บทสัมภาษณ์ของอร พัศชนันท์ เจียจิรโชติ หรือ อร BNK48 จากทางthe standard ที่จะพาเราไปสำรวจชีวิตในวัยเด็ก-วัยรุ่น ที่สะท้อนทัศนคติและตัวตนจากอดีต จนกระทั่งหลอมรวมมาเป็นอรอุ๋งที่คอยมอบความสุขให้แฟนๆในวันนี้ เป็นบทสัมภาษณ์ที่ดีมาก มีประเด็นที่น่าสนใจ ทั้งมุมที่สดใสและมุมซีเรียส จริงจัง อยากนำมาให้ได้อ่านกัน
“โห ชีวิตอรดาร์กนะ”
คือหนึ่งในประโยคที่เราไม่มีทางเชื่อเด็ดขาดว่าจะออกมาจากปากของ พัศชนันท์ เจียจิรโชติ หรือ อร BNK48 ไอดอลที่ภาพลักษณ์ภายนอกเต็มไปด้วยพลังงานแห่งความสดใส เด็กสาวพูดเก่งที่มีสกิล MC เป็นเลิศ คอยสร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้กับทุกคนอยู่ตลอดเวลา
แต่จากการได้พูดคุยกับเธออย่างใกล้ชิด นอกจากความสดใสที่มอบให้เราเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ยังมีด้านที่แสนเปราะบางทางความรู้สึกที่เธอต้องเผชิญอย่างโดดเดี่ยวตลอดเวลาหลายปีที่อยู่คนเดียว ถึงขนาดแปรเปลี่ยนให้รอยยิ้มกลายเป็นหยดน้ำตา และพาเธอมาสู่จุดที่เคยคิดว่าไม่อยากอยู่บนโลกใบนี้อีกต่อไป
โชคดีที่พระผู้เป็นเจ้ายังเมตตามอบความรักและโอกาสให้อีกครั้ง และเธอก็ดำเนินชีวิตใหม่ที่ได้รับอย่างมีคุณค่า ด้วยการพัฒนาตัวเองทุกอย่างเพื่อส่งมอบความรักให้กับคนอื่นต่อไปในฐานะไอดอลที่แสนร่าเริง และกลายเป็นโชคดีของแฟนคลับทุกคน ที่เหตุการณ์น่าเศร้าในวันนั้นได้เปลี่ยนเป็นแรงผลักดันให้พวกเขาได้ ‘อรอุ๋ง’ ที่น่ารักคนนี้กลับมา
สำหรับชีวิตของไอดอลที่หลายคนยังมองว่าเต็มไปด้วยความสำเร็จที่แสนฉาบฉวย แต่เชื่อเถอะว่าบทสัมภาษณ์นี้จะทำให้ทุกคนได้รู้ว่า ก่อนที่ชีวิตของอรจะขึ้นมาเฉิดฉายและสวยงามอย่างที่เห็นทุกวันนี้ได้ ไม่มีสิ่งไหนที่ได้มาง่ายดายแม้แต่อย่างเดียว
เริ่มคิดว่าตัวเองเป็นคนชอบพูดชอบแสดงออกมาตั้งแต่เมื่อไร เพราะเท่าที่สังเกตเวลาออกสื่อต่างๆ จะเห็นได้เลยว่าอรเป็นคนมีสกิล MC ที่เป็นธรรมชาติสูงมาก
อรเป็นเด็กเวทีมาตั้งแต่สมัยอนุบาล เพราะแม่จะผลักดันให้ขึ้นเวทีตลอด เรียกว่าทุกงานต้องมีลูกฉัน (หัวเราะ) ซึ่งตอนนั้นยังไม่ทันคิดอะไรกับการแสดงเลย ยังไม่รู้จักอายคอนแท็กด้วยซ้ำ แต่รู้ว่าชอบเต้นชอบแสดงออกมาตั้งแต่ตอนนั้น แล้วก็เป็นเด็กกิจกรรมมาตลอดจนชั้นประถม
เพราะครูรู้ว่าเด็กคนนี้เต้นได้ รำได้ ก็จะมีอรเกือบทุกงาน จนมาถึงจุดเปลี่ยนของชีวิตครั้งแรกตอนป. 2 ที่พ่อแม่แยกกันอยู่ มารู้ตอนหลังว่าเขาหย่ากันตั้งแต่อร 3 เดือนแล้ว แต่ยังอยู่ด้วยกันเพราะไม่อยากให้ลูกมีปัญหา แต่พอป.2 ก็ต้องย้ายไปอยู่กับแม่ แล้วพ่อไม่ได้มาด้วย แต่ตอนนั้นอรค่อนข้างเข้าใจทุกอย่างนะ ไม่ได้ดราม่าอะไรเลย คิดว่าถ้าเขาอยู่ด้วยกันแล้วต้องทะเลาะกันก็แยกกันอยู่ดีกว่า ซึ่งอรเห็นเขาทะเลาะกันทุกวันจริงๆ แล้วการตัดสินใจเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ เราแค่ทำหน้าที่ในตอนนั้นให้ดีที่สุดก็พอแล้ว
