วันสำคัญ(ของ)คนสำคัญ
เจียวต้าย
“.....คุณเจียวต้ายหรือครับ”
ประโยคแรกที่ผมได้ยิน เมื่อยกโทรศัพท์ขึ้นรับ หลังจากเสียงกริ่งดังขึ้น ที่เครื่องซึ่งวางอยู่บนโต๊ะข้างหลัง ที่นั่งทำงานของผมในห้องเอนกประสงค์
ขณะที่ผมกำลังตรวจสอบกระทู้ใหม่ ๆ ในถนนนักเขียนของห้องสมุดพันทิป
ในตอนเช้ามืดของวันที่ ๑๔ มกราคม ที่ผ่านมา
ผมถอนหายใจเฮือกเพราะจำเสียงผู้ที่พูดมาได้ เพื่อนรักในถนนนี้เอง ถ้าโทรมาเช้าแบบนี้ ย่อมมีเหตุขัดข้องแน่
“ ผม...เจียวต้ายครับ...”
แล้วก็จริงอย่างที่ผมคิด เพื่อนรีบแจ้งข้อขัดข้องด้วยความจำเป็นอย่างรีบด่วน ที่จะมาพบผมตามที่นัดไว้เมื่อวันวาน
ว่าจะไปงานแต่งงานของเพื่อนอีกสองคน ในถนนนักเขียนของเรานี้ ไม่ได้เสียแล้ว
ทำเอาผมใจหาย เพราะจะต้องไปโชว์เดี่ยวในงานที่ผมแทบไม่รู้จักใครเลยนี้
แต่เมื่อเพื่อนบอกกล่าวจบลงแล้ว ผมจึงค่อยรู้สึกโล่งอกขึ้น แต่ก็ยังหายใจไม่คล่องนัก เมื่อเขาทิ้งท้ายว่า
“........ผมพยายามจะกลับมาให้เร็วที่สุด และจะเข้าไปในงานเลย คุณเจียวต้ายรอผมด้วยนะ “
ผมจึงยื่นคำขาดไปว่า
“ ผมเองก็ไม่ค่อยสบาย ถ้าทุ่มกว่าแล้วอาจารย์ยังไม่มา ผมคงแอบกลับก่อนนะครับ “
ผมไม่ได้แกล้งขู่ เพราะผมป่วยเป็นโรคท้องเสียมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว
มีการกินเลี้ยงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ เมื่อ ๒๙ และ ๓๑ ธันวาคมปีก่อน แล้วก็ท้องเสียมาตลอด
จนค่อยทุเลาลงเมื่อ ๑๓ มกราคมปีนี้ หรือเมื่อวานนี้เอง
จึงทดลองไปงานปีใหม่รายสุดท้าย เมื่อคืนกลับบ้านเกือบสี่ทุ่ม
ก็ยังไม่มีอาการน่าวิตก
วันนี้จึงจะไปงานแต่งงานด้วยความหวังว่าจะปลอดโปร่ง
* * * * *
ผมก้าวลงจากรถโดยสารปรับอากาศสาย ๕๑๐ ที่ป้ายตรงสถานีรถไฟดอนเมือง เมื่อเวลาประมาณห้าโมงเย็น
หลังจากที่นั่งมาเพียงชั่วโมงเดียวจากอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิอันมีชื่อเสียงโด่งดังติดประวัติศาสตร์
