สามีไม่ทำงาน ผลักภาระให้ภรรยา เหนื่อยและท้อมากค่ะ

ขอคำแนะนำด้วยนะค่ะ เนื่องจากดิฉันไม่รู้จะไปพูดคุยกับใครที่ไหน ตอนนี้เหนื่อยและท้อมากค่ะ
    ดิฉันอายุ 39 ปี ส่วนสามีอายุ 40 ปี (มีโรคประจำตัวคือ เบาหวาน เป็นได้ประมาณ 9 ปี  เรื่องบนเตียงไม่มีมา 4 ปีแล้วค่ะ) เรามีลูกด้วยกัน 1 คนกำลังเรียนในระดับประถมต้น  เราซื้อ(ผ่อน)บ้าน 1 หลัง (ซึ่งอยู่ในโครงการเดียวกับครอบครัวสามี) ผ่อนรถยนต์อีก 1 คัน  ปัจจุบันดิฉันทำงานบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง  ส่วนสามีอดีตเคยทำงานบริษัทเอกชน แต่ถูกไล่ออกสาเหตุเพราะดื่มเหล้าในเวลาทำงาน (ออกจากงานได้ประมาณ 1 ปี แล้วค่ะ)  สามีเป็นคนดื่มเหล้าตอนเย็นทุกวันค่ะ ตอนที่ยังทำงานที่บริษัท มีผจก.ของสามีโทรมาคุยกับดิฉัน(ขอเบอร์จากสามี)เพราะคุยกับสามีไม่รู้เรื่อง เค้าแจ้งว่า สามีดื่มเหล้าในเวลางานทุกวัน เพื่อนๆร่วมงานจะได้กลิ่นเหล้าตลอดเวลา มีบางวันแอบไปนอนหลับในห้องเก็บของเพราะเมา  ทาง ผจก.สามีบอกว่าทางบริษัทไม่ได้ใจร้ายนะ แต่ให้โอกาสกับสามีให้เลิกพฤติกรรมนี้มานานประมาณ 1 ปีแล้ว เรียกเข้าห้องเย็นประมาณ 5 ครั้ง ทุกครั้งสามีก็สัญญาว่าจะเลิกดื่มในเวลาทำงาน แต่ก้อไม่เคยทำได้สักที เลยเป็นสาเหตุที่ต้องไล่ออกจากงาน ........ พอได้ยินดิฉันเข่าอ่อนเลยค่ะ แต่ต้องทำใจยอมรับ ......... ชีวิตหลังจากถูกไล่ออกจากงาน สามีก้อยังคงดื่มเหล้าทุกวัน ทั้งๆที่ตัวเองป่วยเป็นเบาหวาน ห้ามก้อไม่เคยฟัง  ดิฉันร้องไห้แทบทุกวัน สุดท้ายภาระทั้งหมดตกมาอยู่ที่ดิฉันคนเดียว ทั้งผ่อนบ้าน ,ผ่อนรถ ,ค่าเทอมลูก, ค่าเรียนพิเศษ, ค่าประกันชีวิตลูก ,ค่าประกันรถยนต์ 2 คัน (ผ่อน1,ซื้อมือสอง 1) , ค่าต่างๆอีกจิปาถะ  เคยขอความช่วยเหลือจากครอบครัวสามีให้ช่วยบอกสามีให้เลิกดื่มได้แล้วแต่ก้อไม่เป็นผล ช่วงหลังตกงาน สามีก้อไม่คิดจะไปหางานทำที่ไหน รับส่งลูกไปโรงเรียนอย่างเดียว  ช่วงกลางวันสามีอยู่บ้าน ก้อจะนอน เล่นเน็ต ดูทีวี ตอนเย็นก้อดื่มเหล้า(ขอเงินจากดิฉัน) เป็นอย่างนี้มาตลอด ช่วงหลังๆสามีผอมมาก เพราะไม่ดูแลสุขภาพตัวเอง ทางครอบครัวสามีก้อบอกดิฉันว่า ไม่ต้องให้ออกไปทำงานที่ไหนแล้ว เพราะสามีคงไม่มีแรงจะไปทำ เพราะผอมมาก นน.เหลือประมาณ 40 กว่าๆ จาก 67 (แต่ก้อยังดื่มทุกวัน) พ่อของสามีค่อนข้างจะปกป้องลูก เค้ารักลูกของเค้ามากเราเข้าใจ ดิฉันเคยทะเลาะกับสามีเรื่องการกินเหล้า ดิฉันอดทนไม่ไหวถึงขีดสุดแล้ว จึงเล่าถึงความหนักอกหนักใจให้กับพ่อแม่สามีฟัง หวังจะได้กำลังใจดีๆ เพราะเราก้อรักและเคารพเขาเหมือนกับพ่อแม่เรา แต่ผลที่ได้ก้อคือ เค้าว่าเรา....."