การแยกทางของพ่อแม่ในครั้งนั้นเปลี่ยนชีวิตของอรไปอย่างไรบ้าง
เปลี่ยนไปเยอะมาก เพราะเวลาอยู่กับแม่ แม่จะคอยทำทุกอย่างให้ แต่พอไปอยู่กับคุณพ่อที่แต่งงานใหม่ ต้องไปอยู่กับแม่เลี้ยง เขาดีมากนะคะ ไม่ใช่แบบแม่เลี้ยงใจร้าย ซึ่งเขาสอนให้อรได้เรียนทำงานบ้านอย่างจริงๆ จังๆ เป็นครั้งแรก เพราะอยากให้เราดูแลตัวเองได้ ก็จะสอนทุกอย่างแบบละเอียดมาก การกวาดบ้าน ถูบ้าน ฯลฯ อย่างถูกวิธี ทำอาหารต่างๆ เลยรู้สึกว่าเราเป็นเด็กป.5 ที่โตขึ้นเยอะมาก เพราะก่อนหน้านั้นแค่จุดไม้ขีดไฟยังทำไม่เป็นเลย
หลังจากนั้นก็เริ่มสนใจเรื่องการเรียนมากขึ้น (หัวเราะ) พ่อไม่ได้เป็นคนซีเรียสเรื่องเกรดนะ เขาขอให้เราเรียนก็พอ แต่เรารู้สึกเองว่าต้องถีบตัวเองขึ้นมา เลยพยายามจากเกรด 2.98 ซึ่งถือว่าน้อยมากเลยนะสำหรับเด็กประถม มาเป็น 3.65 ตั้งแต่ม.1 แล้วก็พยายามรักษาเอาไว้ตลอดจนจบมัธยมปลาย
ความฝันของ ดญ.อร ในตอนนั้นคืออะไร
ความฝันอย่างเดียวคืออยากเป็นไอดอลเลย (หัวเราะ) ตอนนั้นศิลปินเกาหลีกำลังบูม เป็นติ่งของคิบอม Super Junior อยากเป็นแบบนั้นบ้าง ก็ไปออดิชันค่าย SM Entertainment ก่อน แต่ไม่ติด จนไปติดที่ค่ายหนึ่ง เกือบได้ไปเป็นศิลปินฝึกหัดที่เกาหลีแล้ว แต่ไม่รู้ว่าคุณพ่อเป็นอะไร ปกติพ่อจะค่อนข้างปล่อยให้ทำอะไรก็ได้ เลี้ยงลูกแบบอเมริกันสไตล์ แต่คราวนี้พ่อบอกว่าถ้าไปพ่อจะไปด้วย แล้วก็พูดอะไรสักอย่างที่อรจำไม่ได้แล้ว แต่ทำให้รู้สึกว่าไม่ไปดีกว่า ก็เลยเสียโอกาสตรงนั้นไป
เด็กๆ มันน่าจะต้องมีความฝันอยากเป็นหมอ เป็นวิศวะ เป็นครู อะไรพวกนั้นมาก่อนหรือเปล่า
มีๆ แต่ของอรกลับกัน คืออยากเป็นไอดอลก่อน แล้วค่อยอยากเป็นหมอ (หัวเราะ) อรเคยเป็นอาสาสมัครทำค่ายไปช่วยเหลือคนในชนบทตั้งแต่เด็กๆ ก็เลยยิ่งอิน อยากไปเป็นหมอช่วยดูแลคนในถิ่นทุรกันดารที่เขาไม่มีโอกาสเข้าถึงการรักษาที่มีคุณภาพ แต่ตอนเข้าม.ปลาย อรเลือกเรียนสายศิลป์-ฝรั่งเศส พอนิมิตความฝันนี้ขึ้นมาได้ ก็จัดการทำเรื่องย้ายไปเรียนสายวิทย์ทันที แต่พอเรียนไปได้เกือบปีเริ่มรู้สึกไม่ไหว เพราะเรียนสายศิลป์มาตลอด พื้นฐานเราตามไม่ทันเพื่อนสายวิทย์ ก็ตัดสินใจใหม่ด้วยการลาออกแล้วมาสอบเทียบ
เพื่อนก็งง ครูก็งงกันหมด เจอกันอยู่ดีๆ อีกวันเอ็งจะออกแล้วเหรอ (หัวเราะ) ซึ่งต้องให้แม่มาเซ็นลาออกให้ เพราะตอนนั้นพ่ออยู่ต่างประเทศ แล้วแม่ไม่ยอม เลยโทรไปร้องไห้กับพ่อบอกว่าไม่ไหวแล้ว อรอยากไปช่วยคน (หัวเราะ) พูดตอนนี้มันตลกนะ แต่ตอนนั้นร้องไห้จริงๆ อรเป็นพวกถ้าไตร่ตรองได้แล้วจะลงมือทำเลย สุดท้ายพ่อก็ไปคุยกับแม่จนยอมมาเซ็นให้ แล้วก็ไปเรียนพิเศษ 2-3 เดือนเพื่อสอบเทียบ แล้วก็สอบตรงเข้ามหาวิทยาลัยเอกชนที่หนึ่ง แล้วก็ติดด้วยนะ แต่ไม่เอา งงไหม (หัวเราะ)