ซึ่งคงไม่สามารถจะเป็นไปได้ในวันธรรมดา แต่วันนี้เป็นวันอาทิตย์ถนนจึงว่างมากมาย
แต่งานนี้เขากำหนดไว้หกโมงครึ่ง แล้วผมจะไปอยู่ที่ไหนดี
ความจริงผมคุ้นกับภูมิประเทศแถวนี้ดี เพราะเป็นถิ่นของเพื่อนเก่า
ซึ่งต้องมางานศพเขาเหล่านั้น ที่วัดดอนเมือง และวัดสีกัน อยู่บ่อยครั้ง
ผมจึงขึ้นสะพานลอยชั้นพิเศษ ที่สามารถจะแยกไปลงสถานีรถไฟ ชานชลาหนึ่ง
หรือเข้าอาคารผู้โดยสารเครื่องบินนอกประเทศของท่าอากาศยานดอนเมือง
หรือทะลุเข้าโรงแรมอมารี สถานที่จัดงานวันนี้ได้อย่างสบายมาก
ผมเลือกที่จะลงไปบนถนนหน้าโรงแรม เพื่อจะหาที่นั่งพักผ่อนหย่อนใจก่อนจะถึงเวลาตามบัตรเชิญ
แต่เดินไปทางทิศเหนือเป็นระยะทางหลายร้อยเมตร แล้วก็ไม่มีร้านริมทางอย่างที่เคยเห็นมาจนชินตา
ที่ทางแถวนั้นกลายเป็นที่โล่งมีร่องรอยของการรื้อถอนเป็นแนวยาวไปตลอด เหลืออยู่แต่วินมอร์เตอร์ไซค์ สองแห่งเท่านั้น
ผมจึงนึกขึ้นมาได้ว่า ท่าอากาศยานกรุงเทพนั้น เขาย้ายไปอยู่ที่สนามบินสุวรรณภูมิอันอื้อฉาวหมดแล้วตั้งแต่เมื่อเดือนกันยายนโน้น
ร้านค้าต่าง ๆ ที่เคยอุ่นหนาฝาคั่งไปด้วยลูกค้ามากมาย จึงพากันโยกย้ายสลายตัวไปตาม ๆ กัน แต่คงจะไม่ได้ย้ายไปที่สุวรรณภูมิด้วยเป็นแน่
ผมจึงต้องเดินย้อนกลับมาขึ้นสะพานลอยเจ้าเก่า
แล้วจึงสังเกตเห็นว่า ที่ปลายทางทั้งสองด้าน คือทางเข้าท่าอากาศยาน และทางเข้าโรงแรมเขาปิดใส่กุญแจดอกเบ้อเริ่มเทิ่ม
คราวนี้ผมลงบันไดไปที่สถานีรถไฟด้านขาออก มองหาร้านอาหารที่พอจะนั่งพักได้ ก็เจอแต่แผงว่างหลายแผง เหลืออยู่อย่างเงียบเหงาเพียงสองแห่ง
ผมจึงตัดสินใจเข้าไปนั่งแล้วก็รำพึงในใจถึงความไม่เที่ยงแท้แน่นอนของทุกสิ่งทุกอย่างในโลก
ใครจะคิดบ้างว่าสนามบินดอนเมืองที่เปิดใช้มาตั้งหลายสิบปี จะมีอันต้องย้ายไปอยู่ที่แห่งใหม่ ซึ่งเดิมเป็นหนองน้ำของงูเห่าได้ลงคอ
* * * *
ผมไต่บันไดลงมาที่หน้าโรงแรมอมารี เมื่อเวลาประมาณย่ำค่ำเกือบครึ่ง
เมื่อเดินข้ามถนนเข้าไปในห้องโถงกลางแล้วก็ไม่เห็นมีป้ายบอกชื่องานแต่งงานรายที่ผมตั้งใจมาเลย
