10+(1) หนังปล้นแห่งศตวรรษที่ 21 ที่คุณไม่ควรพลาด


เพื่อเป็นการต้อนรับหนังปล้น 'Den of Thieves' ที่มีโปรแกรมเข้าฉายสัปดาห์หน้า ผมจึงอยากนำเสนอลิสต์เกี่ยวกับหนังปล้นที่มีความดุเดือด เข้มข้น และมีกลวิธีการปล้นที่น่าตื่นตาตื่นใจเช่นเดียวกัน…

สมาชิกท่านไหนมีหนังปล้นเรื่องไหนอยากเเนะนำเพิ่มเติม ก็มาคอมเม้นท์เเลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้นะครับ...
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.


10. The Taking of Pelham 123 (2009)

อาจเรียกได้ว่า Denzel Washington กลายเป็นนักแสดงคู่บุญหมายเลขหนึ่งตลอดการทำงานของ Tony Scott ที่เคยร่วมมือกันสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพมาอย่างมากมายทั้ง Man on Fire, Déjà vu, Unstoppable หรืออาจรวมไปถึง The Taking of Pelham 123 ที่ทำได้ตามมาตรฐาน กับการรีเมคผลงานปี 1974 ที่ตอบโจทย์ในแง่ความบันเทิงตามสไตล์หนังปล้นแผนซ้อนแผน พร้อมทั้งได้ John Travolta มารับบทตัวร้ายที่ช่วยสร้างมิติของตัวละครได้เป็นอย่างดี กับพล็อตที่ว่าด้วยเหตุการณ์ปล้นบนขบวนรถไฟที่คนร้ายจับผู้โดยสารเป็นตัวประกัน และส่งสารท้าทายว่าหากไม่ได้เงินตามที่ขอภายในหนึ่งชั่วโมงจะค่อยๆฆ่าตัวประกันทีละคน








9. The Score (2001)

การเชือดเฉือนคม การหักเหลี่ยมยังคงเป็นรายละเอียดสำคัญที่ถูกใช้ในหนังปล้นยุคปัจจุบัน ที่ไม่โฟกัสเฉพาะฉากแอคชั่นหรือแผนโจรกรรมที่เหนือคาด หากแต่เป็นความลุ้นระทึกหรือโมเมนตัมที่พลิกไปพลิกมาจากตัวละครสองฝ่ายที่ต่างก็มีความสามารถและไม่มีใครยอมอ่อนข้อให้กัน ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่พบเห็นในหนังเรื่องนี้ที่มาพร้อมกับการแสดงของสองตัวท็อปแห่งวงการอย่าง Robert De Niro และ Edward Norton โดยพล็อตว่าด้วยนักปล้นรุ่นเก๋ากับหนุ่มนักปล้นหน้าใหม่ที่ต้องร่วมมือกันในการโจรกรรมสิ่งของที่มีมูลค่ากว่า 30 ล้านดอลลาร์








8. The Italian Job (2003)

หากพูดถึงหนังปล้นยุค 2000s ที่เน้นตอบโจทย์ความบันเทิงด้วยฉากแอคชั่น การไล่ล่าที่ลุ้นระทึก และแผนการปล้นที่ซับซ้อนนอกจากหนังตระกูล Ocean อีกหนึ่งเรื่องที่หลายคนต้องนึกถึงก็คือ The Italian Job การรีเมคจากผลงานคลาสสิกที่ปรุงแต่งได้เข้ากับยุคสมัย และยังคงกิมมิคฉากการไล่ล่าด้วยรถมินิคูปเปอร์ที่เต็มไปด้วยโมเม้นท์อันน่าตื่นตาตื่นใจ กับพล็อตที่ว่าด้วยการปล้นทองมูลค่ามหาศาลของทีมโจรกรรมอัจฉริยะที่นำมาสู่การหักหลังและการสูญเสียหัวหน้าทีม จนนำไปสู่เรื่องราวการล้างแค้น








7. The Bank Job (2008)

หลังประสบความสำเร็จจากหนังที่อิงเค้าโครงจากเรื่องจริงทั้ง Thirteen Days และ The World's Fastest Indian ทางผู้กำกับ Roger Donaldson ก็เลือกที่จะสานต่อแนวทางนี้ต่อไป โดยการหยิบเหตุการณ์ปล้นธนาคารกลางกรุงลอนดอนในปี 1971 มาสร้างเป็นหนัง โดยจุดน่าสนใจนอกจากแสดงถึงกระบวนการ กลวิธีต่างๆของเหตุโจรกรรมครั้งนี้ ตั้งแต่การรวมทีม สร้างเส้นทางการปล้นโดยทำอุโมงค์จากใต้ดิน และมีการเจาะพื้นคอนกรีตเสริมเหล็กเพื่อเข้าไปยังห้องเก็บเงิน ซึ่งอีกส่วนที่น่าสนใจคือ เรื่องราวในช่วงหลังจากที่เสร็จสิ้นภารกิจปล้น โดยหนังจะพาไปสำรวจชีวิตตัวละคร ผลกระทบบางอย่างที่เกิดขึ้น








