สวัสดีครับ วันนี้ผมจะมารีวิวร้านอาหารที่ติดอันดับ Top 3 ในการจัดอันดับของ San Pellegrino’s World’s 50 Best Restaurants ซึ่งร้านนี้ได้อันดับที่ 1 ในปีที่แล้ว และได้อันดับ 2 ในปีนี้ ในการจัดอันดับนี้ร้านอาหาร Gaggan ทีบ้านเราได้ถึงอันดับ 7 ในปีนี้ด้วย
ร้านนี้ตั้งอยู่ในประเทศอิตาลี ในเมืองเล็กๆ ชื่อ Modena ซึ่งเป็นที่ก่อตั้งรถชื่อดัง Ferrari อีกด้วย และเป็นเมืองบ้านเกิดของเชฟเจ้าของร้าน Massimo Bottura หากสนใจเพิ่มเติมเกี่ยวกับประวัติสามารถไปชมได้ในซีรีส Chef’s Table บน Netflix ครับ ร้านนี้ได้รับมิชชลิน 3 ดาวด้วย
การจองร้านจะเปิดขึ้นทุกต้นเดือน สามเดือนล่วงหน้า ซึ่งสามารถจองโต๊ะออนไลน์ผ่านเว็ปไซต์ได้ การจองโต๊ะยากมากครับเพราะเป็นร้านที่เล็กมาก มีแค่ 6 โต๊ะเท่านั้น ถ้าไม่จองในช่วงเวลาที่เปิดรับจองเป๊ะๆ แทบจะไม่มีโอกาสได้กินเลย ตอนผมจองเสร็จ โต๊ะทั้งหมดของเดือนนั้นเต็มไปแล้วครับ
หน้าร้านดูธรรมดามาก หากไม่รู้ว่าเป็นร้านอาหารระดับมิชชลิน 3 ดาว คงเดินผ่านได้ง่ายๆ
บรรยกาศในร้าน เห็นได้ว่ามีโต๊ะน้อยมาก และแต่ละโต๊ะนั่งได้มากสุด 4-6 คน
วันนี้พวกเราได้เลือกทาน “Everything” ซึ่งเป็น Tasting Menu 12 คอร์สซึ่งมีจานเด่นซึ่งบ่งบอกถึง identity ของร้านอาหาร และเทคนิคต่างๆ ที่เชฟต้องการแสดงเกี่ยวกับอาหารของเขา
Amuse bouche หรืออาหารทานเล่นเรียกน้ำย่อยก่อนเริ่มมื้อครับ
ตัวนี้คือ Fish and Chips สไตล์ของร้าน ข้างบนเป็นไอศครีมน้ำส้มสายชู และข้างล่างเป็นข้าวเกรียบมันฝรั่ง ซึ่งมีรสชาติของปลาเล็กน้อย
มาการอง ข้างในเป็นสตูว์กระต่ายครับ/พัฟปลาคอดดองเค็ม/แท่งยาวๆ เป็นชีส Parmesan biscuit
และสุดท้าย คนเสิร์ฟบอกว่าเหมือนปลา Mackerel แต่ทำจากอย่างอื่น ให้เดาว่าทำจากอะไรครับ ข้างนอกหน้าตาเหมือนปลาแต่เป็นแผ่นบางๆ สีเงินครับ
ขนมปังเป็น Ciabatta ขนมปังหลักอิตาลีครับ จิ้มน้ำมันมะกอกของที่ร้านอร่อยมาก
จานแรก Insalata di mare หรือสลัดซีฟู้ด ข้างในผักแต่ละใบมีอาหารทะเลชิ้นเล็กๆ ซ่อนอยู่ โรยด้วยผงสาหร่าย เป็นจากแรกที่เรียกน้ำย่อยได้ดีเลย อาหารทะเลมีทั้ง หอยเชลล์ ปลาหมึก กุ้ง มีรสชาติสดมาก
ต่อไปเป็น Mediterranean sole ปลาเนื้อขาว จานนี้มีวิธีเตรียมอาหารสไตล์อิตาเลียนทั้ง 3 วิธีหลัก ซึ่งคือ ปลาในซอสมะนาว ซอสมะเขือเทศและใบโหระพา และการห่อกระดาษอบ ซึ่งในนี้กระดาษที่เห็นทำจากการระเหยน้ำทะเล ส่วนตัวผมว่าเป็นไอเดียที่เจ๋งมาก ปลาเนื้อแน่นและเข้าซอสมะนาวได้ดี ซอสมะเขือเทศซ่อนอยู่ข้างใต้ตัดกับความเปรี้ยวของมะนาว
