เรื่องเล่าของคนวัยทอง
ผู้มี(แต่)น้ำใจ
“ เพทาย “
ผมเป็นคนค่อนข้างจะโชคดี ที่ได้รับความเอื้อเฟื้อ จากผู้มีน้ำใจอันดีงาม อยู่บ่อย ครั้งในชีวิต อย่างเช่นการโดยสารรถประจำทางนั้น จะมีผู้ลุกให้นั่งอยู่เสมอ ตั้งแต่ยังเพิ่งจะเริ่มแก่ จนถึงแก่มากอย่างเดี๋ยวนี้ ผู้มีน้ำใจเหล่านั้น มีทั้งผู้ชายผู้หญิง เด็กชายและเด็กหญิง ถ้ายืนโหนราวอยู่ด้วยกัน และมีที่นั่งว่าง เธอเหล่านั้นจะพยักหน้า ให้ผมนั่งก่อนเป็นประจำ แรก ๆ ผมก็ปฏิเสธว่าไม่เป็นไรบ้าง เดี๋ยวจะลงบ้าง
แต่ระยะหลังก็ยินดีที่จะรับความเอื้อเฟื้อนั้น เพราะสังขารร่วงโรยลงเป็นอันดับสี่ ของผู้ที่ควรได้รับความเอื้อเฟื้อ ถัดจากเด็ก สตรี คนพิการ นั่นเอง
สำหรับผมเองนั้น ก็ได้พยายามแสดงน้ำใจและเอื้อเฟื้อต่อผู้อื่น เท่าที่สามารถทำได้เสมอ เพื่อเป็นการตอบแทนน้ำใจที่ผมเคยได้รับ นอกจากการให้ทานแก่ผู้ที่ขอ ทุกประเภท โดยไม่มีข้อแม้ใด ๆ แม้จะเป็นจำนวนเล็กน้อยก็ตาม และให้ทุกครั้งที่พบเห็น นอกจากเศษเหรียญจะหมดกระเป๋าเสียก่อนแล้ว
วันหนึ่งผมไปเดินอยู่ที่ใต้สถานีรถไฟฟ้าสาทร ติดกับสะพานตากสิน ผ่านวนิพกสองราย คนหนึ่งเป่าแคนอีกคนหนึ่งถือไมโครโฟนแต่ยังไม่ได้ร้อง จึงไม่รู้ว่าจะเป็นเพลงอะไร แต่ทั้งสองตาบอดทั้งคู่ ผมก็ใส่กระบอกให้ไปคนละสองบาท
เมื่อเดินต่อมาอีกหน่อยก็พบหญิงชรา นั่งอยู่ข้างทางเท้าเหมือนกับนั่งพักเหนื่อย แต่พอผมเดินจะผ่านหน้า แกก็ยกมือขึ้นพนมพึมพำว่าอะไรไม่ทันได้ยิน ผมก็ล้วงลงไปในกระเป๋ากางเกง หยิบเหรียญออกมาทั้งหมด เป็นเหรียญบาทสามอัน ใส่ลงในฝ่ามือทั้งคู่นั้น แล้วก็เดินเลยไปโดยไม่รอฟังคำอวยชัยให้พรที่ตามมาข้างหลัง
ผมแวะที่ร้านก๋วยเตี๋ยวว่าจะรองท้องสักชาม เพราะเป็นเวลาบ่ายมากแล้ว เมื่อถามหาน้ำดื่มที่มีดีกรี เถ้าแก่บอกว่าไม่มีจึงเดินไปที่ทางเท้าฝั่งตรงข้าม ซึ่งมีรถเข็นเครื่องดื่มนานาชนิด จอดขายหลายคัน ผมส่งแบ๊งค์ร้อยขอซื้อเบียร์กระป๋องหนึ่งในราคายี่สิบสามบาท ให้เด็กสาวคนขาย ซึ่งในสายตาของผมเห็นว่าสวย ตามประสาคนชอบของขม
