ช่วยวิเคราะห์
1.การวางโครงเรื่องของเรื่องนี้
2.การเปิด-ปิดของเรื่อง
3.วิธีการดำเนินเรื่อง
4.บทสัมภาษณ์
5.มีโวหารอะไร
6.ขั้นตอนประเมินค่า
ความเพียรพยายามไปสู่ความสำเร็จ
แก่นเรื่อง สู้ด้วยใจที่มีความเพียร มีสติในการดำรงชีวิต
แสงแดดตอนเย็นอ่อนๆ ทอแสงเข้ามาในห้องสีขาว เตือนให้รู่ว่าดวงตะวันใกล้ลับขอบฟ้าเต็มทีห้องสีขาวที่เต็มไปด้วยตุ๊กตา หลากหลายรูปแบบอยู่เต็มเตียงนอนเฟอร์นิเจอรืต่างๆภายในห้องออกแนวหวานแหว๋ว สื่อให้รู้ว่าต้องเป็นห้องนอนของหญิงสาวที่น่ารักและเรียบร้อยแน่
“ โอ๊ย !! ปวดหัวจัง นั่งจำตั้งนานทำไมไม่เข้าหัวสักทีนะ” หยิงสาวบ่นอุบอิบหนังสือ คัมภีร์ อะไรกันเนี่ย ท่องแล้วก้ลืมตลอดเลย เฮ้อ !! หญิงสาวเกิดอาการโมโห แปลกใช่ไหม ที่ฉันอารมณืเสียและเครียดอย่างนี้ งั้นฉันขอแนะนำตัวก่อนลัวกัน ฉันชื่อ ลิ้นจี่ เป้นเด็กสาวมอปลายอายุ17 ปี เป้นคนแก่นไม่เรียบร้อย (แล้วที่บอกเมื่อกี้หมายถึงใครอ่ะ เอ้าเป็นงั้นไปแต่ก็ช่างเถอะเธอก็เป็นหญิงสาวจริงๆ) และสิ่งที่ฉันกำลังโมโหอยู่ก็คือมะรืนนี้ฉันจะสอบอยู่แล้ว คำศัพท์ในหนังสือจำนวน 50 คำ ฉันต้องจำให้ได้ด้วย นี้แหละคือปัญหาที่ฉันกำลังเครียดอยู่
“ตื้ดๆๆ จู่ๆเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
“ ฮัลโหล ฉันกรอกเสียงคำแรกเมื่อตอบรับสายไป
“ นี่แกพรุ่งนี้ไปติวหนังสือข้างนอกกัน” ปลายสายพูดออกปากชวน
“ อ้อ ปลายสายที่พูดคือ ยายส้ม เพื่อนฉันเอง “ โอเค.สิ ไปข้างนอกสมองจะได้โล่งท่องหนังสือจะได้จำบ้าง” ฉันพูด
“งั้นเจอกันพรุ่งนี้ตอนสิบโมงที่ร้านกาแฟหน้าโรงเรียนแล้วกัน” ยัยส้มพูด
“โอเค ได้ งั้นเจอกัน” ฉันตอบกลับยัยส้มปลายสาย
บรรยากาศตอนเช้าดูสดชื่น น่ารื่นรมย์ เสียงนกกระจิ๊บมาเกาะขอบหน้าต่างเปล่งเสียงร้องจิ๊บๆ ร้องกันประสานเสียงปลุกฉันให้ลุกจากที่นอนด้วยอาการงังเงีย ใจก็คิดอยากจะโน้มตัวนอนบนหมอนแสนนุ่ม แต่ก็คิดไปล้างหน้าดีกว่าจะได้สดชื่น เมื่อฉันจัดการภารกิจส่วนตัวเสร็จ อาบน้ำแต่งตัว ฉีดน้ำหอมพอให้มีกลิ่นหอมนิดๆ ก็เตรียมตัวที่จะไปตามนัด
“ ตึกๆ” เสียงฝีเท้าฉันที่วิ่งลงบันได
“นี่แกเดินลงบันไดดีๆไม่เป็นหรือไง ยัยลิ้นจี่” เสียงแม่ฉันบ่นฉอดๆ
“โทษทีอม่ วันนี้ทำไรกินอ่ะ” ฉันพูดพร้อมเดินไปที่โต๊ะจับดอกไม้สดสีใสที่แม่จัดไว้บนโต๊ะอาหาร
“มีข้าวต้มกุ้ง จะกินเลยไหม แม่จะตักให้” แม่พูดพร้อมจะหยิบถ้วย
“ทานเลยค่า ขอบคุณค่ะแม่ ฉันพูดพร้อมยิ้มให้กับแม่ที่เป้นที่รัก