อยู่ดีๆ แพสชันกับการเป็นหมอก็ไม่โอเคขึ้นมา เริ่มจากมีรุ่นพี่ที่เรียนหมอเอาหนังสือมาให้อ่าน เรื่องเกี่ยวกับการเป็นหมอไม่ได้สวยหรูอย่างที่คิด มันต้องใช้เวลาและผ่านความลำบากเยอะมาก แล้วตอนนั้นอรเป็นเด็กผู้หญิงที่อยากแต่งงานก่อนอายุ 30 (หัวเราะ) ถ้าเรียนหมอต้องใช้เวลา 6 ปี เรียนเฉพาะทางอีก ให้อายุ 30 ก่อนแล้วค่อยไปหาแฟนเหรอ เอาจริงๆ ตอนนั้นกลัวขึ้นคานมากกว่า เลยคิดว่าความฝันอยากเป็นหมอไม่น่าจะใช่ความฝันที่แท้จริงแล้ว (หัวเราะ) แต่ยังมีความอยากช่วยประเทศชาติ ช่วยคนอยู่นะ
ฝันเป็นไอดอล อยากเป็นหมอ แต่ทำไมสุดท้ายมาเลือกเรียนแฟชั่นดีไซน์ (สถาบันออกแบบนานาชาติชนาพัฒน์)
เข้าสู่ชีวิตช่วงเคว้งคว้าง ไม่รู้ว่าจะไปทางไหนต่อดี อรเป็นคริสเตียน เขาจะมีพี่เลี้ยงฝ่ายจิตวิญญาณมาให้คำปรึกษา บอกว่าให้ลองลิสต์สิ่งที่เราชอบทำและทำได้ดีตั้งแต่เด็กๆ มาให้หมด ซึ่งหนึ่งในนั้นมีเรื่องแฟชั่นกับเมกอัพที่คิดว่าทำได้ดีเหมือนกัน แล้วอรชอบอ่านนิตยสารแฟชั่นอยู่แล้ว เคยประกวด Ray Idol Search ด้วย แต่ไม่ติดรอบ 15 คนสุดท้าย แล้วมันค่อยๆ ซึมซับเข้ามาเรื่อยๆ ว่าเราชอบด้านนี้ ก็เลยตัดสินใจเลือกเรียนสายแฟชั่น
ช่วงก่อนเข้ามหาวิทยาลัยที่มีความฝันหลายอย่าง ตอนนั้นความฝันว่าอยากเป็นไอดอลยังมีอยู่ในความคิดของอรมากขนาดไหน
มี แต่คงเก็บซ่อนลึกเป็นเรื่องค้างคาในใจ อรเป็นพวกถ้าฝันอะไรแล้วทำสิ่งนั้นไม่สำเร็จมันจะค้างคาอยู่ข้างใน
ความฝันอยากเป็นหมอล่ะยังค้างอยู่ไหม
ไม่แล้ว ไม่ตั้งแต่อ่านหนังสือเล่มนั้นกับคิดเรื่องไม่ได้แต่งงานแล้ว (หัวเราะ) แต่ความฝันเป็นไอดอลไม่เชิงเราทิ้งไปนะ เพียงแค่เราไม่มีโอกาสสานต่อมันด้วย ตอน ม.ต้น ก็เคยเข้าแก๊งคัฟเวอร์กับเพื่อนแบบจริงจังเลยนะ แต่ไม่เคยขึ้นโชว์สักเวทีเลย
ตอนนั้นมันมีจุดเปลี่ยนสำคัญอีกอย่าง คือตอนม.ต้น อรต้องออกมาอยู่คนเดียว พ่อหย่ากับแม่เลี้ยง แล้วต้องตามพ่อไปอยู่ต่างประเทศ ซึ่งอรไม่อยากไป พ่อเห็นว่าอรดูแลตัวเองได้ก็เลยอนุญาต แล้วเช่าคอนโดฯ ให้อยู่คนเดียวตั้งแต่ม. 2
ตอนแรกแฮปปี้มากกก (เน้นเสียง) นะคะ แต่อยู่ไปอยู่มาสักพัก ไม่เอาแล้ว ไม่อยากอยู่คนเดียว เห็นเพื่อนมีพ่อแม่มาส่ง เราต้องไปเอง วันงานโรงเรียนหรือประชุมผู้ปกครองก็ไม่มีคนมา เหงามาก ร้องไห้อยู่คนเดียวบ่อยๆ หนักเข้าจนอรเคยเป็นภาวะซึมเศร้าอยู่ช่วงหนึ่ง จนถึงขนาดฆ่าตัวตายตอนช่วงม.ปลายมาแล้วนะ แต่คิดว่าพระเจ้าช่วยเอาไว้ ท่านให้ชีวิตอรอีกครั้งเลยได้กลับมา โห ชีวิตอรดาร์กนะ THE STANDARD เป็นที่แรกที่อรเปิดใจเรื่องนี้เลย
หลังจากนั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นกับชีวิตของอรบ้าง เราต้องคิดอะไรมากขึ้นกับชีวิตที่พระเจ้ามอบให้กลับมามากขนาดไหน
อย่างแรกคิดว่าไม่น่าทำเลย พูดแล้วจะร้องไห้… (นิ่งคิด) อรคิดมากขึ้น คิดถึงคนอื่นที่ยังแย่กว่าเราอีกเยอะ คิดถึงพระเจ้าที่ท่านมอบชีวิตมาให้แล้วเราคิดทิ้งมันไป (ร้องไห้) ตกใจใช่ไหม คนส่วนใหญ่จะคิดนะว่าคนที่เห็นข้างนอกสดใสแบบนั้นจะเป็นแบบนี้ได้ยังไง