Rice: green over brown over black เป็นจานคล้ายๆ Risotto แต่ไม่ใช่เพราะไม่ได้ใช้เนย และข้าวไม่ได้ถูกคั่วในการทำ ข้าวสีดำปรุงด้วยหมึกจากปลาหมึก สีเขียวปรุงด้วย Chlorophyll และข้าวสีน้ำตาลปรุงด้วยเห็ดต่างๆ เป็นจานที่มีรสชาติหลากหลาย
Autumn in New York ส่วนผสมหลักจานนี้คือแอปเปิล ซึ่งมีทั้งแอปเปิลดอง แยมแอปเปิล น้ำซุปแอปเปิล มันฝรั่ง เชฟได้ไอเดียมาจากแอปเปิลในฤดูต่างๆ ที่เมืองนิวยอร์ค ซึ่งเป็นสถานที่ฝึกงานของเชฟ
Civet, game, snails, herbs and ravioli
Five ages of Parmigiano Reggiano จานนี้มีส่วนผสมแค่อย่างเดียว ซึ่งคือชีส Parmesan ในอายุ 24-50 เดือน ในวิธีต่างๆ แต่ละส่วนมีรสชาติที่ต่างกันมาก คนที่รักชีสพลาดไม่ได้
The crunchy part of lasagna จานนี้ข่างล่างเป็นสตูว์เนื้อ ragu ตรงกลางเป็นครีมซอส และข้างบนเป็นแป้งพาสต้ากรอบ โดยเชฟคิดว่าส่วนที่อร่อยที่สุดของจาน Lasagna คือข้างบนที่มีความกรอบ ซึ่งถูกแสดงออกในจานนี้
Camouflage pigeon เป็นจานทำจากนกพิราบ โดยมีส่วนอก และส่วนขาที่เป็นก้อนติดกระดูก ซอสมีสี่อย่างคือ ไวน์แดง horseradish มะนาว และ ผัก เนื้ออกนกพิราบนิ่มและเข้ากับซอสต่างๆ มาก
Pre-dessert Ciliegie, Amarene, Duroni, Marasche, E Pane Secco เป็นชื่อของเชอร์รี่ชนิดต่างๆ เสิร์ฟด้วยชีส Ricotta เบาๆ
Millefoglie di Millefoglie ขนมหวานชิ้นแรก ข้างล่างเป็นแป้ง Mille-feuille และข้างบนมีชิ้นช็อกโกแลต ครีมฟักทอง และทรัฟเฟิล
Oops! I dropped the lemon tart ขนมหวานคอร์สสุดท้าย หนึ่งในจานที่มีชื่อเสียงสำหรับร้านนี้ ได้แรงบันดาลใจมาเมื่อผู้ช่วยเชฟคนหนึ่ง ทำทาร์ตเลมอนตกแตกก่อนเสิร์ฟ เชฟ Massimo เลยตัดสินใจตกแต่งจานให้เหมือนว่าตั้งใจทำตก รสชาติหอมมะนาวเลมอนมากแบบไม่เปรี้ยวจนเกินไป ข้างในเป็นไอศครีมมะนาวและแป้งข้างบนคล้ายๆ เนยแผ่น เป็นจานที่สวยและอร่อย
ท้ายสุดด้วย Petit fours ที่ไม่เหมือนใคร ที่เหมือนเชอร์รี่เป็นเปลือกช็อกโกแลตข้างนอก ข้างในเป็นน้ำเชอร์รี่ดอง สดชื่นมาก แท่งที่เหมือนไอศครีมแม็กนัม เป็น Foei gras เคลือบถั่ว ก้อนกลมๆ ในจานเดียวกันเป็นช็อกโกแลต กระต่าย และ Foei gras มาการองไส้ทรัพเฟิลและ Foei gras
ราคาอาหารชุดนี้ อยู่ที่250ยูโร หรือประมาณ9800บาท ต่อท่านครับ
เป็นร้านอาหารที่ดีที่สุดหรือเปล่า ผมตอบไม่ได้ แต่สามารถพูดได้ว่าเป็นหนึ่งในมื้อที่ประทับใจที่สุดที่เคยกินมา
ต่อไป เตรียมพบกับรีวิวร้าน Noma ซึ่งเคยเป็น World’s Best (ที่ 1) ในการจัดอันดับนี้ ในปี 2012 และ 2014 ร้านปิดไปสักพักและกำลังจะเปิดใหม่ใน Copenhagen, Denmark
ขอบคุณที่อ่านรีวิวครับ
[CR] [รีวิว] Osteria Francescana: 3 Michelin Star/World’s 50 Best Restaurants ร้านอาหารที่ได้ชื่อว่าดีที่สุดในโลก?
