แอมเนสตี้ปฏิบัติการด่วน! ชวนทั่วโลกจี้ไทยยุติคดี MBK39 ชี้ขัดสิทธิมนุษยชนสากล
https://www.matichon.co.th/news/847393
เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ สำนักเลขาธิการใหญ่
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ณ กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร ออกปฏิบัติการด่วน เชิญชวนสมาชิก นักกิจกรรม และผู้สนับสนุนกว่า 7 ล้านคนทั่วโลกให้ร่วมกันส่งจดหมายเรียกร้องทางการไทยให้ยุติการดำเนินคดีอาญาต่อกลุ่มนักกิจกรรม MBK 39
โดยระบุถึงเหตุการณ์เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2561 ที่ผ่านมาหน้าศูนย์การค้า MBK ซึ่งเป็นการรวมตัวอย่างสันติของนักศึกษาและประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลทหาร เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยและทวงสัญญาของรัฐบาลที่ระบุว่าจะจัดให้มีการเลือกตั้งภายในปีนี้ แต่หลังจากนั้นไม่นาน ตำรวจได้แจ้งดำเนินคดีต่อผู้เข้าร่วมไปจนถึงผู้สังเกตการณ์รวม 39 คน ซึ่งเป็นที่มาของชื่อเรียก MBK 39
ทั้ง 39 คนถูกแจ้งข้อหาฐานละเมิดคำสั่ง คสช. ห้ามชุมนุมทางการเมืองเกินห้าคน และความผิดตามพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 ที่ห้ามการชุมนุมในรัศมี 150 เมตรจากเขตพระราชฐานตาม ซึ่งหากถูกตัดสินว่ามีความผิดจริง พวกเขาอาจได้รับโทษจำคุกสูงสุดหนึ่งปี
นอกจากนี้ เก้าคนในนั้นยังโดนแจ้งข้อหายุยงปลุกปั่นเพิ่มด้วย โดยถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้นำการชุมนุมดังกล่าว หากถูกตัดสินว่ามีความผิดจริง พวกเขาอาจได้รับโทษจำคุกสูงสุดอีกคนละเจ็ดปี
แอมเนสตี้ได้ออกปฏิบัติการด่วนเชิญชวนสมาชิก นักกิจกรรม ผู้สนับสนุน ตลอดจนผู้ที่สนใจประเด็นสิทธิมนุษยชนทั่วโลก เขียนจดหมายเรียกร้องให้ทางการไทยยุติการดำเนินคดีต่อกลุ่ม MBK 39 และคนไทยทุกคนที่ถูกดำเนินคดีจากการใช้เสรีภาพในการแสดงออกอย่างสันติ ตลอดจนยกเลิกและปรับปรุงกฎหมาย ไปจนถึงคำสั่งต่างๆ ให้ไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชนของประชาชนด้วย
แอมเนสตี้ระบุว่าตลอดช่วงสามปีครึ่งหลังจากรัฐประหาร รัฐบาลทหารปราบปรามและจำกัดพื้นที่การใช้สิทธิมนุษยชนของประชาชนอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะเสรีภาพในการแสดงออกและเสรีภาพในการชุมนุมอย่างสงบ เห็นได้จากผู้ที่แสดงความเห็นต่อต้านรัฐประหารหรือรัฐบาลทหารผ่านช่องทางต่างๆ หลายคนถูกควบคุมตัวโดยพลการ ถูกดำเนินคดีตามคำสั่งของรัฐบาลทหาร และถูกนำตัวขึ้นศาลทหาร ซึ่งไม่สอดคล้องกับกฎหมายและมาตรฐานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศอย่างมาก
'วีวอล์ค' โวยรัฐคุกคามไม่หยุด
http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/792946
สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) -19 ก.พ.61. เวลา 13.00 น. นายนิมิตร์ เทียนอุดม ตัวแทนเครือข่ายประชาขน หรือ พีเพิล โก เน็ตเวิร์ค จัดกิจกรรมเดินมิตรภาพ หรือวีวอล์ค จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ไปยังจ.ขอนแก่น ระหว่างวันที่ 20 ม.ค.-17 ก.พ.ที่ผ่านมาว่า กิจกรรมดังกล่าวเป็นการสร้างพื้นที่การเรียนรู้ระหว่างภาคประชาชนกลุ่มต่างๆ และรณรงค์ให้ประชาชนทราบถึงปัญหาสำคัญ 4 ด้าน ได้แก่
1.รัฐสวัสดิการและหลักประกันสุขภาพ
2. เกษตรกรรมและความมั่นคงทางอาหาร
3.สิทธิชุมชนทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม
และ4. สิทธิเสรีภาพ รัฐธรรมนูญ และประชาธิปไตย
ซึ่งได้รับการคุ้มครองชั่วคราวจากศาลปกครองสูงสุด เนื่องจากเป็นกิจกรรมที่สามารถดำเนินการได้ตามสิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ แต่สมาชิกผู้ร่วมกิจกรรมถูกเจ้าหน้าที่คุกคาม ถูกติดตามถ่ายภาพหน้าและทะเบียนรถยนต์ และพยายามปิดกั้นในหลายรูปแบบ มีการติดตามไปในชุมชน ที่ทำงาน และบ้านพักเพื่อตามหาตัว โดยการคุกคามเป็นไปอย่างต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 20 ม.ค. จนถึงกิจกรรมวันสุดท้าย และยังต่อเนื่องมายังวันที่ 18 ก.พ. ซึ่งตำรวจสภ.บึงกาฬได้เข้ามาพูดคุยกับชาวบ้านสมัชชาคนจน ภาคประชาชนจึงเห็นว่าพฤติกรรมดังกล่าวเป็นการข่มขู่คุกคาม และขัดคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของศาลปกครองสูงสุด จึงขอให้กรรมการสิทธิดำเนินการตรวจสอบเป็นวาระเร่งด่วน
“กรณีที่หนักที่สุดคือกลุ่มสมาพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ ซึ่งมาร่วมเดินกิจรรมเดินมิตรภาพ เพื่อผลักดันให้เกิดการแก้ปัญหาที่ดินทำกิน แต่กลับถูกเจ้าหน้าที่เรียกไปรายงานตัว และจับกุมตัวไปส่งฟ้องศาลฝากขัง โดยศาลให้ประกันตัวคนละ 5,000 บาท แต่กำหนดให้มารายงานตัวทุกๆ 6 วัน ซึ่งเป็นเรื่องยุ่งยาก” นายนิมิตร์ กล่าว
ด้านนาง
อังคณา นีละไพจิตร กรรมการสิทธิมนุษยชน กล่าวว่า ที่ผ่านมา กสม. ได้เข้าไปร่วมสังเกตการณ์การชุมนุม และตรวจสอบไม่ให้มีการละเมิดสิทธิ์ นอกจากนี้ ยังได้พูดคุยด้วยวาจากับนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ก็ไม่พบว่าจะมีสัญญาณที่จะเกิดปัญหาข่มขู่คุกคาม และเท่าที่ได้รับฟังจากเครือข่ายภาคประชาชนยังไม่พบพฤติการณ์ว่ามีกรเข้าไปข่มขู่หรือทำร้าย มีเพียงกรณีกลุ่มสมาพันธ์เกษตรกรภาคเหนือที่ถูกยื่นฟ้องเป็นคดีในชั้นศาล หลังจากนี้จะทำหนังสือถึงหน่วยงานเพื่อให้ชี้แจงข้อร้องเรียนของเครือข่ายภาคประชาชน เนื่องจากการเข้าไปติดตามตัวสอบถาม จะทำให้เกิดความหวาดระแวง หากเจ้าหน้าที่พบว่ากิจกรรมของภาคประชาชนจะนำไปสู่ความไม่สงบหรือไม่ปลอดภัยก็ต้องแจ้งให้เลิกจัดกิจกรรม ไม่ใช่ไปติดตามตัวผู้ร่วมกิจกรรม เพราะชาวบ้านก็แค่มารับฟังเนื้อหากิจกรรม การติดตามไปยังบ้านพักที่มีพ่อแม่ ญาติพี่น้องร่วมพักอาศัยอยู่ด้วย จะเป็นการสร้างความหวาดกลัวหวาดระแวง