แล้วอรก็แสดงออกให้เห็นว่าเป็นคนร่าเริงสดใสมาตลอด
ส่วนใหญ่พวกซึมเศร้าจะเป็นแบบนี้ทุกคน มันเกิดจากหลายๆ อย่าง การอยู่คนเดียว ความคาดหวัง ความกดดัน ความเศร้า แต่เราไม่อยากให้ใครรู้ว่าเราเป็นแบบนั้นอยู่ก็เลยพยายามเก็บเอาไว้ แล้วอรได้คุยกับจิตแพทย์ในคลินิกของโบสถ์อยู่ตลอด จนทุกวันนี้ผ่านมาได้แล้ว
อะไรคือเรื่องที่กดดันและทำให้อรรู้สึกเศร้าได้มากที่สุดในตอนนั้น
หลายอย่างมาก แต่ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องความกดดัน ตั้งแต่อรย้ายมาอยู่คนเดียวก็โดนสบประมาทตลอดว่า คอยดูนะ อยู่ไปไม่นานเดี๋ยวก็ท้องก่อนแต่ง เจ็บนะ ก็เลยต้องพิสูจน์ตัวเองให้มากขึ้นว่าถึงอยู่คนเดียว แต่เราจะไม่เสียคน เราจะเรียนจนจบ ถึงตอนนี้จะดรอปอยู่เพราะมาทำงานก็เถอะ (หัวเราะ) เราจะทำงานให้ดีที่สุด จนตอนนี้ญาติๆ หลายคนก็ยอมรับ แชร์คลิป แชร์เพลงไปแล้วบอกว่าหลานฉันเอง
ระหว่างทางตั้งแต่ม.2 ที่อยู่คนเดียว มีโอกาสเสียคนได้ง่ายเหมือนกันนะ คิดว่าอะไรคือสิ่งที่ยึดเราไว้ ไม่ให้เราเป็นแบบที่เขาสบประมาท
หนึ่งคืออยู่ในสังคมคริสเตียน สองคืออรไม่ชอบเที่ยวกลางคืน ไม่ได้ว่าคนเที่ยวกลางคืนไม่ดีนะคะ แต่อรแพ้แอลกอฮอล์ ไม่ชอบบุหรี่ มันก็ตัดความเสี่ยงไปได้เยอะเหมือนกัน คือเขาไม่ได้ผิดนะ แต่การอยู่แบบนี้มันช่วยให้หนูไปใกล้แผนที่วางเอาไว้ได้ง่ายกว่า หนูชอบอ่านหนังสืออยู่บ้าน ไปพิพิธภัณฑ์ ไม่มีอะไรทำก็ทำการบ้าน นอนอยู่บ้าน ทำกับข้าว มันมีความสุขแล้วนะ อยู่กับแมว เนโกะ โยชิ หนูแฮปปี้กับตรงนั้น อาทิตย์หนึ่งก็ไปโบสถ์ มันก็มีความสุขแล้วนะ ทุกวันนี้พ่อก็ภูมิใจในตัวเราที่มาเป็นแบบนี้ได้
คิดว่าอะไรคือปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผ่านภาวะซึมเศร้าในช่วงเวลานั้นมาได้
พระเจ้าค่ะ ก่อนหน้านั้นเป็นช่วงที่อรมีปัญหาทะเลาะกับทุกคนหมดเลย รู้สึกว่าไม่มีใครรัก เหมือนเราไม่มีค่ากับโลกใบนี้แล้วก็เลยตัดสินใจทำแบบนั้น ซึ่งวันที่อรรอดกลับมาก็มีพี่เลี้ยงฝ่ายจิตวิญญาณมาพูดพระวจนะของพระเจ้าให้ฟัง บอกว่า “เรารักเจ้าด้วยความรักนิรันดร์ แม้ว่าใครจะทอดทิ้งเจ้า แต่เราก็ยังรักเจ้า” เลยยิ่งคิดขึ้นมาได้เลยว่า ท่านมอบชีวิตให้เราอีกครั้ง เราไม่ควรเป็นแบบเดิม เราไม่ควรทิ้งมันไปอีก และเราควรจะเป็นคนมอบความรัก มอบแสงสว่างให้กับคนที่เขาอยู่ในจุดเดียวกับเราต่อไป
ตอนนี้พอเข้าวงการ อรก็ได้พี่โบ TK (สุรัตนาวี ภัทรานุกุล) มาเป็นพี่เลี้ยงฝ่ายจิตวิญญาณ เพราะวงการนี้มีความเครียด ความกดดันหลายอย่างที่ศิลปินต้องแบกรับ ควรมีคนที่เป็นคริสเตียนอยู่ในวงการคอยให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิดว่าควรจะทำตัวอย่างไร วางตัวแบบไหน และรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างไรบ้าง