เมื่อรับถุงเบียร์และเงินทอนแล้วผมก็เดินกลับมายืนอยู่ริมทางเท้ารอถนนว่าง เอาเศษเหรียญใส่กระเป๋ากางเกง แล้วก็คลี่ธนบัตรในมือซึ่งเป็นใบละยี่สิบบาทสามใบ คิดทบทวนว่าเด็กคนขายทอนให้ครบหรือเปล่า ก็พอดีเธอผู้นั้นตามมาถามว่าเมื่อกี้ทอนขาดไปสิบบาทใช่ไหม ผมก็ยังไม่หายงงและตอบไม่ได้ เธอจึงส่งเหรียญสิบบาทใส่มือผม แล้วก็เดินกลับไปโดยไม่รอคำขอบคุณของผม
เมื่อผมกินก๋วยเตี๋ยวเสร็จแล้ว ล้วงหาเงินค่าน้ำแข็งเปล่า ผมจึงรู้ว่ามีเหรียญสิบบาทอยู่สองเหรียญ ผมรีบย้อนกลับมาหาเธอผู้ขาย แล้วคืนเหรียญสิบบาทนั้นให้เธอ และบอกว่าเธอทอนเกิน คราวนี้เธอกลับขอบคุณด้วยหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ทำให้ผมต้องซื้อเบียร์อีกหนึ่งกระป๋อง ตุนไว้ในย่าม เพื่อตอบแทนน้ำใจของเธอ
อีกวันหนึ่งที่วงเวียนใหญ่ฝั่งธนบุรี ผมพบชายร่างสูงคนหนึ่ง อายุคงจะไม่เกิน ๔๐ ปี แต่หน้าแก่เพราะหนวดเครายาวรกระเกะระกะ และผมฟูเป็นกระเซิงเหมือนไม่ได้เคยหวีมาตลอดชีวิต เขานุ่งกางเกงขาสั้นกระดำกระด่าง ดูมอมแมม เหมือนกับไปนอนอยู่ตามทางเท้ามา เพราะเสื้อก็มีความสกปรกพอกัน จนแทบจะไม่รู้ว่าเดิมเคยเป็นสีอะไร เขาถือถุงน้ำแข็งใส่น้ำชา เดินเข้ามาในร้านก๋วยเตี๋ยวใกล้สะพานลอย เมื่อนั่งลงที่โต๊ะแรกใกล้ประตูร้าน และหาที่แขวนถุงน้ำแข็งได้แล้ว ก็หันไปหาเด็กผู้บริการของร้าน ที่เข้ามายืนเมียงมองอยู่ใกล้ ๆ แล้วสั่งก๋วยเตี๋ยวน้ำด้วยเสียงเบาแทบไม่ได้ยิน เมื่อเห็นเด็กคนนั้นยังไม่ถอยออกไปจัดการตามสั่ง ก็ควักกระเป๋ากางเกงหยิบเงินซึ่งเป็นเหรียญทั้งหมดออกมาให้ เด็กจึงเดินไปสั่งก๋วยเตี๋ยว เมื่อได้ของตามที่ต้องการแล้ว เขาก็ลงมือกินอย่างละเมียดละไม ไม่ได้รีบร้อน
ผมมองเห็นเหตุการณ์นั้นตั้งแต่ต้น เมื่อเสร็จธุระในการกินก๋วยเตี๋ยวของผม และชำระเงินแล้ว ขณะที่จะเดินผ่านชายผู้นั้นก่อนออกจากร้าน ผมก็ก้มหน้าลงไปกระซิบว่า ผมขอออกเงินค่าก๋วยเตี๋ยวชามนี้จะได้ไหมครับ ชายขะมุกขะมอมผู้นั้นสั่นศรีษะ ผมจึงถามย้ำอีกว่าไม่ต้องหรือครับ คราวนี้เขาพยักหน้า ผมจึงเดินออกจากร้านไปด้วยความผิดหวัง เขาคงจะเลิกงานแล้ว