แต่ถึงมีผมก็ไม่แน่ใจ เพราะผมไม่รู้จักชื่อจริงของทั้งเจ้าสาวและเจ้าบ่าว
ผมรู้จักแต่นามปากกาของเขาและเธอในถนนนักเขียนเท่านั้น
ลืมบอกไปว่าที่ผมมาแต่งงานเพื่อนสองคนนั้น ที่จริงเป็นงานเดียวเท่านั้น
ผมจึงต้องสอบถามจากเจ้าหน้าที่ของโรงแรม จึงได้ความว่าวันนี้มีงานรายเดียว
และชี้ทางให้ผมเดินไปจนถึงหน้างาน ซึ่งคู่บ่าวสาวกำลังถ่ายภาพร่วมกับแขกอยู่หน้าประตู
ผมพยายามยืนในที่มีแสงไฟส่องสว่าง ซึ่งก็ได้ผลเจ้าบ่าวเห็นผมแล้วก็เข้ามาทักทาย
จูงมือเข้าไปร่วมถ่ายภาพด้วย ผมจึงค่อยหายเก้อเพราะเจ้าสาวที่ผมเพิ่งเคยเห็นหน้าเป็นครั้งแรก เธอทักทายผมอย่างกับได้สนิทสนมกันมานาน
เมื่อเสร็จจากการถ่ายภาพแล้ว ก็มีใครคนหนึ่งเข้ามาบอกผมว่า
กลุ่มคนในถนนนักเขียนรวมกันอยู่ทางโน้น แล้วก็พาผมไปเข้ากลุ่ม
มีคนทักว่า ป๋ามาคนเดียวหรือ แล้วทั้งหญิงชายกลุ่มนั้น ร่วมสิบคน
ก็ยกมือคารวะจนผมต้องยกมือรับไหว้กราดไปราวกับนักมวยขึ้นเวทีเลยเชียวแหละ
ผมนั่งคุยกับนักเขียนชายสองสามคน ที่ผมจำชื่อไม่ได้ ปล่อยให้สุภาพสตรียืนจับกลุ่มอยู่ไม่นานนัก
เพื่อนของผมที่นัดกันไว้ก็ก้าวฉับ ๆ เข้ามาด้วยมาดของศาสตราจารย์สะพายย่ามใหญ่อย่างเคย
ก็มีคนทักกันเกรียวกราว ทำให้ผมเกิดความมั่นใจว่า ผมเลือกคู่ขาไม่ผิด
เมื่อทักถามถึงการเดินทางของทั้งสองฝ่ายแล้ว ก็มีคนมาเชิญให้เข้าไปในห้องจัดงาน ซึ่งมีโต๊ะของเหล่านักเขียนอยู่สองหรือสามโต๊ะก็ไม่แน่ใจ
เพราะผมก็ไม่รู้จักนักเขียนทั้งชายหญิง แม้แต่คนเดียว
เขาและเธอเหล่านั้นดูท่าทางสนิทสนมคุ้นเคยกันมาเป็นอย่างดี
ผิดกับผมซึ่งเหมือนคนแปลกหน้า ที่เข้ามาแจมในกระทู้ที่เขาคุยกันรู้เรื่องมาตั้งนานนมเอ๊ยนานเนมาแล้ว
ระหว่างที่นั่งรับประทานอาหารแบบบุฟเฟ่ ก็มีคนทราบว่าคนที่นั่งติดกับผมนั้นคืออาจารย์ที่เป็นนักเขียนมีชื่อ(ดัง)
ก็เข้ามาทักทายสวัสดีเป็นระยะ ๆ แล้วเมื่อเห็นผมซึ่งมีใบหน้าแก่กว่าอาจารย์ที่เขาและเธอนับถือ
ก็เลยพลอยไหว้และทักทายผมไปด้วย