(มีต่อ)
ที่มา
https://thestandard.co/orn-bnk48/
อร BNK48 เด็กกิจกรรม แพทย์หญิง ไอดอล ซึมเศร้า ฆ่าตัวตาย และชีวิตที่สองที่พระเจ้ามอบให้
“โห ชีวิตอรดาร์กนะ”
คือหนึ่งในประโยคที่เราไม่มีทางเชื่อเด็ดขาดว่าจะออกมาจากปากของ พัศชนันท์ เจียจิรโชติ หรือ อร BNK48 ไอดอลที่ภาพลักษณ์ภายนอกเต็มไปด้วยพลังงานแห่งความสดใส เด็กสาวพูดเก่งที่มีสกิล MC เป็นเลิศ คอยสร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้กับทุกคนอยู่ตลอดเวลา
แต่จากการได้พูดคุยกับเธออย่างใกล้ชิด นอกจากความสดใสที่มอบให้เราเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ยังมีด้านที่แสนเปราะบางทางความรู้สึกที่เธอต้องเผชิญอย่างโดดเดี่ยวตลอดเวลาหลายปีที่อยู่คนเดียว ถึงขนาดแปรเปลี่ยนให้รอยยิ้มกลายเป็นหยดน้ำตา และพาเธอมาสู่จุดที่เคยคิดว่าไม่อยากอยู่บนโลกใบนี้อีกต่อไป
โชคดีที่พระผู้เป็นเจ้ายังเมตตามอบความรักและโอกาสให้อีกครั้ง และเธอก็ดำเนินชีวิตใหม่ที่ได้รับอย่างมีคุณค่า ด้วยการพัฒนาตัวเองทุกอย่างเพื่อส่งมอบความรักให้กับคนอื่นต่อไปในฐานะไอดอลที่แสนร่าเริง และกลายเป็นโชคดีของแฟนคลับทุกคน ที่เหตุการณ์น่าเศร้าในวันนั้นได้เปลี่ยนเป็นแรงผลักดันให้พวกเขาได้ ‘อรอุ๋ง’ ที่น่ารักคนนี้กลับมา
สำหรับชีวิตของไอดอลที่หลายคนยังมองว่าเต็มไปด้วยความสำเร็จที่แสนฉาบฉวย แต่เชื่อเถอะว่าบทสัมภาษณ์นี้จะทำให้ทุกคนได้รู้ว่า ก่อนที่ชีวิตของอรจะขึ้นมาเฉิดฉายและสวยงามอย่างที่เห็นทุกวันนี้ได้ ไม่มีสิ่งไหนที่ได้มาง่ายดายแม้แต่อย่างเดียว
เริ่มคิดว่าตัวเองเป็นคนชอบพูดชอบแสดงออกมาตั้งแต่เมื่อไร เพราะเท่าที่สังเกตเวลาออกสื่อต่างๆ จะเห็นได้เลยว่าอรเป็นคนมีสกิล MC ที่เป็นธรรมชาติสูงมาก
อรเป็นเด็กเวทีมาตั้งแต่สมัยอนุบาล เพราะแม่จะผลักดันให้ขึ้นเวทีตลอด เรียกว่าทุกงานต้องมีลูกฉัน (หัวเราะ) ซึ่งตอนนั้นยังไม่ทันคิดอะไรกับการแสดงเลย ยังไม่รู้จักอายคอนแท็กด้วยซ้ำ แต่รู้ว่าชอบเต้นชอบแสดงออกมาตั้งแต่ตอนนั้น แล้วก็เป็นเด็กกิจกรรมมาตลอดจนชั้นประถม
เพราะครูรู้ว่าเด็กคนนี้เต้นได้ รำได้ ก็จะมีอรเกือบทุกงาน จนมาถึงจุดเปลี่ยนของชีวิตครั้งแรกตอนป. 2 ที่พ่อแม่แยกกันอยู่ มารู้ตอนหลังว่าเขาหย่ากันตั้งแต่อร 3 เดือนแล้ว แต่ยังอยู่ด้วยกันเพราะไม่อยากให้ลูกมีปัญหา แต่พอป.2 ก็ต้องย้ายไปอยู่กับแม่ แล้วพ่อไม่ได้มาด้วย แต่ตอนนั้นอรค่อนข้างเข้าใจทุกอย่างนะ ไม่ได้ดราม่าอะไรเลย คิดว่าถ้าเขาอยู่ด้วยกันแล้วต้องทะเลาะกันก็แยกกันอยู่ดีกว่า ซึ่งอรเห็นเขาทะเลาะกันทุกวันจริงๆ แล้วการตัดสินใจเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ เราแค่ทำหน้าที่ในตอนนั้นให้ดีที่สุดก็พอแล้ว
การแยกทางของพ่อแม่ในครั้งนั้นเปลี่ยนชีวิตของอรไปอย่างไรบ้าง