ร้านนี้ตั้งอยู่ในประเทศอิตาลี ในเมืองเล็กๆ ชื่อ Modena ซึ่งเป็นที่ก่อตั้งรถชื่อดัง Ferrari อีกด้วย และเป็นเมืองบ้านเกิดของเชฟเจ้าของร้าน Massimo Bottura หากสนใจเพิ่มเติมเกี่ยวกับประวัติสามารถไปชมได้ในซีรีส Chef’s Table บน Netflix ครับ ร้านนี้ได้รับมิชชลิน 3 ดาวด้วย
การจองร้านจะเปิดขึ้นทุกต้นเดือน สามเดือนล่วงหน้า ซึ่งสามารถจองโต๊ะออนไลน์ผ่านเว็ปไซต์ได้ การจองโต๊ะยากมากครับเพราะเป็นร้านที่เล็กมาก มีแค่ 6 โต๊ะเท่านั้น ถ้าไม่จองในช่วงเวลาที่เปิดรับจองเป๊ะๆ แทบจะไม่มีโอกาสได้กินเลย ตอนผมจองเสร็จ โต๊ะทั้งหมดของเดือนนั้นเต็มไปแล้วครับ
หน้าร้านดูธรรมดามาก หากไม่รู้ว่าเป็นร้านอาหารระดับมิชชลิน 3 ดาว คงเดินผ่านได้ง่ายๆ
บรรยกาศในร้าน เห็นได้ว่ามีโต๊ะน้อยมาก และแต่ละโต๊ะนั่งได้มากสุด 4-6 คน
วันนี้พวกเราได้เลือกทาน “Everything” ซึ่งเป็น Tasting Menu 12 คอร์สซึ่งมีจานเด่นซึ่งบ่งบอกถึง identity ของร้านอาหาร และเทคนิคต่างๆ ที่เชฟต้องการแสดงเกี่ยวกับอาหารของเขา
Amuse bouche หรืออาหารทานเล่นเรียกน้ำย่อยก่อนเริ่มมื้อครับ
ตัวนี้คือ Fish and Chips สไตล์ของร้าน ข้างบนเป็นไอศครีมน้ำส้มสายชู และข้างล่างเป็นข้าวเกรียบมันฝรั่ง ซึ่งมีรสชาติของปลาเล็กน้อย
มาการอง ข้างในเป็นสตูว์กระต่ายครับ/พัฟปลาคอดดองเค็ม/แท่งยาวๆ เป็นชีส Parmesan biscuit
และสุดท้าย คนเสิร์ฟบอกว่าเหมือนปลา Mackerel แต่ทำจากอย่างอื่น ให้เดาว่าทำจากอะไรครับ ข้างนอกหน้าตาเหมือนปลาแต่เป็นแผ่นบางๆ สีเงินครับ
ขนมปังเป็น Ciabatta ขนมปังหลักอิตาลีครับ จิ้มน้ำมันมะกอกของที่ร้านอร่อยมาก
จานแรก Insalata di mare หรือสลัดซีฟู้ด ข้างในผักแต่ละใบมีอาหารทะเลชิ้นเล็กๆ ซ่อนอยู่ โรยด้วยผงสาหร่าย เป็นจากแรกที่เรียกน้ำย่อยได้ดีเลย อาหารทะเลมีทั้ง หอยเชลล์ ปลาหมึก กุ้ง มีรสชาติสดมาก
ต่อไปเป็น Mediterranean sole ปลาเนื้อขาว จานนี้มีวิธีเตรียมอาหารสไตล์อิตาเลียนทั้ง 3 วิธีหลัก ซึ่งคือ ปลาในซอสมะนาว ซอสมะเขือเทศและใบโหระพา และการห่อกระดาษอบ ซึ่งในนี้กระดาษที่เห็นทำจากการระเหยน้ำทะเล ส่วนตัวผมว่าเป็นไอเดียที่เจ๋งมาก ปลาเนื้อแน่นและเข้าซอสมะนาวได้ดี ซอสมะเขือเทศซ่อนอยู่ข้างใต้ตัดกับความเปรี้ยวของมะนาว
Rice: green over brown over black เป็นจานคล้ายๆ Risotto แต่ไม่ใช่เพราะไม่ได้ใช้เนย และข้าวไม่ได้ถูกคั่วในการทำ ข้าวสีดำปรุงด้วยหมึกจากปลาหมึก สีเขียวปรุงด้วย Chlorophyll และข้าวสีน้ำตาลปรุงด้วยเห็ดต่างๆ เป็นจานที่มีรสชาติหลากหลาย
