คราวที่แล้วเขียนยาวไปหน่อย
เริ่มต้นที่จีน (อีกแล้ว)
เงินจากการขายพันธบัตรสหรัฐ
ได้เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจจริงทั่วโลก
ผ่านทางการบริโภคและการท่องเที่ยวของคนจีน
ซึ่งทำให้ เศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นกลับมา
ยุโรป เอเชีย อินเดีย อาเซียน ได้ประโยชน์ไปตามๆกัน
เม็ดเงินเหล่านี้ สร้างรายได้ให้ประเทศต่างๆ
ว่าแต่ จีน ทำไปเพื่ออะไร?
เพราะขนาดเศรษฐกิจของจีน เริ่มใหญ่ขึ้น
การจะทำให้เศรษฐกิจ จีนขยายตัวไปมากกว่านี้
ต้องมีเศรษฐกิจโลกมารองรับ
ถ้า จีนจะสร้างรถไฟความเร็วสูง
หรือสร้างถนน เชื่อมประเทศ
ประเทศที่ทางรถไฟเหล่านั้นผ่าน
ต้องมีเงินสร้างทางรถไฟ ก่อน
แล้วเงินเอามาจากไหน?
ก็เอามาจากการบริโภคและการท่องเที่ยวจากคนจีนนั่นเอง
ซึ่งสุดท้าย เงินเหล่านี้ก็จะกลับไปสู่จีนอีกครั้ง จากการค้า
แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฝรั่งหยุดขายหุ้นไทย??
เม็ดเงินที่สาดลงไป
สร้างรายได้ให้กับประเทศต่างๆ
เมื่อรายได้เพิ่ม กำไรก็เพิ่มตาม
เมื่อกำไรบริษัทเพิ่ม
ราคาหุ้นก็จะสะท้อนออกมา
มันคือที่มาของ 1800 จุด
คราวที่แล้วเรามี QE ของสหรัฐ
ซึ่ง QE ไม่ได้สร้างประโยชน์ให้ระบบเศรษฐกิจจริงเท่าไหร่
แต่คราวนี้ จีน กลับอัดเงินเข้าระบบเศรษฐกิจจริงตรงๆ
แล้วมันอ้อมมามีผลกับตลาดหุ้น
กองทุน ซึ่งรู้ตัวก่อนว่ากำลังเกิดไรขึ้น
จึงซื้อเข้าซื้อหุ้นจนเกือบหมดตลาด
ในช่วงที่ผ่านมา
มีได้ย่อมมีเสีย...
แล้วใครเสียประโยชน์
เจ้าของพันธบัตรไง
สหรัฐ ซึ่งเคยมีต้นทุนเงินที่ถูก
คราวนี้ ไม่มีคนซื้อพันธบัตรทำไง?
ก็ต้องเพิ่มผลตอบแทน
เพราะตัวเองต้องการเงิน แต่ไม่มีใครให้กู้ถูกๆอีก
ปัญหา ผลตอบแทนจากพันธบัตรพุ่งสูง
จึงเกิดขึ้น
กลับมาดูบ้านเรา
เงินที่ไหลเข้ามาเพิ่ม การลงทุนที่ลดลง
กำไรจึงกระจุกตัวอยู่ในไม่กี่บริษัท
โดยหุ้นของบริษัทเหล่านี้ ราคาจะเพิ่มขึ้นสูง
เนื่องจากกองทุน และนักลงทุน เริ่มแย่งกันซื้อ
ส่วนนักลงทุนต่างชาติ ก็ขายหุ้นต่อเนื่อง
เพื่อนำเงินกลับไปลงทุนในประเทศตนเอง
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา
จากค่าเงินบาทที่แข็งค่า
ทำให้ ธนาคารแห่งประเทศไทย
หามาตรการ มากันเงินไหลเข้าประเทศ
ทั้งคงอัตราดอกเบี้ย ลดการขายพันธบัตร
มีแอบแทรกแซงซื้อดอลล่าร์เล็กน้อย
เห็นได้จากทุนสำรองที่เพิ่มขึ้น
สิ่งเหล่านี้ทำให้ เงินต่างชาติในตลาดหุ้นไหลออก
ซึ่งไปๆมาๆ กลับเป็นผลดี
โดยดูได้จาก วิกฤตช่วงที่ผ่านมา
ประเทศที่มีนักลงทุนสหรัฐ เข้าลงทุนจำนวนมาก
ตลาดหุ้นจะลงแรง เช่น ญี่ปุ่น ยุโรป แม้แต่จีนเอง
ขณะที่ SET แทบไม่ได้รับผลกระทบเท่าไหร่
ในขณะที่เม็ดเงินต่างชาติน้อยลงเรื่อยๆ
แต่เม็ดเงินที่อัดมาจากจีน
ผ่านภาคเศรษฐกิจจริง กำลังมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน
เมื่อต่างชาติ ลดการขายหุ้นไทยลงเมื่อไหร่
ก็จะกลับมาสู่คำถามที่ว่า
แล้ว SET จะเป็นเช่นไร?