เรื่องของความอยากจะแสดงน้ำใจ แต่ไม่สำเร็จนี้ผมเคยเจอหลายครั้ง อย่างคราวหนึ่งผมจะนั่งเรือข้ามฟากแม่น้ำเจ้าพระยา จากท่าพระจันทร์ไปยังท่าวังหลัง แต่ผมลงไปที่ท่าไม่ทันเรือที่รออยู่ได้ออกไปอย่างหวุดหวิด ผมไม่กล้ากระโดดตามเพราะเจียมสังขาร คงยืนรออยู่บนโป๊ะซึ่งไหวโยกเยกนั้นอยู่ครู่หนึ่ง เรือลำใหม่ก็เข้ามาจอดอีก คราวนี้ผมคอยให้ผู้คนขึ้นจนหมดแล้วก็ลงไปนั่งรอในเรืออย่างสบาย สักพักหนึ่งพอเรือขยับจะเคลื่อนออกจากท่า ก็มีเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ สองคนวิ่งลงมาตามสะพานที่ทอดอยู่กับโป๊ะ คนโตอายุประมาสักหกเจ็ดขวบ โดดลงเรือซึ่งกำลังห่างออกจากท่าอย่างว่องไว ส่วนคนเล็กที่ตามหลังอายุคงประมาณสักห้าหกขวบ ต้องหยุดชะงักไม่กล้าโดดตาม คงยืนมองเรือที่แล่นห่างออกไปด้วยสายตาละห้อย เกือบจะร้องไห้ ผมก็พลอยโล่งอกไปด้วย เพราะไม่แน่ว่าถ้าผลีผลามโดดตามเรือ เธอจะปลอดภัยหรือหล่นลงไปในน้ำกันแน่
เมื่อเรือแล่นมาจอดที่ท่าวังหลัง ผมก็ก้าวจากเรือขึ้นบนท่า พร้อมกับผู้โดยสารทั้งหมด แล้วก็เดินไปตามสะพานที่ทอดขึ้นจากโป๊ะ บังเอิญเด็กหญิงคนโตเดินมาใกล้ผม ด้วยความเป็นห่วงเด็กหญิงคนเล็ก จึงถามเธอว่าหนูไม่ลงเรือกลับไปรับน้องที่ฝั่งโน้นหรือ เธอตอบโดยไม่หันมามองหน้าผมว่า เดี๋ยวมันก็มาได้เองหรอกลุ้ง ผมเลยเลิกห่วง
อีกคราวหนึ่งผมนั่งรถเมล์สายสามสิบแปด จากซอยอโศกจะมาที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ระหว่างทางผ่านสถาบันชั้นอุดมศึกษา มีนักศึกษาหญิงขึ้นมาหลายคน ทุกคนได้นั่งหมดแล้ว เหลืออยู่คนหนึ่ง เข้ามายืนอยู่ตรงหน้าผม ซึ่งนั่งด้านข้างของกระโปรงเครื่องยนต์ มือของเธอผู้นั้นเอื้อมจับราวอย่างหมิ่นเหม่ เพราะเสื้อที่เธอสวมใส่อยู่นั้นคงจะผิดเบอร์ จึงคับและสั้นเต็มที ผมขยับตัวให้มีที่ว่าง แต่ก็ยังแคบเกินไปกว่าที่เธอจะนั่งลง จึงต้องยืนอย่างไม่มั่นคงต่อมาอีกสองป้าย ผู้ที่นั่งติดสองข้างของผม เป็นชายหนุ่มกว่าผมมาก ก็เมินมองไปเสียทางอื่น