“แล้วนี่ลูกจะไปไหนวันอาทิตย์อย่างนี้” แม่พูดพร้อมนำข้าวต้มกุ้งมาเสริฟ
“อ้อ จะออกไปติวหนังสือกับเพื่อนข้างนอกนะค่ะ เย็นๆกลับ” ฉันบอกพร้อมทานข้าวต้มใส่ปาก
“แล้วอย่ากลับดึกละ บอกเย็นทีไรกลับดึกทุกที” แม่พูดพรางบ่นฉันนิดๆ
“จ้าแม่” ฉันขานรับทันที
ห้องแถวสีน้ำตาลอ่อนแนววินเทจเป้นแหล่งที่พักที่ชิวของวัยรุ่น ร้านนี้ตั้งอยู่หน้าโรงเรียนของฉัน หลังเลิกเรียนทีไร ฉันกับยัยส้มก็จะมานั่งจิบกาแฟกับเค้กที่นี่เป็นประจำแล้วตอนนี้ฉันก็มาถึงแล้วแต่ยัยส้มยังไม่มาเลย
“ฮัลโหล แกอยู่ไหนฉันมาถึงแล้วนะ” ฉันพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
“เข้ามาเลยแก ฉันอยู่ในร้านแล้ว” ยัยส้มพูด
“ นี่แกถึงแล้วก้ไม่บอกกันนะ” ฉันพูดพร้อมทำเสียงเข้ม
“ฉันแกล้งแกเล่นน่ะ” ยัยส้มพูดไปหัวเราะไป
“เหรอ” ฉันพูดประชดออกแนวหงุดหงิด
“นี่แก ฉันสั่งชาเย็น กับ เค้กช็อกโกแลตให้แกแล้วนะ”
“อืม เค ยัยส้มพูด
ระหว่างที่เรานั่งติวไปจิบชาทานเค้กไป ฉันก้คิดขึ้นว่าถ้าท่องจำอย่างเดียวไม่ได้เลยคิดว่า เอาปากกามาเน้นคำศัพท์ที่จำให้ง่ายดีกว่า
“ แก ฉันคิดอะไรออกแล้วล่ะ ฉันบอกเหมือนเกิดไอเดีย
“ คิดอะไรหรอ” ย้ยส้มถามสีหน้าฉงน
“ ฉันว่าเราเอาปากกาแดง ขีดเส้นเน้นคำศัพท์ดีกว่า เราน่าจะจำได้มากขึ้น ”
“ อืมดีเหมือนกัน น่าจะคิดได้ตั้งแต่แรก ” ยัยส้มพูดขึ้น
จากนั้นเราก็อ่านนั่งท่องจำได้สักพัก บ้างก็พลัดกันอ่านพลัดกันจำ บ้างก็พูดคำศัพท์ขึ้นมาแล้วให้ตอบให้ได้ เราสองคนทำแบบนี้หลายรอบกว่าจนตอนนี้จำได้ขึ้นใจแล้ว
“ จำได้แล้ว ดีใจจัง ” เราพูดพร้อมกัน
“ อืมตอนนี้ก็เย็นมากแล้วอ่ะ ” ฉันพูดพร้อมเหลือบมองนาฬิกา
“ งั้นฉันกลับก่อนนะ บอกแม่ไว้ว่ากลับเย็นอ่ะ” ฉันพูดพร้อมลุกจากเก้าอี้
“ งั้นเจอกันพรุ่งนี้แล้วกัน” ย้ยส้มพูด
“ โอเค บาย”
กลับมาถึงบ้าน ฉันเลื่อนประตูทางเข้าแล้วเดินตรงเข้าไปในบ้าน แต่รู้สึกทำไมเงียบจังปกติต้องมีเสียงแม่รดน้ำต้นไม้ทุกเย็นไม่ใช่หรอ ฉันมุ่งเข้าไปในบ้าน
“ แม่ค่ะ แม่ อยู่ไหนเนี้ย” ฉันเดินผ่านห้องรับแขกก็ไม่เจอเลยเดินเข้าไปดูในห้งครัว
“ แม่ค่ะ” ฉันตะดกนขึ้นอีก แล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นโน้ตติดอยู่กับตู้เย็นว่า “ วันนี้แม่ไปงานวันเกิดเพื่อน กลับดึกนะทำกับข้าวกินเองนะลูก”
“ เฮ้อ !! แม่ไม่อยู่อีก อยู่สองคนก้เหงาอยู่แล้วนี่ยิ่งอยู่คนเดียวไม่เหงาหรอเนี้ย”