เปลี่ยนไปเยอะมาก เพราะเวลาอยู่กับแม่ แม่จะคอยทำทุกอย่างให้ แต่พอไปอยู่กับคุณพ่อที่แต่งงานใหม่ ต้องไปอยู่กับแม่เลี้ยง เขาดีมากนะคะ ไม่ใช่แบบแม่เลี้ยงใจร้าย ซึ่งเขาสอนให้อรได้เรียนทำงานบ้านอย่างจริงๆ จังๆ เป็นครั้งแรก เพราะอยากให้เราดูแลตัวเองได้ ก็จะสอนทุกอย่างแบบละเอียดมาก การกวาดบ้าน ถูบ้าน ฯลฯ อย่างถูกวิธี ทำอาหารต่างๆ เลยรู้สึกว่าเราเป็นเด็กป.5 ที่โตขึ้นเยอะมาก เพราะก่อนหน้านั้นแค่จุดไม้ขีดไฟยังทำไม่เป็นเลย
หลังจากนั้นก็เริ่มสนใจเรื่องการเรียนมากขึ้น (หัวเราะ) พ่อไม่ได้เป็นคนซีเรียสเรื่องเกรดนะ เขาขอให้เราเรียนก็พอ แต่เรารู้สึกเองว่าต้องถีบตัวเองขึ้นมา เลยพยายามจากเกรด 2.98 ซึ่งถือว่าน้อยมากเลยนะสำหรับเด็กประถม มาเป็น 3.65 ตั้งแต่ม.1 แล้วก็พยายามรักษาเอาไว้ตลอดจนจบมัธยมปลาย
ความฝันของ ดญ.อร ในตอนนั้นคืออะไร
ความฝันอย่างเดียวคืออยากเป็นไอดอลเลย (หัวเราะ) ตอนนั้นศิลปินเกาหลีกำลังบูม เป็นติ่งของคิบอม Super Junior อยากเป็นแบบนั้นบ้าง ก็ไปออดิชันค่าย SM Entertainment ก่อน แต่ไม่ติด จนไปติดที่ค่ายหนึ่ง เกือบได้ไปเป็นศิลปินฝึกหัดที่เกาหลีแล้ว แต่ไม่รู้ว่าคุณพ่อเป็นอะไร ปกติพ่อจะค่อนข้างปล่อยให้ทำอะไรก็ได้ เลี้ยงลูกแบบอเมริกันสไตล์ แต่คราวนี้พ่อบอกว่าถ้าไปพ่อจะไปด้วย แล้วก็พูดอะไรสักอย่างที่อรจำไม่ได้แล้ว แต่ทำให้รู้สึกว่าไม่ไปดีกว่า ก็เลยเสียโอกาสตรงนั้นไป
เด็กๆ มันน่าจะต้องมีความฝันอยากเป็นหมอ เป็นวิศวะ เป็นครู อะไรพวกนั้นมาก่อนหรือเปล่า
มีๆ แต่ของอรกลับกัน คืออยากเป็นไอดอลก่อน แล้วค่อยอยากเป็นหมอ (หัวเราะ) อรเคยเป็นอาสาสมัครทำค่ายไปช่วยเหลือคนในชนบทตั้งแต่เด็กๆ ก็เลยยิ่งอิน อยากไปเป็นหมอช่วยดูแลคนในถิ่นทุรกันดารที่เขาไม่มีโอกาสเข้าถึงการรักษาที่มีคุณภาพ แต่ตอนเข้าม.ปลาย อรเลือกเรียนสายศิลป์-ฝรั่งเศส พอนิมิตความฝันนี้ขึ้นมาได้ ก็จัดการทำเรื่องย้ายไปเรียนสายวิทย์ทันที แต่พอเรียนไปได้เกือบปีเริ่มรู้สึกไม่ไหว เพราะเรียนสายศิลป์มาตลอด พื้นฐานเราตามไม่ทันเพื่อนสายวิทย์ ก็ตัดสินใจใหม่ด้วยการลาออกแล้วมาสอบเทียบ
เพื่อนก็งง ครูก็งงกันหมด เจอกันอยู่ดีๆ อีกวันเอ็งจะออกแล้วเหรอ (หัวเราะ) ซึ่งต้องให้แม่มาเซ็นลาออกให้ เพราะตอนนั้นพ่ออยู่ต่างประเทศ แล้วแม่ไม่ยอม เลยโทรไปร้องไห้กับพ่อบอกว่าไม่ไหวแล้ว อรอยากไปช่วยคน (หัวเราะ) พูดตอนนี้มันตลกนะ แต่ตอนนั้นร้องไห้จริงๆ อรเป็นพวกถ้าไตร่ตรองได้แล้วจะลงมือทำเลย สุดท้ายพ่อก็ไปคุยกับแม่จนยอมมาเซ็นให้ แล้วก็ไปเรียนพิเศษ 2-3 เดือนเพื่อสอบเทียบ แล้วก็สอบตรงเข้ามหาวิทยาลัยเอกชนที่หนึ่ง แล้วก็ติดด้วยนะ แต่ไม่เอา งงไหม (หัวเราะ)