JJNY : แอมเนสตี้ปฏิบัติการด่วน! ชวนทั่วโลกจี้ไทยยุติคดี MBK39 ชี้ขัดสิทธิมนุษยชนสากล / 'วีวอล์ค' โวยรัฐคุกคามไม่หยุด
https://www.matichon.co.th/news/847393
เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ สำนักเลขาธิการใหญ่ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ณ กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร ออกปฏิบัติการด่วน เชิญชวนสมาชิก นักกิจกรรม และผู้สนับสนุนกว่า 7 ล้านคนทั่วโลกให้ร่วมกันส่งจดหมายเรียกร้องทางการไทยให้ยุติการดำเนินคดีอาญาต่อกลุ่มนักกิจกรรม MBK 39
โดยระบุถึงเหตุการณ์เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2561 ที่ผ่านมาหน้าศูนย์การค้า MBK ซึ่งเป็นการรวมตัวอย่างสันติของนักศึกษาและประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลทหาร เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยและทวงสัญญาของรัฐบาลที่ระบุว่าจะจัดให้มีการเลือกตั้งภายในปีนี้ แต่หลังจากนั้นไม่นาน ตำรวจได้แจ้งดำเนินคดีต่อผู้เข้าร่วมไปจนถึงผู้สังเกตการณ์รวม 39 คน ซึ่งเป็นที่มาของชื่อเรียก MBK 39
ทั้ง 39 คนถูกแจ้งข้อหาฐานละเมิดคำสั่ง คสช. ห้ามชุมนุมทางการเมืองเกินห้าคน และความผิดตามพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 ที่ห้ามการชุมนุมในรัศมี 150 เมตรจากเขตพระราชฐานตาม ซึ่งหากถูกตัดสินว่ามีความผิดจริง พวกเขาอาจได้รับโทษจำคุกสูงสุดหนึ่งปี
นอกจากนี้ เก้าคนในนั้นยังโดนแจ้งข้อหายุยงปลุกปั่นเพิ่มด้วย โดยถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้นำการชุมนุมดังกล่าว หากถูกตัดสินว่ามีความผิดจริง พวกเขาอาจได้รับโทษจำคุกสูงสุดอีกคนละเจ็ดปี
แอมเนสตี้ได้ออกปฏิบัติการด่วนเชิญชวนสมาชิก นักกิจกรรม ผู้สนับสนุน ตลอดจนผู้ที่สนใจประเด็นสิทธิมนุษยชนทั่วโลก เขียนจดหมายเรียกร้องให้ทางการไทยยุติการดำเนินคดีต่อกลุ่ม MBK 39 และคนไทยทุกคนที่ถูกดำเนินคดีจากการใช้เสรีภาพในการแสดงออกอย่างสันติ ตลอดจนยกเลิกและปรับปรุงกฎหมาย ไปจนถึงคำสั่งต่างๆ ให้ไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชนของประชาชนด้วย
แอมเนสตี้ระบุว่าตลอดช่วงสามปีครึ่งหลังจากรัฐประหาร รัฐบาลทหารปราบปรามและจำกัดพื้นที่การใช้สิทธิมนุษยชนของประชาชนอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะเสรีภาพในการแสดงออกและเสรีภาพในการชุมนุมอย่างสงบ เห็นได้จากผู้ที่แสดงความเห็นต่อต้านรัฐประหารหรือรัฐบาลทหารผ่านช่องทางต่างๆ หลายคนถูกควบคุมตัวโดยพลการ ถูกดำเนินคดีตามคำสั่งของรัฐบาลทหาร และถูกนำตัวขึ้นศาลทหาร ซึ่งไม่สอดคล้องกับกฎหมายและมาตรฐานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศอย่างมาก
'วีวอล์ค' โวยรัฐคุกคามไม่หยุด
http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/792946
สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) -19 ก.พ.61. เวลา 13.00 น. นายนิมิตร์ เทียนอุดม ตัวแทนเครือข่ายประชาขน หรือ พีเพิล โก เน็ตเวิร์ค จัดกิจกรรมเดินมิตรภาพ หรือวีวอล์ค จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ไปยังจ.ขอนแก่น ระหว่างวันที่ 20 ม.ค.-17 ก.พ.ที่ผ่านมาว่า กิจกรรมดังกล่าวเป็นการสร้างพื้นที่การเรียนรู้ระหว่างภาคประชาชนกลุ่มต่างๆ และรณรงค์ให้ประชาชนทราบถึงปัญหาสำคัญ 4 ด้าน ได้แก่
1.รัฐสวัสดิการและหลักประกันสุขภาพ
2. เกษตรกรรมและความมั่นคงทางอาหาร
3.สิทธิชุมชนทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม
และ4. สิทธิเสรีภาพ รัฐธรรมนูญ และประชาธิปไตย
ซึ่งได้รับการคุ้มครองชั่วคราวจากศาลปกครองสูงสุด เนื่องจากเป็นกิจกรรมที่สามารถดำเนินการได้ตามสิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ แต่สมาชิกผู้ร่วมกิจกรรมถูกเจ้าหน้าที่คุกคาม ถูกติดตามถ่ายภาพหน้าและทะเบียนรถยนต์ และพยายามปิดกั้นในหลายรูปแบบ มีการติดตามไปในชุมชน ที่ทำงาน และบ้านพักเพื่อตามหาตัว โดยการคุกคามเป็นไปอย่างต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 20 ม.ค. จนถึงกิจกรรมวันสุดท้าย และยังต่อเนื่องมายังวันที่ 18 ก.พ. ซึ่งตำรวจสภ.บึงกาฬได้เข้ามาพูดคุยกับชาวบ้านสมัชชาคนจน ภาคประชาชนจึงเห็นว่าพฤติกรรมดังกล่าวเป็นการข่มขู่คุกคาม และขัดคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของศาลปกครองสูงสุด จึงขอให้กรรมการสิทธิดำเนินการตรวจสอบเป็นวาระเร่งด่วน
“กรณีที่หนักที่สุดคือกลุ่มสมาพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ ซึ่งมาร่วมเดินกิจรรมเดินมิตรภาพ เพื่อผลักดันให้เกิดการแก้ปัญหาที่ดินทำกิน แต่กลับถูกเจ้าหน้าที่เรียกไปรายงานตัว และจับกุมตัวไปส่งฟ้องศาลฝากขัง โดยศาลให้ประกันตัวคนละ 5,000 บาท แต่กำหนดให้มารายงานตัวทุกๆ 6 วัน ซึ่งเป็นเรื่องยุ่งยาก” นายนิมิตร์ กล่าว
ด้านนางอังคณา นีละไพจิตร กรรมการสิทธิมนุษยชน กล่าวว่า ที่ผ่านมา กสม. ได้เข้าไปร่วมสังเกตการณ์การชุมนุม และตรวจสอบไม่ให้มีการละเมิดสิทธิ์ นอกจากนี้ ยังได้พูดคุยด้วยวาจากับนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ก็ไม่พบว่าจะมีสัญญาณที่จะเกิดปัญหาข่มขู่คุกคาม และเท่าที่ได้รับฟังจากเครือข่ายภาคประชาชนยังไม่พบพฤติการณ์ว่ามีกรเข้าไปข่มขู่หรือทำร้าย มีเพียงกรณีกลุ่มสมาพันธ์เกษตรกรภาคเหนือที่ถูกยื่นฟ้องเป็นคดีในชั้นศาล หลังจากนี้จะทำหนังสือถึงหน่วยงานเพื่อให้ชี้แจงข้อร้องเรียนของเครือข่ายภาคประชาชน เนื่องจากการเข้าไปติดตามตัวสอบถาม จะทำให้เกิดความหวาดระแวง หากเจ้าหน้าที่พบว่ากิจกรรมของภาคประชาชนจะนำไปสู่ความไม่สงบหรือไม่ปลอดภัยก็ต้องแจ้งให้เลิกจัดกิจกรรม ไม่ใช่ไปติดตามตัวผู้ร่วมกิจกรรม เพราะชาวบ้านก็แค่มารับฟังเนื้อหากิจกรรม การติดตามไปยังบ้านพักที่มีพ่อแม่ ญาติพี่น้องร่วมพักอาศัยอยู่ด้วย จะเป็นการสร้างความหวาดกลัวหวาดระแวง