัยอยู่ซึ่งเราไม่เคยรู้เลยว่าพวกเขาอยู่กินกันอย่างไร ผมพร้อมแล้วครับที่จะนำท่านผู้อ่านไปลุยประสบการณ์ในดินแดนมรดกโลกต้นกำเนิดของพระพุทธเจ้า ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เต็มไปด้วยอารยะธรรมและธรรมชาติที่ชวนนักท่องเที่ยวไปสัมผัสและหลงใหล ครั้งแรกกับการเดินทางแบบนัก Bag Packer มือใหม่ซึ่งอาจเป็นประโยชน์สำหรับผู้อ่านที่ต้องการผจญภัยและท่องเที่ยวไปต่างประเทศด้วยงบประมาณที่จำกัดและเราสามารถกำหนดได้
    ในที่สุดวันเดินทางก็มาถึง ผมและเพื่อนนั่งเครื่องจากสุวรรณภูมิมุ่งหน้าสู่เนปาลใช้เวลาบนเครื่อง 3 ชั่วโมงกว่าๆ เมื่อใกล้จะถึงได้ยินเสียงจากกัปตันประกาศให้ชมยอดเขาเอเวอเรสต์ซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในโลกและเป็นยอดเขาหนึ่งในเทือกเขาหิมาลัย  ยอดเขาเอเวอเรสต์ถือเป็นจุดแบ่งพรมแดนระหว่างประเทศเนปาลและทิเบต ไม่กี่นาทีเบื้องหน้าผมก็ปรากฏยอดเขาซารางกอตและยอดเขามัจฉาปูชเร โปขระซึ่งเป็นอีกจุดหมายที่พวกเราจะเดินทางไปใกล้ชิดของจริง เครื่องบินเริ่มลดระดับผมมองจากฟ้าเบื้องบนด้วยความตื่นเต้นภาพของหมู่บ้านบนภูเขา ไร่นาแบบขั้นบันไดและตึกรามบ้านช่องในเมืองช่างสวยงามเย้ายวนใจให้ผมไปสัมผัสเหลือเกิน เมื่อลงถึงสนามบินของเนปาลพวกเราเข้าแถวทำวีซ่าเข้าเมืองใช้เวลาอยู่นานโขเพราะระบบการทำงานของที่นั่นแลดูล้าสมัยกว่าบ้านเรามาก จากนั้นพวกเราจึงมุ่งหน้าไปสู่กรุงกาฐมาณฑุซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศเนปาลและแหล่งที่พักของพวกเราคือในย่านธาเมล (Thamell) ซึ่งเป็นศูนย์กลางความเจริญของกรุงกาฐมาณฑุ เป็นแหล่งช้อปปิ้งที่ขึ้นชื่อ โดยเฉพาะสินค้าจำพวกหัตถกรรมพื้นเมือง เครื่องประดับที่ทำจากหินต่างๆ และอุปกรณ์สำหรับการเดินป่า ที่พักที่นี่ถ้าคิดเป็นเงินไทยอยู่ที่ 500 บาทต่อคืน เมื่อเก็บสัมภาระเรียบร้อยผมมองนาฬิกาข้อมือก็เกือบ 4 โมงเย็นแต่จริงๆ แล้วเพิ่งจะ 2 โมงกว่าๆในประเทศนี้เพราะเวลาของเนปาลช้ากว่าประเทศไทย 1 ชั่วโมง 15 นาที ไม่รอช้าพวกเราเก็บสัมภาระเข้าที่พักและมุ่งตรงไปสู่ Swayabhunath or Monkey Temple (สวยัมภูวนาถ หรือวัดลิง) ซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขาห่างจากกรุงกาฐมัณฑุไปทางทิศตะวันตกประมาณ 3 กิโลเมตร ตัวสถูปตั้งอยู่บนเนินเขาเล็กๆ ราว 77 เมตรจากพื้นผิวของตัวเมืองกาฏมาณฑุ ทำให้สามารถมองเห็นทิวทัศน์เหนือหุบเขาที่งดงามและมองเห็นเมืองหลวงอย่างชัดเจน ตามประวัติสวยัมภูวนาถ เป็นเจดีย์ของชาวพุทธ (Buddhist Chaityas) ที่ยิ่งใหญ่แห่งหนึ่งของโลก เชื่อกันว่าน่าจะมีอายุถึง 2,000 ปีเลยทีเดียว