อยู่ดีๆ แพสชันกับการเป็นหมอก็ไม่โอเคขึ้นมา เริ่มจากมีรุ่นพี่ที่เรียนหมอเอาหนังสือมาให้อ่าน เรื่องเกี่ยวกับการเป็นหมอไม่ได้สวยหรูอย่างที่คิด มันต้องใช้เวลาและผ่านความลำบากเยอะมาก แล้วตอนนั้นอรเป็นเด็กผู้หญิงที่อยากแต่งงานก่อนอายุ 30 (หัวเราะ) ถ้าเรียนหมอต้องใช้เวลา 6 ปี เรียนเฉพาะทางอีก ให้อายุ 30 ก่อนแล้วค่อยไปหาแฟนเหรอ เอาจริงๆ ตอนนั้นกลัวขึ้นคานมากกว่า เลยคิดว่าความฝันอยากเป็นหมอไม่น่าจะใช่ความฝันที่แท้จริงแล้ว (หัวเราะ) แต่ยังมีความอยากช่วยประเทศชาติ ช่วยคนอยู่นะ
ฝันเป็นไอดอล อยากเป็นหมอ แต่ทำไมสุดท้ายมาเลือกเรียนแฟชั่นดีไซน์ (สถาบันออกแบบนานาชาติชนาพัฒน์)
เข้าสู่ชีวิตช่วงเคว้งคว้าง ไม่รู้ว่าจะไปทางไหนต่อดี อรเป็นคริสเตียน เขาจะมีพี่เลี้ยงฝ่ายจิตวิญญาณมาให้คำปรึกษา บอกว่าให้ลองลิสต์สิ่งที่เราชอบทำและทำได้ดีตั้งแต่เด็กๆ มาให้หมด ซึ่งหนึ่งในนั้นมีเรื่องแฟชั่นกับเมกอัพที่คิดว่าทำได้ดีเหมือนกัน แล้วอรชอบอ่านนิตยสารแฟชั่นอยู่แล้ว เคยประกวด Ray Idol Search ด้วย แต่ไม่ติดรอบ 15 คนสุดท้าย แล้วมันค่อยๆ ซึมซับเข้ามาเรื่อยๆ ว่าเราชอบด้านนี้ ก็เลยตัดสินใจเลือกเรียนสายแฟชั่น
ช่วงก่อนเข้ามหาวิทยาลัยที่มีความฝันหลายอย่าง ตอนนั้นความฝันว่าอยากเป็นไอดอลยังมีอยู่ในความคิดของอรมากขนาดไหน
มี แต่คงเก็บซ่อนลึกเป็นเรื่องค้างคาในใจ อรเป็นพวกถ้าฝันอะไรแล้วทำสิ่งนั้นไม่สำเร็จมันจะค้างคาอยู่ข้างใน
ความฝันอยากเป็นหมอล่ะยังค้างอยู่ไหม
ไม่แล้ว ไม่ตั้งแต่อ่านหนังสือเล่มนั้นกับคิดเรื่องไม่ได้แต่งงานแล้ว (หัวเราะ) แต่ความฝันเป็นไอดอลไม่เชิงเราทิ้งไปนะ เพียงแค่เราไม่มีโอกาสสานต่อมันด้วย ตอน ม.ต้น ก็เคยเข้าแก๊งคัฟเวอร์กับเพื่อนแบบจริงจังเลยนะ แต่ไม่เคยขึ้นโชว์สักเวทีเลย
ตอนนั้นมันมีจุดเปลี่ยนสำคัญอีกอย่าง คือตอนม.ต้น อรต้องออกมาอยู่คนเดียว พ่อหย่ากับแม่เลี้ยง แล้วต้องตามพ่อไปอยู่ต่างประเทศ ซึ่งอรไม่อยากไป พ่อเห็นว่าอรดูแลตัวเองได้ก็เลยอนุญาต แล้วเช่าคอนโดฯ ให้อยู่คนเดียวตั้งแต่ม. 2
ตอนแรกแฮปปี้มากกก (เน้นเสียง) นะคะ แต่อยู่ไปอยู่มาสักพัก ไม่เอาแล้ว ไม่อยากอยู่คนเดียว เห็นเพื่อนมีพ่อแม่มาส่ง เราต้องไปเอง วันงานโรงเรียนหรือประชุมผู้ปกครองก็ไม่มีคนมา เหงามาก ร้องไห้อยู่คนเดียวบ่อยๆ หนักเข้าจนอรเคยเป็นภาวะซึมเศร้าอยู่ช่วงหนึ่ง จนถึงขนาดฆ่าตัวตายตอนช่วงม.ปลายมาแล้วนะ แต่คิดว่าพระเจ้าช่วยเอาไว้ ท่านให้ชีวิตอรอีกครั้งเลยได้กลับมา โห ชีวิตอรดาร์กนะ THE STANDARD เป็นที่แรกที่อรเปิดใจเรื่องนี้เลย
หลังจากนั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นกับชีวิตของอรบ้าง เราต้องคิดอะไรมากขึ้นกับชีวิตที่พระเจ้ามอบให้กลับมามากขนาดไหน
อย่างแรกคิดว่าไม่น่าทำเลย พูดแล้วจะร้องไห้… (นิ่งคิด) อรคิดมากขึ้น คิดถึงคนอื่นที่ยังแย่กว่าเราอีกเยอะ คิดถึงพระเจ้าที่ท่านมอบชีวิตมาให้แล้วเราคิดทิ้งมันไป (ร้องไห้) ตกใจใช่ไหม คนส่วนใหญ่จะคิดนะว่าคนที่เห็นข้างนอกสดใสแบบนั้นจะเป็นแบบนี้ได้ยังไง