6. Baby Driver (2017)

อีกหนึ่งความแปลกของ Edgar Wright ที่จับหนังแอคชั่นผสมผสานกับหนังมิวสิคัล หรือหากเทียบง่ายๆก็คง Drive + La La Land โดยจุดเด่นของหนังนอกจากความยียวน ความตลกร้ายตามสไตล์ ฝั่งผู้กำกับยังใช้เพลงประกอบที่คัดสรรมากว่า 30 เพลง เป็นตัวขับเคลื่อนและบ่งบอกอารมณ์ของหนังแต่ละโมเม้นท์ ขณะเดียวกันฝั่งบริบทของหนังยังคงความเข้มข้น ความจริงจังของเรื่องราว ในรูปแบบหนังอาชญากรรมที่พูดถึงการปล้น มีการหักเหลี่ยมชิงไหวชิงพริบ โดยพล็อตพูดถึงเด็กหนุ่มที่มีทักษะขั้นสูงในการขับรถพาเหล่าอาชญากรหลบหนี ที่เกิดตกหลุมรักหญิงสาวคนหนึ่งและหาหนทางที่จะหลุดพ้นจากวงการอาชญากรรม








5. The Good Thief (2002)

หากเอ่ยถึง Neil Jordan เชื่อว่าหลายคนอาจไม่คุ้นเคย แต่หากพูดถึงผลงานมาสเตอร์พีชอย่าง The Crying Game หลายคนอาจร้องอ่อขึ้นมาทันที เพราะเป็นหนังหักมุมที่มีความแปลกและหลอกล่อได้อย่างมีชั้นเชิง ซึ่งการกลับมาใน The Good Thief ยังคงกลิ่นอายหนังอาชญากรรมฟิล์มนัวร์ที่ผสมความโรแมนติกโดยใช้ตัวละครหญิงคอยปั่นหัว กำหนดทิศทางของหนังได้อย่างชาญฉลาด พร้อมทั้งการหักมุมเหนือชั้นก็ยังมีให้เห็นเช่นเคย กับพล็อตที่ว่าด้วยหนุ่มใหญ่ที่ติดเหล้า ติดการพนันและได้พบกับหญิงสาวคนหนึ่งที่คาสิโน จนนำไปสู่เหตุการณ์ปล้นครั้งสำคัญ








4. Ocean's Eleven (2001)

คงไม่มีใครไม่รู้จักหนังปล้นเลื่องชื่อ ที่อัดแน่นด้วยนักแสดงระดับท็อปอย่าง Ocean's Eleven โดยจุดแข็งของหนังปล้นตระกูลนี้คือ การเขียนบทโดยสร้างภารกิจโจรกรรมสุดท้าทาย ที่มีระบบป้องกันแน่นหนาและซับซ้อน จนเรียกได้ว่าเป็นไปได้ยากที่จะทำมันได้สำเร็จ แต่ขณะเดียวกันก็สร้างแผนโจรกรรมที่ใกล้เคียงกับคำว่าอาชญากรรมสมบูรณ์แบบ โดยมีกระบวนการที่น่าเชื่อถือ ตั้งแต่การรวมตัวของผู้เชี่ยวชาญในสายหน้าที่ต่างๆ มีการซักซ้อมวางแผน และคาดคะเนถึงผลสำเร็จในแต่ละวิธีการ เพื่อทำสิ่งที่ดูเหลือเชื่อให้เกิดขึ้นจริง โดยพล็อตของภาคนี้จะพูดถึงการรวมตัวของทีมโจรกรรม 11 คน ที่วางแผนปล้นคาสิโนขนาดใหญ่ที่ไม่เคยมีใครทำได้สำเร็จมาก่อน








3. Inside Man (2006)

ไม่บ่อยนักที่จะมีหนังปล้นที่โฟกัสเหตุการณ์การเจรจาต่อรองระหว่างฝั่งตำรวจกับอาชญากรโดยใช้สถานที่ปล้นเป็นโลเคชั่นหลักในการดำเนินเรื่อง แน่นอนว่า Dog Day Afternoon หนังปล้นคลาสสิกที่อิงเค้าโครงจากเรื่องจริงคงเป็นเรื่องแรกๆที่อยู่ในหัวของใครหลายคน แต่ทว่ายุค 2000s ก็มีหนังปล้นที่ใช้การเล่าแบบเดียวกัน และมีรายละเอียดที่ซับซ้อนและน่าสนใจไม่น้อยอย่าง Inside Man กับพล็อตที่พูดถึงเหตุการณ์ปล้นธนาคารที่ฝั่งคนร้ายได้จับผู้คนจำนวนมากเป็นตัวประกัน โดยหนังเน้นการพูดคุยเจรจาระหว่างฝั่งตำรวจกับคนร้าย แล้วโฟกัสไปยังเป้าหมายการปล้นที่แท้จริงและกลวิธีการหลบหนีของคนร้าย