Autumn in New York ส่วนผสมหลักจานนี้คือแอปเปิล ซึ่งมีทั้งแอปเปิลดอง แยมแอปเปิล น้ำซุปแอปเปิล มันฝรั่ง เชฟได้ไอเดียมาจากแอปเปิลในฤดูต่างๆ ที่เมืองนิวยอร์ค ซึ่งเป็นสถานที่ฝึกงานของเชฟ
Civet, game, snails, herbs and ravioli
Five ages of Parmigiano Reggiano จานนี้มีส่วนผสมแค่อย่างเดียว ซึ่งคือชีส Parmesan ในอายุ 24-50 เดือน ในวิธีต่างๆ แต่ละส่วนมีรสชาติที่ต่างกันมาก คนที่รักชีสพลาดไม่ได้
The crunchy part of lasagna จานนี้ข่างล่างเป็นสตูว์เนื้อ ragu ตรงกลางเป็นครีมซอส และข้างบนเป็นแป้งพาสต้ากรอบ โดยเชฟคิดว่าส่วนที่อร่อยที่สุดของจาน Lasagna คือข้างบนที่มีความกรอบ ซึ่งถูกแสดงออกในจานนี้
Camouflage pigeon เป็นจานทำจากนกพิราบ โดยมีส่วนอก และส่วนขาที่เป็นก้อนติดกระดูก ซอสมีสี่อย่างคือ ไวน์แดง horseradish มะนาว และ ผัก เนื้ออกนกพิราบนิ่มและเข้ากับซอสต่างๆ มาก
Pre-dessert Ciliegie, Amarene, Duroni, Marasche, E Pane Secco เป็นชื่อของเชอร์รี่ชนิดต่างๆ เสิร์ฟด้วยชีส Ricotta เบาๆ
Millefoglie di Millefoglie ขนมหวานชิ้นแรก ข้างล่างเป็นแป้ง Mille-feuille และข้างบนมีชิ้นช็อกโกแลต ครีมฟักทอง และทรัฟเฟิล
Oops! I dropped the lemon tart ขนมหวานคอร์สสุดท้าย หนึ่งในจานที่มีชื่อเสียงสำหรับร้านนี้ ได้แรงบันดาลใจมาเมื่อผู้ช่วยเชฟคนหนึ่ง ทำทาร์ตเลมอนตกแตกก่อนเสิร์ฟ เชฟ Massimo เลยตัดสินใจตกแต่งจานให้เหมือนว่าตั้งใจทำตก รสชาติหอมมะนาวเลมอนมากแบบไม่เปรี้ยวจนเกินไป ข้างในเป็นไอศครีมมะนาวและแป้งข้างบนคล้ายๆ เนยแผ่น เป็นจานที่สวยและอร่อย
ท้ายสุดด้วย Petit fours ที่ไม่เหมือนใคร ที่เหมือนเชอร์รี่เป็นเปลือกช็อกโกแลตข้างนอก ข้างในเป็นน้ำเชอร์รี่ดอง สดชื่นมาก แท่งที่เหมือนไอศครีมแม็กนัม เป็น Foei gras เคลือบถั่ว ก้อนกลมๆ ในจานเดียวกันเป็นช็อกโกแลต กระต่าย และ Foei gras มาการองไส้ทรัพเฟิลและ Foei gras
ราคาอาหารชุดนี้ อยู่ที่250ยูโร หรือประมาณ9800บาท ต่อท่านครับ
เป็นร้านอาหารที่ดีที่สุดหรือเปล่า ผมตอบไม่ได้ แต่สามารถพูดได้ว่าเป็นหนึ่งในมื้อที่ประทับใจที่สุดที่เคยกินมา
ต่อไป เตรียมพบกับรีวิวร้าน Noma ซึ่งเคยเป็น World’s Best (ที่ 1) ในการจัดอันดับนี้ ในปี 2012 และ 2014 ร้านปิดไปสักพักและกำลังจะเปิดใหม่ใน Copenhagen, Denmark
ขอบคุณที่อ่านรีวิวครับ