วัดนี้มีบันไดหิน 365 ขั้นขึ้นสู่สถูปสวยัมภูวนาถที่อร่ามเรือง ผมเดินตามบันได จะมีม้านั่งให้พักเหนื่อยเป็นระยะๆ ตามราวบันไดจะมีชาวบ้านนั่งขายของที่ระลึกให้กับนักท่องเที่ยว สิ่งที่น่าสนใจภายในวัดคือ ส่วนตรงฐานของสถูปซึ่งมีดวงตาเห็นธรรม หรือ Wisdom Eyes อยู่ทั้งสี่ด้าน นับว่าเป็นสถูปที่เก่าแก่ที่สุดของเนปาล รวมถึงยังเป็นสถานที่ที่มีการผสมผสานระหว่างศาสนาพุทธกับศาสนาฮินดู โดยองค์การยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนสถานที่แห่งนี้เป็นมรดกโลกในปี พ.ศ. 2522
วันที่ 2 พวกเราเดินทางไปยังเมืองภักตะปูร์โดยรถโดยสารประจำทาง เมืองที่มีความหมายว่า "เมืองที่ผู้คนภักดีต่อพระผู้เป็นเจ้า" เมืองนี้ซ่อนตัวอยู่ในหุบเขากาฏมาณฑุ โดยสภาพของเมืองเป็นเนินสูง เป็นเมืองที่เหมาะนักกับนักท่องเที่ยวที่ชอบความสงบ และเป็นเมืองที่มีสถานที่สำคัญมากมายจนผู้สร้างภาพยนตร์เรื่อง Little Buddha เลือกเป็นสถานที่ถ่ายทำนั่นแหละครับ เราเดินขึ้นเนินมาตามถนนแคบๆที่ทั้งสองฝั่งถนนเป็นอาคารบ้านเรือนของชาวบ้านที่ส่วนใหญ่ก่อด้วยอิฐแดงเปลือยเช่นเดียวกับที่อื่นๆ มีร้านค้าย่อยขายข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน และมีผู้คนเดินไปมาอย่างมีชีวิตชีวาผสานเสียงเพลงแนวอินเดียกลิ่นอายของภาพยนตร์แนวภาระตะที่เห็นพระเอกไล่ตามนางเอกอยู่ตามซอกมุมตึก ผมแวะถ่ายรูปภาพของอาคารบ้านเรือน และชีวิตผู้คนริมทางที่เปี่ยมสีสัน การเข้าชมโบราณสถานในเนปาลนั้น ต้องเสียค่าเข้าชม 1,100 รูปี ประมาณ 350 บาทไทย เมื่อเข้าสู่บริเวณจัตุรัสของเมือง สิ่งที่เราสังเกตเห็นเด่นชัดคือ ร่องรอยความศิวิไลซ์แบบเมืองหลวงในอดีตยังคงปรากฏให้เห็น ถึงแม้กาลเวลาจะล่วงเลยผ่านมาหลายร้อยปีแล้วก็ตามวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมและวัฒนธรรมอันดีงามยังคงได้รับการสืบสานจากรุ่นสู่รุ่นอย่างต่อเนื่อง จนถึงปัจจุบันตึกเก่าได้รับการอนุรักษ์อย่างดีเยี่ยม จึงไม่น่าแปลกใจที่เมืองภักตะปูร์ได้รับการขนานนามว่า “พิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิต” รวมถึงเป็นหนึ่งในมรดกโลกแห่งสำคัญในบันทึกของ Unesco แต่น่าเสียดายที่มีมุมขายของประเภทเสื้อผ้าเยอะไปหน่อยทำให้บรรยากาศดูเปลี่ยนไป เราใช้เวลาชมเมืองอยู่ครึ่งค่อนวันจากนั้นนั่งรถไปต่อที่ “มหาเจดีย์เพาธนาถ” Bouddhanath เจดีย์ชาวพุทธที่ใหญ่ที่สุดในประเทศเนปาล ที่นี่ผมเห็นแรงศรัทธามหาชนที่หลั่งไหลกันเข้ามา เมื่อย่างก้าวเข้าสู่สถานที่นี้ทุกคนจะสงบเงียบและต่างทำสมาธิเดินรอบเจดีย์อย่างตั้งใจ นับว่าเป็นบุญของผมเหลือเกินที่ได้มาเยือนสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้