รวมทั้งนักเขียนสาวน้อยสองท่านที่ใช้ชื่อตนเองว่าหนู แต่ไม่ใช่คุณหนู ที่เป็นเด็กชงเหล้าประจำอาศรมโคลง ซึ่งทำให้ผมคิดเป็นครั้งที่สองว่าผมเลือกเพื่อนไม่ผิด
ท่านแรกนั้นขอถ่ายภาพเดี่ยวบอกว่าจะเอาไปเปรียบเทียบกับเพื่อนอีกคนหนึ่ง ที่จับกลุ่มอยู่แถวท่าช้างวังหน้า วันเดียวกันนี้เอง
อีกท่านหนึ่งนั้นได้ความว่าเพิ่งเป็นสาวเมื่อเร็ว ๆ นี้เอง
เธอเอาสมุดบันทึกมาให้ผมเขียนข้อความ
ผมก็เข้าใจว่าคงจะเป็นทำนองสมุดเฟรนด์ชิป ที่ระลึกในการที่ได้เจอกันในงานนี้
แต่ที่แท้เพิ่งทราบทีหลังว่า วันรุ่งขึ้นจะเป็นวันเกิดของเธอเอง
ผมนั่งดื่มน้ำแข็งผสมโซดา เพราะในงานนี้ไม่มีการเสริฟเบียร์ พร้อมกับตาดูหูฟังรายการที่ดำเนินไปตามลำดับ จนท้องอืด
คู่บ่าวสาวจึงกล่าวขอบคุณแขกผู้มาร่วมงาน แล้วก็ตัดเค้กแต่งงาน และเดินมาถ่ายภาพร่วมกับแขกตามโต๊ะต่าง ๆ จนถึงโต๊ะที่ผมนั่งอยู่
ผู้รับเชิญทั้งหลายจึงทยอยกันลาเจ้าภาพกลับ
ผมจึงสะกิดเพื่อนว่าควรจะลากลับเหมือนกัน
ทั้ง ๆ ที่สงสารเพื่อนว่ายังดื่มวิสกี้ไม่ถึงสิบแก้ว ตามที่ตั้งปณิธานไว้เลย
ผมชวนเพื่อนขึ้นสะพานลอยตัวเดิม เดินกลับมาตามทางที่มีแสงไฟสลัว และปราศจากผู้คน เมื่อเวลาประมาณสามทุ่ม
เพื่อนแยกลงทางบันไดที่จะอยู่ริมถนนวิภาวดี เพื่อเรียกรถแท็กซี่กลับไปเอารถส่วนตัวที่โรงเรียน
ส่วนผมไปลงบันไดที่อยู่ริมถนนฝั่งตรงข้าม เพื่อขึ้นรถโดยสารปรับอากาศกลับไปอนุสาวรีย์ ตามเดิม
###############
วันสำคัญของคนสำคัญ ๑ ก.พ.๖๑
เจียวต้าย
“.....คุณเจียวต้ายหรือครับ”
ประโยคแรกที่ผมได้ยิน เมื่อยกโทรศัพท์ขึ้นรับ หลังจากเสียงกริ่งดังขึ้น ที่เครื่องซึ่งวางอยู่บนโต๊ะข้างหลัง ที่นั่งทำงานของผมในห้องเอนกประสงค์
ขณะที่ผมกำลังตรวจสอบกระทู้ใหม่ ๆ ในถนนนักเขียนของห้องสมุดพันทิป
ในตอนเช้ามืดของวันที่ ๑๔ มกราคม ที่ผ่านมา
ผมถอนหายใจเฮือกเพราะจำเสียงผู้ที่พูดมาได้ เพื่อนรักในถนนนี้เอง ถ้าโทรมาเช้าแบบนี้ ย่อมมีเหตุขัดข้องแน่
“ ผม...เจียวต้ายครับ...”