“ ฉันมุ่งไปที่เตาหยิบกระทะเหล็ก มาเพื่อทำอาหารกิน”
หลังจากหาอะไรกินเรียบร้อยแล้ว ฉันก็อาบน้ำแต่งตัวอยู่บนห้องแล้วอ่านทบทวนคำศัพท์ในหนังสืออีกสักรอบสองรอบ แล้วหลับยาวเลย
เช้ารุ่งขึ้นฉันมาถึงรงเรียนเวลาเจ็ดโมงครึ่ง ฉันโทรนัดกับยัยส้มว่าจะเจอกันที่ม้านั่งก่อนเข้าห้องสอบ ม้านั่งสีขาวนั่งได้สองแต่เห็นคนหนึ่งอยู่นั่นคือเพื่อนฉันเอง
“ แกมาถึงนานยัง” ฉันถามเมื่อเจอหน้า
“ นัดฉันไกลจากห้องสอบไปไหม อยู่ตั้งโรงอาหาร” ฉันบ่นเบาๆ
“ นี่แก หลังสอบเสร็จไปดูละครเวทีกัน”
“ แล้วแกมีตั๋วหรอ” ฉันถาม
“ มีซิ ไม่งั้นจะชวนหรอ เป็นละคนเวทีเรื่องรักนิรันดร์ที่จะฉายในโรงละครรัชดาลัยเธียเตอร์ ฉันส่งข้อความตอบคถามได้อ่ะ” ยัยส้มพูดยืดยาว
“ อืม โอเค แต่ตอนนี้อ่านทบทวนก่อนนะ” ฉันพูด
“ได้” ยัยส้มตอบ
เมื่อถึงเวลาสอบฉันก็ทำข้อสอบได้ผ่านฉลุยโดยไม่ต้องนั่งคิดนานเลยอ่ะ เมื่อฉันทำเสร็จ ฉันก็ส่งอาจารย์แล้วมาคิดสิ่งที่ได้จากวันนั้น คือ สู้ด้วยใจที่มีความเพียร มีสติในการดำรงชีวิต ถ้าเรามีความเพียรสั่งนั้นจะยากแค่ไหนเราก็ผ่านไปได้และชีวิตของเราก็จะดียิ่งขึ้น
จากเว็ป
http://oknation.nationtv.tv/blog/Mekky/2014/03/03/entry-3
วิเคราะห์ช่วยหน่อยครับ
1.การวางโครงเรื่องของเรื่องนี้
2.การเปิด-ปิดของเรื่อง
3.วิธีการดำเนินเรื่อง
4.บทสัมภาษณ์
5.มีโวหารอะไร
6.ขั้นตอนประเมินค่า
ความเพียรพยายามไปสู่ความสำเร็จ
แก่นเรื่อง สู้ด้วยใจที่มีความเพียร มีสติในการดำรงชีวิต
แสงแดดตอนเย็นอ่อนๆ ทอแสงเข้ามาในห้องสีขาว เตือนให้รู่ว่าดวงตะวันใกล้ลับขอบฟ้าเต็มทีห้องสีขาวที่เต็มไปด้วยตุ๊กตา หลากหลายรูปแบบอยู่เต็มเตียงนอนเฟอร์นิเจอรืต่างๆภายในห้องออกแนวหวานแหว๋ว สื่อให้รู้ว่าต้องเป็นห้องนอนของหญิงสาวที่น่ารักและเรียบร้อยแน่
“ โอ๊ย !! ปวดหัวจัง นั่งจำตั้งนานทำไมไม่เข้าหัวสักทีนะ” หยิงสาวบ่นอุบอิบหนังสือ คัมภีร์ อะไรกันเนี่ย ท่องแล้วก้ลืมตลอดเลย เฮ้อ !! หญิงสาวเกิดอาการโมโห แปลกใช่ไหม ที่ฉันอารมณืเสียและเครียดอย่างนี้ งั้นฉันขอแนะนำตัวก่อนลัวกัน ฉันชื่อ ลิ้นจี่ เป้นเด็กสาวมอปลายอายุ17 ปี เป้นคนแก่นไม่เรียบร้อย (แล้วที่บอกเมื่อกี้หมายถึงใครอ่ะ เอ้าเป็นงั้นไปแต่ก็ช่างเถอะเธอก็เป็นหญิงสาวจริงๆ) และสิ่งที่ฉันกำลังโมโหอยู่ก็คือมะรืนนี้ฉันจะสอบอยู่แล้ว คำศัพท์ในหนังสือจำนวน 50 คำ ฉันต้องจำให้ได้ด้วย นี้แหละคือปัญหาที่ฉันกำลังเครียดอยู่