    เช้าวันใหม่พวกเรารีบตื่นแต่เช้าไปสถานีรถโดยสารประจำทางเพื่อที่จะมุ่งหน้าไปเมืองโปครา Pokhara สถานที่ที่นิยมที่สุดของนักท่องเที่ยว เราใช้เวลาเดินทางเกือบ 8 ชั่วโมงให้ไปถึงที่นั่นซึ่งตลอดเส้นทางการเดินทางเป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกเสียวและนึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไปด้วยเพราะเส้นทางที่เราไปช่างคับแคบแถมเป็นภูเขาสูงชันยิ่งถ้ารถที่เรานั่งอยู่ฝั่งที่ใกล้หุบเหวประหนึ่งชีวิตเราแขวนอยู่บนเส้นด้ายถ้าคนตกใจง่ายผมแนะนำว่าไม่ควรเดินเส้นนี้เพราะนอกจากเส้นทางจะคดเคี้ยวแล้วเราก็ต้องมาลุ้นระทึกกับคนขับรถและเสียงแตรรถที่ดังตลอดเส้นทางเนื่องจากต้องเตือนรถที่สวนทางกันมาชนิดว่าหลับไม่ลงเลยทีเดียว แต่สิ่งที่ทำให้ผมผ่อนคลายได้บ้างนั่นคือทัศนียภาพของสองข้างทางที่ดูแล้วชื่นใจสบายตาแม่น้ำสีเขียวมรกตผสมผสานกับฉากต้นไม้สลับโขดหินและวิถีชีวิตของคนที่นั่นช่างสวยงามจริงๆ เมื่อพวกเราไปถึงก็เดินหาที่พักในเมืองโปครากันซึ่งต้องพักเอาแรงเพื่อที่รุ่งเช้าเราต้องปีนเขาไปชมความมหัศจรรย์ของหิมาลัย หลังจากเก็บสัมภาระเข้าที่พักก็พากันออกมาเดินย่านในตัวเมืองก็มีของขายมากมายเราเดินลัดเลาะไปสู่ทะเลสาปฟีว่า Phewa Lake ทะเลสาปน้ำจืดขนาดใหญ่เป็น 1 ใน 3 ที่มีอยู่ในประเทศ ภาพเบื้องหน้าของทะเลสาบทำให้ความเหนื่อยเมื่อยล้าทั้งวันหายไปปลิดทิ้งเพราะว่าภาพที่อยู่เบื้องหน้าของผมมันช่างสวยงามชวนหลงใหลทะเลสาปที่กว้างใหญ่มีเรือพายหลากสีมีฉากหลังเป็นภูเขาเสียดายที่เรามาถึงตอนเย็นเพราะเจ้าหน้าที่ที่นั่นบอกว่าถ้ามาตอนกลางวันจะได้เห็นฉากหลังเป็นหิมาลัยสะท้อนในทะเลสาปจะสวยงามมากกว่านี้พวกเราได้แต่เสียดายแต่ในใจก็คิดว่ายังไงเราก็จะได้ไปใกล้ชิดกับสถานที่จริงในอรุณรุ่งเราศึกษาเส้นทางการเดินทางไปหิมาลัยจริงๆ ก็จะมีรถโดยสารประจำทางขับไปส่งถึงหมู่บ้าน Dhampus (แดมปัส) แต่ด้วยใจที่เปี่ยมไปด้วยพลังและอยากสัมผัสวิถีชิตเราจึงเลือกการเดินขึ้นเขาโดยที่พวกเราได้รวบรวมสัมภาระที่จำเป็นไว้ใน 1 กระเป๋าใบใหญ่และจ้าง Porter ในการแบกกระเป๋าของพวกเราในราคา 1,500 รูปีต่อวันคิดเป็นเงินไทย 500 บาทซึ่งผมมาทราบภายหลังว่าอาชีพนี้ก็เป็นอาชีพยอดนิยมของคนเนปาลเพราะไม่ต้องลงทุนอะไรมากนอกจากร่างกายที่แข็งแรงและใจรักงานบริการเท่านั้น รุ่งเช้า Porter มารอพวกเรา ผมเห็นครั้งแรกตกใจกับ Porter เนื่องจากลุงแกตัวเล็กแล้วดูกระเป๋าของพวกเราเกือบครึ่งหนึ่งของลุงแต่ Porter บอกกับพวกเราว่าไหว