แล้วก็จริงอย่างที่ผมคิด เพื่อนรีบแจ้งข้อขัดข้องด้วยความจำเป็นอย่างรีบด่วน ที่จะมาพบผมตามที่นัดไว้เมื่อวันวาน
ว่าจะไปงานแต่งงานของเพื่อนอีกสองคน ในถนนนักเขียนของเรานี้ ไม่ได้เสียแล้ว
ทำเอาผมใจหาย เพราะจะต้องไปโชว์เดี่ยวในงานที่ผมแทบไม่รู้จักใครเลยนี้
แต่เมื่อเพื่อนบอกกล่าวจบลงแล้ว ผมจึงค่อยรู้สึกโล่งอกขึ้น แต่ก็ยังหายใจไม่คล่องนัก เมื่อเขาทิ้งท้ายว่า
“........ผมพยายามจะกลับมาให้เร็วที่สุด และจะเข้าไปในงานเลย คุณเจียวต้ายรอผมด้วยนะ “
ผมจึงยื่นคำขาดไปว่า
“ ผมเองก็ไม่ค่อยสบาย ถ้าทุ่มกว่าแล้วอาจารย์ยังไม่มา ผมคงแอบกลับก่อนนะครับ “
ผมไม่ได้แกล้งขู่ เพราะผมป่วยเป็นโรคท้องเสียมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว
มีการกินเลี้ยงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ เมื่อ ๒๙ และ ๓๑ ธันวาคมปีก่อน แล้วก็ท้องเสียมาตลอด
จนค่อยทุเลาลงเมื่อ ๑๓ มกราคมปีนี้ หรือเมื่อวานนี้เอง
จึงทดลองไปงานปีใหม่รายสุดท้าย เมื่อคืนกลับบ้านเกือบสี่ทุ่ม
ก็ยังไม่มีอาการน่าวิตก
วันนี้จึงจะไปงานแต่งงานด้วยความหวังว่าจะปลอดโปร่ง
* * * * *
ผมก้าวลงจากรถโดยสารปรับอากาศสาย ๕๑๐ ที่ป้ายตรงสถานีรถไฟดอนเมือง เมื่อเวลาประมาณห้าโมงเย็น
หลังจากที่นั่งมาเพียงชั่วโมงเดียวจากอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิอันมีชื่อเสียงโด่งดังติดประวัติศาสตร์
ซึ่งคงไม่สามารถจะเป็นไปได้ในวันธรรมดา แต่วันนี้เป็นวันอาทิตย์ถนนจึงว่างมากมาย
แต่งานนี้เขากำหนดไว้หกโมงครึ่ง แล้วผมจะไปอยู่ที่ไหนดี
ความจริงผมคุ้นกับภูมิประเทศแถวนี้ดี เพราะเป็นถิ่นของเพื่อนเก่า
ซึ่งต้องมางานศพเขาเหล่านั้น ที่วัดดอนเมือง และวัดสีกัน อยู่บ่อยครั้ง
ผมจึงขึ้นสะพานลอยชั้นพิเศษ ที่สามารถจะแยกไปลงสถานีรถไฟ ชานชลาหนึ่ง
หรือเข้าอาคารผู้โดยสารเครื่องบินนอกประเทศของท่าอากาศยานดอนเมือง
หรือทะลุเข้าโรงแรมอมารี สถานที่จัดงานวันนี้ได้อย่างสบายมาก
ผมเลือกที่จะลงไปบนถนนหน้าโรงแรม เพื่อจะหาที่นั่งพักผ่อนหย่อนใจก่อนจะถึงเวลาตามบัตรเชิญ
แต่เดินไปทางทิศเหนือเป็นระยะทางหลายร้อยเมตร แล้วก็ไม่มีร้านริมทางอย่างที่เคยเห็นมาจนชินตา
ที่ทางแถวนั้นกลายเป็นที่โล่งมีร่องรอยของการรื้อถอนเป็นแนวยาวไปตลอด เหลืออยู่แต่วินมอร์เตอร์ไซค์ สองแห่งเท่านั้น