จะไปอะไรนักหนากับคนป่วยเป็นโรค ดูสิผอมลงทุกวัน คนมันไม่สบายก้อรู้อยู่ " ดิฉันนี้บ่อน้ำตาแตกต่อหน้าพ่อแม่สามีเลยค่ะ  วันนั้นจำได้ดี กลับถึงบ้านน้ำตายังไม่หยุดไหลเลยค่ะ ย้อนนึกถึงคำพูดพ่อสามีเมื่อไหร่ดิฉันน้อยใจน้ำตาซึมทุกครั้งเลยค่ะ ส่วนสามีก้อด้วย ถ้าดิฉันปริปากว่าอะไรให้เมื่อไหร่ เค้าก้อจะไปฟ้องพ่อแม่เขา ไปนอนบ้านพ่อแม่เขา ไม่เข้าบ้าน พ่อแม่เขาก้อว่าให้เรา (ลืมบอกไปค่ะ ว่าดิฉันเป็นลูกกำพร้าพ่อแม่เสียหมดแล้วค่ะ เลยไม่มีที่ปรึกษาที่ไหน) ดิฉันเข้าใจนะว่าพ่อแม่ก้อรักลูก แต่คนลำบากคือตัวดิฉันเอง ทำงานหาเงินชักหน้าไม่ถึงหลัง ส่วนอีกคนไม่ทำอะไรเลย หนักไม่เอาเบาไม่สู้.... ขนาดขอให้ยกลังน้ำดื่มเข้าบ้านยังไม่ยกเลย บอกหนัก น้ำดื่มหมดไม่สนไม่โทรสั่ง รอให้ดิฉันมาจัดการ แก๊สหมดไม่ยอมเอาไปเติม สุดท้ายทุกอย่าง ก้อดิฉันทั้งหมดทุกสิ่งอย่าง ไม่สนใจเลยว่าเดือนๆหนึ่งมีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง นิ่งเฉยมาก ดิฉันกลับจากที่ทำงานเห็นบ้านในสภาพรกรุงรังมันรู้สึกโคตรเหนื่อย เราก้อต้องมาเก็บกวาด  เอาผ้าลงเครื่อง ทำกับข้าว และสอนการบ้านลูก ชีวิตเป็นอย่างนี้ทุกวัน ส่วนวันอาทิตย์เป็นวันหยุด แต่ก้อต้องไปส่งลูกเรียนพิเศษอีก ส่วนสามีขอพัก เหตุผลคือขี้เกียจไปนั่งรอลูกนาน  บางวันนั่งร้องไห้เพราะน้อยใจในชีวิต  ไม่รู้จะต้องทำยังไงกับชีวิตดี .....  1 ปีที่ผ่านมา ดิฉันเหนื่อยมากกับการหาเงินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในบ้าน มีอยู่ช่วงหนึ่งตอนลูกปิดเทอม ตอนเย็นหลังเลิกงานดิฉันทำอาชีพเสริมคือขายของปิ้งย่าง แต่ทำได้แค่ระยะหนึ่งก้อหยุด เพราะไม่ไหว เลิกงานเข้าบ้านกว่าจะได้เริ่มขายก้อ ทุ่มครึ่ง เข้านอนก้อ ตี 1 กว่าๆ ทำงานกลางวันด้วยเหนื่อยค่ะ ก้อเลยเปลี่ยนมาเป็นรับขนมมาขายในที่ทำงานแทน แรกๆก้อขายดี แต่นานไปเค้ากินบ่อยก้อไม่อยากกิน ก้อเลยเลิกขาย ที่ผ่านมาดิฉันเครียดมาก คิดไม่ตกกับชีวิต จนทำให้เป็นโรคความดันโลหิตสูงจากภาวะความเครียด ทุกวันนี้ก้อต้องกินยาลดความดันทุกวัน .... จากวันนี้ไประยะทางอีกยาวไกล ลูกยังต้องเรียนหนังสืออีกประมาณ 14 ปีถึงจะจบ ป.ตรี ค่าเทอมก้อแพงหลักหมื่น ดิฉันไม่รู้ต้องทำยังไง  รบกวนขอคำแนะนำดีๆจากผู้มีประสบการณ์และผู้อ่าน เพื่อให้ดิฉันมีเรี่ยวแรงต่อสู้ในวันต่อๆไปด้วยนะค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่