“ตื้ดๆๆ จู่ๆเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
“ ฮัลโหล ฉันกรอกเสียงคำแรกเมื่อตอบรับสายไป
“ นี่แกพรุ่งนี้ไปติวหนังสือข้างนอกกัน” ปลายสายพูดออกปากชวน
“ อ้อ ปลายสายที่พูดคือ ยายส้ม เพื่อนฉันเอง “ โอเค.สิ ไปข้างนอกสมองจะได้โล่งท่องหนังสือจะได้จำบ้าง” ฉันพูด
“งั้นเจอกันพรุ่งนี้ตอนสิบโมงที่ร้านกาแฟหน้าโรงเรียนแล้วกัน” ยัยส้มพูด
“โอเค ได้ งั้นเจอกัน” ฉันตอบกลับยัยส้มปลายสาย
บรรยากาศตอนเช้าดูสดชื่น น่ารื่นรมย์ เสียงนกกระจิ๊บมาเกาะขอบหน้าต่างเปล่งเสียงร้องจิ๊บๆ ร้องกันประสานเสียงปลุกฉันให้ลุกจากที่นอนด้วยอาการงังเงีย ใจก็คิดอยากจะโน้มตัวนอนบนหมอนแสนนุ่ม แต่ก็คิดไปล้างหน้าดีกว่าจะได้สดชื่น เมื่อฉันจัดการภารกิจส่วนตัวเสร็จ อาบน้ำแต่งตัว ฉีดน้ำหอมพอให้มีกลิ่นหอมนิดๆ ก็เตรียมตัวที่จะไปตามนัด
“ ตึกๆ” เสียงฝีเท้าฉันที่วิ่งลงบันได
“นี่แกเดินลงบันไดดีๆไม่เป็นหรือไง ยัยลิ้นจี่” เสียงแม่ฉันบ่นฉอดๆ
“โทษทีอม่ วันนี้ทำไรกินอ่ะ” ฉันพูดพร้อมเดินไปที่โต๊ะจับดอกไม้สดสีใสที่แม่จัดไว้บนโต๊ะอาหาร
“มีข้าวต้มกุ้ง จะกินเลยไหม แม่จะตักให้” แม่พูดพร้อมจะหยิบถ้วย
“ทานเลยค่า ขอบคุณค่ะแม่ ฉันพูดพร้อมยิ้มให้กับแม่ที่เป้นที่รัก
“แล้วนี่ลูกจะไปไหนวันอาทิตย์อย่างนี้” แม่พูดพร้อมนำข้าวต้มกุ้งมาเสริฟ
“อ้อ จะออกไปติวหนังสือกับเพื่อนข้างนอกนะค่ะ เย็นๆกลับ” ฉันบอกพร้อมทานข้าวต้มใส่ปาก
“แล้วอย่ากลับดึกละ บอกเย็นทีไรกลับดึกทุกที” แม่พูดพรางบ่นฉันนิดๆ
“จ้าแม่” ฉันขานรับทันที
ห้องแถวสีน้ำตาลอ่อนแนววินเทจเป้นแหล่งที่พักที่ชิวของวัยรุ่น ร้านนี้ตั้งอยู่หน้าโรงเรียนของฉัน หลังเลิกเรียนทีไร ฉันกับยัยส้มก็จะมานั่งจิบกาแฟกับเค้กที่นี่เป็นประจำแล้วตอนนี้ฉันก็มาถึงแล้วแต่ยัยส้มยังไม่มาเลย
“ฮัลโหล แกอยู่ไหนฉันมาถึงแล้วนะ” ฉันพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
“เข้ามาเลยแก ฉันอยู่ในร้านแล้ว” ยัยส้มพูด
“ นี่แกถึงแล้วก้ไม่บอกกันนะ” ฉันพูดพร้อมทำเสียงเข้ม
“ฉันแกล้งแกเล่นน่ะ” ยัยส้มพูดไปหัวเราะไป
“เหรอ” ฉันพูดประชดออกแนวหงุดหงิด
“นี่แก ฉันสั่งชาเย็น กับ เค้กช็อกโกแลตให้แกแล้วนะ”
“อืม เค ยัยส้มพูด
ระหว่างที่เรานั่งติวไปจิบชาทานเค้กไป ฉันก้คิดขึ้นว่าถ้าท่องจำอย่างเดียวไม่ได้เลยคิดว่า เอาปากกามาเน้นคำศัพท์ที่จำให้ง่ายดีกว่า
“ แก ฉันคิดอะไรออกแล้วล่ะ ฉันบอกเหมือนเกิดไอเดีย