ผมจึงนึกขึ้นมาได้ว่า ท่าอากาศยานกรุงเทพนั้น เขาย้ายไปอยู่ที่สนามบินสุวรรณภูมิอันอื้อฉาวหมดแล้วตั้งแต่เมื่อเดือนกันยายนโน้น
ร้านค้าต่าง ๆ ที่เคยอุ่นหนาฝาคั่งไปด้วยลูกค้ามากมาย จึงพากันโยกย้ายสลายตัวไปตาม ๆ กัน แต่คงจะไม่ได้ย้ายไปที่สุวรรณภูมิด้วยเป็นแน่
ผมจึงต้องเดินย้อนกลับมาขึ้นสะพานลอยเจ้าเก่า
แล้วจึงสังเกตเห็นว่า ที่ปลายทางทั้งสองด้าน คือทางเข้าท่าอากาศยาน และทางเข้าโรงแรมเขาปิดใส่กุญแจดอกเบ้อเริ่มเทิ่ม
คราวนี้ผมลงบันไดไปที่สถานีรถไฟด้านขาออก มองหาร้านอาหารที่พอจะนั่งพักได้ ก็เจอแต่แผงว่างหลายแผง เหลืออยู่อย่างเงียบเหงาเพียงสองแห่ง
ผมจึงตัดสินใจเข้าไปนั่งแล้วก็รำพึงในใจถึงความไม่เที่ยงแท้แน่นอนของทุกสิ่งทุกอย่างในโลก
ใครจะคิดบ้างว่าสนามบินดอนเมืองที่เปิดใช้มาตั้งหลายสิบปี จะมีอันต้องย้ายไปอยู่ที่แห่งใหม่ ซึ่งเดิมเป็นหนองน้ำของงูเห่าได้ลงคอ
* * * *
ผมไต่บันไดลงมาที่หน้าโรงแรมอมารี เมื่อเวลาประมาณย่ำค่ำเกือบครึ่ง
เมื่อเดินข้ามถนนเข้าไปในห้องโถงกลางแล้วก็ไม่เห็นมีป้ายบอกชื่องานแต่งงานรายที่ผมตั้งใจมาเลย
แต่ถึงมีผมก็ไม่แน่ใจ เพราะผมไม่รู้จักชื่อจริงของทั้งเจ้าสาวและเจ้าบ่าว
ผมรู้จักแต่นามปากกาของเขาและเธอในถนนนักเขียนเท่านั้น
ลืมบอกไปว่าที่ผมมาแต่งงานเพื่อนสองคนนั้น ที่จริงเป็นงานเดียวเท่านั้น
ผมจึงต้องสอบถามจากเจ้าหน้าที่ของโรงแรม จึงได้ความว่าวันนี้มีงานรายเดียว
และชี้ทางให้ผมเดินไปจนถึงหน้างาน ซึ่งคู่บ่าวสาวกำลังถ่ายภาพร่วมกับแขกอยู่หน้าประตู
ผมพยายามยืนในที่มีแสงไฟส่องสว่าง ซึ่งก็ได้ผลเจ้าบ่าวเห็นผมแล้วก็เข้ามาทักทาย
จูงมือเข้าไปร่วมถ่ายภาพด้วย ผมจึงค่อยหายเก้อเพราะเจ้าสาวที่ผมเพิ่งเคยเห็นหน้าเป็นครั้งแรก เธอทักทายผมอย่างกับได้สนิทสนมกันมานาน
เมื่อเสร็จจากการถ่ายภาพแล้ว ก็มีใครคนหนึ่งเข้ามาบอกผมว่า
กลุ่มคนในถนนนักเขียนรวมกันอยู่ทางโน้น แล้วก็พาผมไปเข้ากลุ่ม
มีคนทักว่า ป๋ามาคนเดียวหรือ แล้วทั้งหญิงชายกลุ่มนั้น ร่วมสิบคน
ก็ยกมือคารวะจนผมต้องยกมือรับไหว้กราดไปราวกับนักมวยขึ้นเวทีเลยเชียวแหละ
ผมนั่งคุยกับนักเขียนชายสองสามคน ที่ผมจำชื่อไม่ได้ ปล่อยให้สุภาพสตรียืนจับกลุ่มอยู่ไม่นานนัก