2. The Town (2010)

ครั้งหนึ่งหนังสือพิมพ์ชื่อดังอย่าง The Daily Beast เคยออกมาให้รายชื่อหนังปล้นที่ Ben Affleck ชื่นชอบ ซึ่งประกอบด้วยหนังอย่าง The Friends of Eddie Coyle, Rififi และหนังชื่อดังอีกหลายๆเรื่อง โดยหนึ่งในนั้นคือ Heat ที่อาจเรียกว่าเป็นแรงบันดาลใจสำคัญของ The Town ด้วยเค้าโครง และลักษณะการดำเนินเรื่องที่ดูคล้ายคลึงกัน รวมถึงฉากแอคชั่น ฉากการปล้นต่างๆที่อาจทำได้ไม่ดีเท่า แต่ทว่าหนังกลับดูมีความลงตัวในแบบฉบับของตัวเอง โดยการเพิ่มมิติของตัวละครกับสร้างปมเบื้องหลังที่นำมาสู่ตัวตนในยุคปัจจุบัน ที่ช่วยให้การตัดสินใจของตัวละครในแต่ละโมเม้นท์ออกมาน่าเชื่อถือ โดยพล็อตพูดถึงหัวหน้าทีมปล้นธนาคารที่ไปตกหลุมสาวผู้จัดการธนาคาร จนนำไปสู่การตัดสินใจครั้งสำคัญของชีวิตอาชญากร








1. Hell or High Water (2016)

สำหรับ Taylor Sheridan หากนับรวมผลงานล่าสุดของเขาอย่าง Wind River ดูจะเป็นที่ประจักษ์ในฐานะมือเขียนหนังอาชญากรรมที่ฉกาจที่สุดคนหนึ่งของยุค โดย Hell or High Water เป็นหนังที่พูดถึงสองพี่น้องที่ออกปล้นธนาคารตามเมืองเล็กๆเพื่อนำเงินไปใช้หนี้ให้กับครอบครัว แต่ขณะเดียวกันก็ถูกตามล่าโดยสองตำรวจมือเก๋า ซึ่งจุดเด่นในแง่หนังปล้นคือ การเน้นบริบทตามสถานการณ์ที่ดูสมจริง ตั้งแต่การวางแผนปล้นตลอดจนไหวพริบในการหลบหนีเอาตัวรอด ที่ให้อารมณ์ลักษณะเดียวกับหนังออสการ์อย่าง No Country for Old Men อีกทั้งในส่วนของไดอะล็อกนอกจากจะทำออกมาได้ลื่นไหล ตรึงความสนใจคนดูได้ดี ก็แฝงประเด็นการจิกกัดสังคมได้อย่างแนบเนียน







+(1) หนังเเนะนำ Den of Thieves (2018)
(เข้าฉายในไทยฉาย 8 กุมภาพันธ์นี้)


นับได้ว่าเป็นอีกหนึ่งหนังแอคชั่น-อาชญากรรมแห่งปีที่ไม่ควรมองข้าม ด้วยไอเดียหนังปล้นที่แปลกใหม่ โดยการนำเหล่าโจรที่เป็นอดีตหน่วยรบพิเศษ มาประจันหน้ากับหน่วยปราบอาชญากรรมสุดระห่ำ ผ่านฝีมือการกำกับของอดีตมือเขียนบทหนังแอคชั่นอย่าง London Has Fallen และ A Man Apart แน่นอนว่าการเริ่มต้นของ Christian Gudegast ในฐานะผู้กำกับเขาต้องพยายามสร้างสรรค์อะไรใหม่ๆและน่าสนใจ อาทิเช่น

1. การนำไอเดียของหนังปล้นคลาสสิกอย่าง Heat ที่พูดถึงการเชือดเฉือนคมระหว่างตำรวจกับอาชญากรมาปรุงแต่งในรูปแบบหนังปล้นที่เน้นความเอนเตอร์เทรนด้วยฉากแอคชั่น

2. การสร้างแผนโจรกรรมที่เหนือคาด ซึ่งเป็นจุดที่หนังปล้นที่เน้นฉากแอคชั่นหลายๆเรื่องได้มองข้าม แต่ในเรื่องนี้ Christian Gudegast ก็พยายามที่จะเสริมแต่งให้หนังออกมาสมบูรณ์แบบทั้งในฐานะหนังปล้นและหนังแอคชั่น

3. นำแสดงโดย Gerard Butler แอคชั่นสตาร์ที่การันตีความบ้าดีเดือดของหนังได้ดีอย่าง 300 (2006), Olympus Has Fallen (2013), London Has Fallen (2016)


ตัวอย่างซับไทย

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ.
.
.
.
.
.
.
.
.

ทวิตเตอร์เพจ @Review_Me_ พูดคุยหนังเเละซีรีส์



ขออนุญาตฝากเพจนะครับ

https://www.facebook.com/Criticalme



เเละขออนุญาตฝากไอจีเพจด้วยนะครับ @puneak_b
เป็นพื้นที่สำหรับรีวิวหนังสือนิยายต่างๆโดยเฉพาะแนวสืบสวน
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่