“ คิดอะไรหรอ” ย้ยส้มถามสีหน้าฉงน
“ ฉันว่าเราเอาปากกาแดง ขีดเส้นเน้นคำศัพท์ดีกว่า เราน่าจะจำได้มากขึ้น ”
“ อืมดีเหมือนกัน น่าจะคิดได้ตั้งแต่แรก ” ยัยส้มพูดขึ้น
จากนั้นเราก็อ่านนั่งท่องจำได้สักพัก บ้างก็พลัดกันอ่านพลัดกันจำ บ้างก็พูดคำศัพท์ขึ้นมาแล้วให้ตอบให้ได้ เราสองคนทำแบบนี้หลายรอบกว่าจนตอนนี้จำได้ขึ้นใจแล้ว
“ จำได้แล้ว ดีใจจัง ” เราพูดพร้อมกัน
“ อืมตอนนี้ก็เย็นมากแล้วอ่ะ ” ฉันพูดพร้อมเหลือบมองนาฬิกา
“ งั้นฉันกลับก่อนนะ บอกแม่ไว้ว่ากลับเย็นอ่ะ” ฉันพูดพร้อมลุกจากเก้าอี้
“ งั้นเจอกันพรุ่งนี้แล้วกัน” ย้ยส้มพูด
“ โอเค บาย”
กลับมาถึงบ้าน ฉันเลื่อนประตูทางเข้าแล้วเดินตรงเข้าไปในบ้าน แต่รู้สึกทำไมเงียบจังปกติต้องมีเสียงแม่รดน้ำต้นไม้ทุกเย็นไม่ใช่หรอ ฉันมุ่งเข้าไปในบ้าน
“ แม่ค่ะ แม่ อยู่ไหนเนี้ย” ฉันเดินผ่านห้องรับแขกก็ไม่เจอเลยเดินเข้าไปดูในห้งครัว
“ แม่ค่ะ” ฉันตะดกนขึ้นอีก แล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นโน้ตติดอยู่กับตู้เย็นว่า “ วันนี้แม่ไปงานวันเกิดเพื่อน กลับดึกนะทำกับข้าวกินเองนะลูก”
“ เฮ้อ !! แม่ไม่อยู่อีก อยู่สองคนก้เหงาอยู่แล้วนี่ยิ่งอยู่คนเดียวไม่เหงาหรอเนี้ย”
“ ฉันมุ่งไปที่เตาหยิบกระทะเหล็ก มาเพื่อทำอาหารกิน”
หลังจากหาอะไรกินเรียบร้อยแล้ว ฉันก็อาบน้ำแต่งตัวอยู่บนห้องแล้วอ่านทบทวนคำศัพท์ในหนังสืออีกสักรอบสองรอบ แล้วหลับยาวเลย
เช้ารุ่งขึ้นฉันมาถึงรงเรียนเวลาเจ็ดโมงครึ่ง ฉันโทรนัดกับยัยส้มว่าจะเจอกันที่ม้านั่งก่อนเข้าห้องสอบ ม้านั่งสีขาวนั่งได้สองแต่เห็นคนหนึ่งอยู่นั่นคือเพื่อนฉันเอง
“ แกมาถึงนานยัง” ฉันถามเมื่อเจอหน้า
“ นัดฉันไกลจากห้องสอบไปไหม อยู่ตั้งโรงอาหาร” ฉันบ่นเบาๆ
“ นี่แก หลังสอบเสร็จไปดูละครเวทีกัน”
“ แล้วแกมีตั๋วหรอ” ฉันถาม
“ มีซิ ไม่งั้นจะชวนหรอ เป็นละคนเวทีเรื่องรักนิรันดร์ที่จะฉายในโรงละครรัชดาลัยเธียเตอร์ ฉันส่งข้อความตอบคถามได้อ่ะ” ยัยส้มพูดยืดยาว
“ อืม โอเค แต่ตอนนี้อ่านทบทวนก่อนนะ” ฉันพูด
“ได้” ยัยส้มตอบ
เมื่อถึงเวลาสอบฉันก็ทำข้อสอบได้ผ่านฉลุยโดยไม่ต้องนั่งคิดนานเลยอ่ะ เมื่อฉันทำเสร็จ ฉันก็ส่งอาจารย์แล้วมาคิดสิ่งที่ได้จากวันนั้น คือ สู้ด้วยใจที่มีความเพียร มีสติในการดำรงชีวิต ถ้าเรามีความเพียรสั่งนั้นจะยากแค่ไหนเราก็ผ่านไปได้และชีวิตของเราก็จะดียิ่งขึ้น
จากเว็ป http://oknation.nationtv.tv/blog/Mekky/2014/03/03/entry-3