เพื่อนของผมที่นัดกันไว้ก็ก้าวฉับ ๆ เข้ามาด้วยมาดของศาสตราจารย์สะพายย่ามใหญ่อย่างเคย
ก็มีคนทักกันเกรียวกราว ทำให้ผมเกิดความมั่นใจว่า ผมเลือกคู่ขาไม่ผิด
เมื่อทักถามถึงการเดินทางของทั้งสองฝ่ายแล้ว ก็มีคนมาเชิญให้เข้าไปในห้องจัดงาน ซึ่งมีโต๊ะของเหล่านักเขียนอยู่สองหรือสามโต๊ะก็ไม่แน่ใจ
เพราะผมก็ไม่รู้จักนักเขียนทั้งชายหญิง แม้แต่คนเดียว
เขาและเธอเหล่านั้นดูท่าทางสนิทสนมคุ้นเคยกันมาเป็นอย่างดี
ผิดกับผมซึ่งเหมือนคนแปลกหน้า ที่เข้ามาแจมในกระทู้ที่เขาคุยกันรู้เรื่องมาตั้งนานนมเอ๊ยนานเนมาแล้ว
ระหว่างที่นั่งรับประทานอาหารแบบบุฟเฟ่ ก็มีคนทราบว่าคนที่นั่งติดกับผมนั้นคืออาจารย์ที่เป็นนักเขียนมีชื่อ(ดัง)
ก็เข้ามาทักทายสวัสดีเป็นระยะ ๆ แล้วเมื่อเห็นผมซึ่งมีใบหน้าแก่กว่าอาจารย์ที่เขาและเธอนับถือ
ก็เลยพลอยไหว้และทักทายผมไปด้วย
รวมทั้งนักเขียนสาวน้อยสองท่านที่ใช้ชื่อตนเองว่าหนู แต่ไม่ใช่คุณหนู ที่เป็นเด็กชงเหล้าประจำอาศรมโคลง ซึ่งทำให้ผมคิดเป็นครั้งที่สองว่าผมเลือกเพื่อนไม่ผิด
ท่านแรกนั้นขอถ่ายภาพเดี่ยวบอกว่าจะเอาไปเปรียบเทียบกับเพื่อนอีกคนหนึ่ง ที่จับกลุ่มอยู่แถวท่าช้างวังหน้า วันเดียวกันนี้เอง
อีกท่านหนึ่งนั้นได้ความว่าเพิ่งเป็นสาวเมื่อเร็ว ๆ นี้เอง
เธอเอาสมุดบันทึกมาให้ผมเขียนข้อความ
ผมก็เข้าใจว่าคงจะเป็นทำนองสมุดเฟรนด์ชิป ที่ระลึกในการที่ได้เจอกันในงานนี้
แต่ที่แท้เพิ่งทราบทีหลังว่า วันรุ่งขึ้นจะเป็นวันเกิดของเธอเอง
ผมนั่งดื่มน้ำแข็งผสมโซดา เพราะในงานนี้ไม่มีการเสริฟเบียร์ พร้อมกับตาดูหูฟังรายการที่ดำเนินไปตามลำดับ จนท้องอืด
คู่บ่าวสาวจึงกล่าวขอบคุณแขกผู้มาร่วมงาน แล้วก็ตัดเค้กแต่งงาน และเดินมาถ่ายภาพร่วมกับแขกตามโต๊ะต่าง ๆ จนถึงโต๊ะที่ผมนั่งอยู่
ผู้รับเชิญทั้งหลายจึงทยอยกันลาเจ้าภาพกลับ
ผมจึงสะกิดเพื่อนว่าควรจะลากลับเหมือนกัน
ทั้ง ๆ ที่สงสารเพื่อนว่ายังดื่มวิสกี้ไม่ถึงสิบแก้ว ตามที่ตั้งปณิธานไว้เลย
ผมชวนเพื่อนขึ้นสะพานลอยตัวเดิม เดินกลับมาตามทางที่มีแสงไฟสลัว และปราศจากผู้คน เมื่อเวลาประมาณสามทุ่ม
เพื่อนแยกลงทางบันไดที่จะอยู่ริมถนนวิภาวดี เพื่อเรียกรถแท็กซี่กลับไปเอารถส่วนตัวที่โรงเรียน
ส่วนผมไปลงบันไดที่อยู่ริมถนนฝั่งตรงข้าม เพื่อขึ้นรถโดยสารปรับอากาศกลับไปอนุสาวรีย์ ตามเดิม
###############