รถของโรงแรมพาพวกเรามาส่งยังตีนเขาที่นี่เราเจอนักผจญภัยที่มาจากประเทศต่างๆ ที่พร้อมจะลุยขึ้นเขาไปด้วยกันเมื่อทุกอย่างพร้อมเราได้ซื้อไม้สำหรับปีนเขาคนละอันจากนั้นก็เริ่มเดินขึ้นเขาซึ่งเป็นบันไดหินสุดลูกหูลูกตาแรกๆ พวกเรากระหยิ่มยิ้มย่องสบายใจเนื่องจากมั่นใจว่าแข็งแรงพอและผ่านการปีนดอยบ้านเรามาแล้วแต่ไปได้ไม่เท่าไหร่อากาศที่เย็นก็เปลี่ยนเป็นอุณหภูมิที่ร้อนเหงื่อแตกผลักๆ  ขาเริ่มลากก้าวบันไดในแต่ละขั้นเริ่มล้า ส่วนPorter ของพวกเรากับเดินแบบสบายๆ ฉิวก่อนเราและจะพักรอพวกเราเป็นจุดๆ แถมยังคุยอีกว่าที่แกแข็งแรงเพราะดื่มนมแพะสดๆ ซึ่งก็มีขายตามหมู่บ้านชนบทที่เราเดินผ่านในราคาขวดละ 100 รูปีผมเลยขอชิมว่ารสชาติเป็นไงถ้าอร่อยจะได้ซื้อ อึ๊กแรกที่กลืนลงไปมันยิ่งทำให้ผมหมดแรงเข้าไปอีกก็แหมกลิ่นฉุนตุๆ แถมรสชาติที่ไม่ผ่านการพาสเจอไรท์บอกไม่ถูกครับต้องชิมเองถึงจะรู้ เราเดินลัดเลาะป่าเขาลำเนาไพรเจอหมู่บ้านกลางป่าผู้คนที่นี่อัธยาศัยดีมากเราจะได้ยินเสียงทักทาย “นมัสเต้” ออกมาทุกครั้งมิตรภาพจึงเริ่มเกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นเพื่อนชาวต่างชาติที่เดินสวนทางกันหรือกับชาวบ้านซึ่งก็เป็นที่น่าสังเกตว่าคนที่นี่เขาใช้ภาษาอังกฤษได้ดีทีเดียว ลูกเล็กเด็กแดงหรือชาวไร่ชาวนาเวลาเราถามทางพวกเขาจะสามารถสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษกับเราได้เรา เราใช้เวลา 5 ชั่วโมงในการเดินทางมาถึงหมู่บ้าน Dhampus จุดที่เราจะสามารถมองเห็นความยิ่งใหญ่ของหิมาลัยในอรุณรุ่งพวกเราหาที่พักแบบโฮมสเตย์ที่พักบนยอดเขาราคาถูกมากเขาเก็บคนละ 150 รูปีก็เท่ากับ 45 บาทไทยซึ่งที่พักแถวนี้จะสามารถมองเห็นยอดเขาหิมาลัยเหมือนกันหมดจากนั้นพวกเราจึงออกเดินสำรวจหมู่บ้าน เราได้เจอกับวิถีชีวิตเด็กวัยรุ่นที่นี่พวกเขาใช้วันหยุดมา Camping กันโดยการช่วยกันทำอาหารเปิดเพลงเต้นรำกันอย่างสนุกสานพวกเขาน่ารักมากเข้ามาพูดคุยกับพวกเราอย่างเป็นกันเอง สิ่งที่ทำให้ผมประหลาดใจอีกอย่างคือชิงช้าที่ตั้งตระหง่านบนยอดดอยก็แหม...มันช่างคล้ายกับชิงช้าของชาวอาข่าที่ผมคุ้นเคยเหลือเกิน ผมก็เลยสอบถามคนแถวนั้นก็ได้ความว่าเป็นเทศกาลปีใหม่ของพวกเขาที่จะมีการโล้ชิงช้าไปด้วย อืม....นี่ขนาดผมมาไกลถึงที่นี่ก็ยังทำให้ผมได้เห็น ช่างบังเอิญอะไรอย่างนี้เลยทำให้หวนคิดถึงพี่น้องชาวอาข่าบนดอยบ้านเราเหลือหลาย ใกล้ค่ำอากาศที่นี่หนาวมากพวกเราจึงรีบเข้าที่พักอาบน้ำเข้านอนซึ่งเรานัดกันตีห้าเพื่อไปรอชมความงามของยอดเขาหิมาลัย
....โปรดติดตามตอนต่อไปนะครับรับรองสนุกแน่คร้าบ...
เข้ามาดู
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่