แล้วอรก็แสดงออกให้เห็นว่าเป็นคนร่าเริงสดใสมาตลอด
ส่วนใหญ่พวกซึมเศร้าจะเป็นแบบนี้ทุกคน มันเกิดจากหลายๆ อย่าง การอยู่คนเดียว ความคาดหวัง ความกดดัน ความเศร้า แต่เราไม่อยากให้ใครรู้ว่าเราเป็นแบบนั้นอยู่ก็เลยพยายามเก็บเอาไว้ แล้วอรได้คุยกับจิตแพทย์ในคลินิกของโบสถ์อยู่ตลอด จนทุกวันนี้ผ่านมาได้แล้ว
อะไรคือเรื่องที่กดดันและทำให้อรรู้สึกเศร้าได้มากที่สุดในตอนนั้น
หลายอย่างมาก แต่ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องความกดดัน ตั้งแต่อรย้ายมาอยู่คนเดียวก็โดนสบประมาทตลอดว่า คอยดูนะ อยู่ไปไม่นานเดี๋ยวก็ท้องก่อนแต่ง เจ็บนะ ก็เลยต้องพิสูจน์ตัวเองให้มากขึ้นว่าถึงอยู่คนเดียว แต่เราจะไม่เสียคน เราจะเรียนจนจบ ถึงตอนนี้จะดรอปอยู่เพราะมาทำงานก็เถอะ (หัวเราะ) เราจะทำงานให้ดีที่สุด จนตอนนี้ญาติๆ หลายคนก็ยอมรับ แชร์คลิป แชร์เพลงไปแล้วบอกว่าหลานฉันเอง
ระหว่างทางตั้งแต่ม.2 ที่อยู่คนเดียว มีโอกาสเสียคนได้ง่ายเหมือนกันนะ คิดว่าอะไรคือสิ่งที่ยึดเราไว้ ไม่ให้เราเป็นแบบที่เขาสบประมาท
หนึ่งคืออยู่ในสังคมคริสเตียน สองคืออรไม่ชอบเที่ยวกลางคืน ไม่ได้ว่าคนเที่ยวกลางคืนไม่ดีนะคะ แต่อรแพ้แอลกอฮอล์ ไม่ชอบบุหรี่ มันก็ตัดความเสี่ยงไปได้เยอะเหมือนกัน คือเขาไม่ได้ผิดนะ แต่การอยู่แบบนี้มันช่วยให้หนูไปใกล้แผนที่วางเอาไว้ได้ง่ายกว่า หนูชอบอ่านหนังสืออยู่บ้าน ไปพิพิธภัณฑ์ ไม่มีอะไรทำก็ทำการบ้าน นอนอยู่บ้าน ทำกับข้าว มันมีความสุขแล้วนะ อยู่กับแมว เนโกะ โยชิ หนูแฮปปี้กับตรงนั้น อาทิตย์หนึ่งก็ไปโบสถ์ มันก็มีความสุขแล้วนะ ทุกวันนี้พ่อก็ภูมิใจในตัวเราที่มาเป็นแบบนี้ได้
คิดว่าอะไรคือปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผ่านภาวะซึมเศร้าในช่วงเวลานั้นมาได้
พระเจ้าค่ะ ก่อนหน้านั้นเป็นช่วงที่อรมีปัญหาทะเลาะกับทุกคนหมดเลย รู้สึกว่าไม่มีใครรัก เหมือนเราไม่มีค่ากับโลกใบนี้แล้วก็เลยตัดสินใจทำแบบนั้น ซึ่งวันที่อรรอดกลับมาก็มีพี่เลี้ยงฝ่ายจิตวิญญาณมาพูดพระวจนะของพระเจ้าให้ฟัง บอกว่า “เรารักเจ้าด้วยความรักนิรันดร์ แม้ว่าใครจะทอดทิ้งเจ้า แต่เราก็ยังรักเจ้า” เลยยิ่งคิดขึ้นมาได้เลยว่า ท่านมอบชีวิตให้เราอีกครั้ง เราไม่ควรเป็นแบบเดิม เราไม่ควรทิ้งมันไปอีก และเราควรจะเป็นคนมอบความรัก มอบแสงสว่างให้กับคนที่เขาอยู่ในจุดเดียวกับเราต่อไป
ตอนนี้พอเข้าวงการ อรก็ได้พี่โบ TK (สุรัตนาวี ภัทรานุกุล) มาเป็นพี่เลี้ยงฝ่ายจิตวิญญาณ เพราะวงการนี้มีความเครียด ความกดดันหลายอย่างที่ศิลปินต้องแบกรับ ควรมีคนที่เป็นคริสเตียนอยู่ในวงการคอยให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิดว่าควรจะทำตัวอย่างไร วางตัวแบบไหน และรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างไรบ้าง
(มีต่อ)
ที่มา https://thestandard.co/orn-bnk48/