ไม่ซื้อ... ไม่ขาดทุน
สวัสดีครับทุกท่าน
คราวที่แล้วเขียนยาวไปหน่อย
เริ่มต้นที่จีน (อีกแล้ว)
เงินจากการขายพันธบัตรสหรัฐ
ได้เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจจริงทั่วโลก
ผ่านทางการบริโภคและการท่องเที่ยวของคนจีน
ซึ่งทำให้ เศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นกลับมา
ยุโรป เอเชีย อินเดีย อาเซียน ได้ประโยชน์ไปตามๆกัน
เม็ดเงินเหล่านี้ สร้างรายได้ให้ประเทศต่างๆ
ว่าแต่ จีน ทำไปเพื่ออะไร?
เพราะขนาดเศรษฐกิจของจีน เริ่มใหญ่ขึ้น
การจะทำให้เศรษฐกิจ จีนขยายตัวไปมากกว่านี้
ต้องมีเศรษฐกิจโลกมารองรับ
ถ้า จีนจะสร้างรถไฟความเร็วสูง
หรือสร้างถนน เชื่อมประเทศ
ประเทศที่ทางรถไฟเหล่านั้นผ่าน
ต้องมีเงินสร้างทางรถไฟ ก่อน
แล้วเงินเอามาจากไหน?
ก็เอามาจากการบริโภคและการท่องเที่ยวจากคนจีนนั่นเอง
ซึ่งสุดท้าย เงินเหล่านี้ก็จะกลับไปสู่จีนอีกครั้ง จากการค้า
แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฝรั่งหยุดขายหุ้นไทย??
เม็ดเงินที่สาดลงไป
สร้างรายได้ให้กับประเทศต่างๆ
เมื่อรายได้เพิ่ม กำไรก็เพิ่มตาม
เมื่อกำไรบริษัทเพิ่ม
ราคาหุ้นก็จะสะท้อนออกมา
มันคือที่มาของ 1800 จุด
คราวที่แล้วเรามี QE ของสหรัฐ
ซึ่ง QE ไม่ได้สร้างประโยชน์ให้ระบบเศรษฐกิจจริงเท่าไหร่
แต่คราวนี้ จีน กลับอัดเงินเข้าระบบเศรษฐกิจจริงตรงๆ
แล้วมันอ้อมมามีผลกับตลาดหุ้น
กองทุน ซึ่งรู้ตัวก่อนว่ากำลังเกิดไรขึ้น
จึงซื้อเข้าซื้อหุ้นจนเกือบหมดตลาด
ในช่วงที่ผ่านมา
มีได้ย่อมมีเสีย...
แล้วใครเสียประโยชน์
เจ้าของพันธบัตรไง
สหรัฐ ซึ่งเคยมีต้นทุนเงินที่ถูก
คราวนี้ ไม่มีคนซื้อพันธบัตรทำไง?
ก็ต้องเพิ่มผลตอบแทน
เพราะตัวเองต้องการเงิน แต่ไม่มีใครให้กู้ถูกๆอีก
ปัญหา ผลตอบแทนจากพันธบัตรพุ่งสูง
จึงเกิดขึ้น
กลับมาดูบ้านเรา
เงินที่ไหลเข้ามาเพิ่ม การลงทุนที่ลดลง
กำไรจึงกระจุกตัวอยู่ในไม่กี่บริษัท
โดยหุ้นของบริษัทเหล่านี้ ราคาจะเพิ่มขึ้นสูง
เนื่องจากกองทุน และนักลงทุน เริ่มแย่งกันซื้อ
ส่วนนักลงทุนต่างชาติ ก็ขายหุ้นต่อเนื่อง
เพื่อนำเงินกลับไปลงทุนในประเทศตนเอง
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา
จากค่าเงินบาทที่แข็งค่า
ทำให้ ธนาคารแห่งประเทศไทย
หามาตรการ มากันเงินไหลเข้าประเทศ
ทั้งคงอัตราดอกเบี้ย ลดการขายพันธบัตร
มีแอบแทรกแซงซื้อดอลล่าร์เล็กน้อย
เห็นได้จากทุนสำรองที่เพิ่มขึ้น
สิ่งเหล่านี้ทำให้ เงินต่างชาติในตลาดหุ้นไหลออก
ซึ่งไปๆมาๆ กลับเป็นผลดี
โดยดูได้จาก วิกฤตช่วงที่ผ่านมา
ประเทศที่มีนักลงทุนสหรัฐ เข้าลงทุนจำนวนมาก
ตลาดหุ้นจะลงแรง เช่น ญี่ปุ่น ยุโรป แม้แต่จีนเอง
ขณะที่ SET แทบไม่ได้รับผลกระทบเท่าไหร่
ในขณะที่เม็ดเงินต่างชาติน้อยลงเรื่อยๆ
แต่เม็ดเงินที่อัดมาจากจีน
ผ่านภาคเศรษฐกิจจริง กำลังมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน
เมื่อต่างชาติ ลดการขายหุ้นไทยลงเมื่อไหร่
ก็จะกลับมาสู่คำถามที่ว่า
แล้ว SET จะเป็นเช่นไร?
ไม่ซื้อ... ไม่ขาดทุน