ผมทนดูภาพที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้ จึงตัดสินใจลงที่ป้ายถัดไป เพื่อให้เธอได้นั่ง แล้วผมก็รอขึ้นรถเบอร์เดียวกันอีก ซึ่งรออยู่ไม่นานนักก็มา คันนี้มีที่ว่างผมก็ได้นั่งอีก แต่พอผ่าน สี่แยกมักกะสัน มีเด็กนักเรียนมัธยมขึ้นมาเต็มคันรถ ทั้งหญิงและชาย ส่วนใหญ่ต้องยืน เลยไม่รู้จะทำยังไง ต้องทนมองเด็กยืนกันเต็มทั้งคันรถอยู่อีกนาน กว่าจะถึงที่หมาย
ผมลงจากรถเมล์ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ แล้วก็เดินขึ้นสะพานลอยที่ทอดยาวเหยียด มาลงบันไดที่หน้าโรงพยาบาลราชวิถี ซึ่งเป็นที่จอดรถประจำทางทุกสายที่จะผ่านไปทางบ้านผม ในไม่ช้าผมก็ได้ขึ้นรถสีค่อนข้างขาวสายหนึ่ง ซึ่งแล่นมาจากต้นทางแถวแยกรัชโยธินในถนนพหลโยธิน รถคันนี้มีผู้โดยสารเต็มที่นั่งและยืน แต่มีผู้ลุกขึ้นให้ผมได้นั่ง บนม้ายาวที่อยู่ด้านซ้ายของคนขับ ใกล้กับหญิงสาววัยเลยรุ่นคนหนึ่ง ที่อุ้มลูกน้อยอยู่ในวงแขน ทารกนั้นยังเล็กมากอายุคงไม่กี่เดือน ท่าทางที่อุ้มนั้นดูเก้งก้างไม่ทะมัดทะแมง คงจะเป็นคุณแม่หัดใหม่ ข้างกายของเธอมีถุงย่ามใบเล็กที่ใส่ของกระจุกกระจิก เกี่ยวกับเด็กอ่อน และมีขวดนมซุกอยู่ด้วย รถคันนี้แล่นไปค่อนข้างเร็ว ด้วยฝีมือและฝีเท้าอันเชี่ยวชาญของคนขับ จึงทำให้ผู้โดยสารหัวสั่นหัวคลอนมาตลอดระยะทาง
จนทารกน้อยตกใจตื่น และทำท่าจะร้องโยเยขึ้น ผู้เป็นแม่หันรีหันขวางแล้วก็ขยับตัวจะหยิบขวดนมในถุง ก็บังเอิญให้ถุงหล่นจากที่นั่งลงไปบนพื้น สิ่งของหลายชิ้นกลิ้งออกมากองบนพื้นรถ เธอเลยหมดปัญญาที่จะก้มลงไปจัดการได้ด้วยตนเอง เพราะลูกน้อยยังอยู่ในอ้อมแขน ผมจึงต้องก้มลงหยิบของเหล่านั้นใส่ถุง และส่งขวดนมให้เธอซึ่งพอดีกับหนูน้อยได้ส่งเสียงร้องขึ้น เธอรับไปใส่ปากให้ลูก และยิ้มขอบคุณ ผมจึงเอาถุงนั้นวางลงบนตักของผมเอง เพื่อป้องกันไม่ให้มันหล่นลงไปอีก
ผมมองดูสองแม่ลูกด้วยความรู้สึกสงสาร ในความลำบากนั้นอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ตัดสินใจถามว่าเธอจะไปไหน ก็ได้คำตอบว่าจะไปโรงพยาบาลวขิระ ถามต่อว่าลูกป่วยเป็นอะไร เธอบอกว่าพาไปฉีดยาป้องกันโรคของเด็ก ตามหมอสั่ง ผมไม่กล้าถามว่าทำไมพ่อของเด็กไม่มาด้วย เหมือนอย่างที่ผมเคยเห็นพ่อแม่หัดใหม่ ซึ่งกำลังเห่อลูกคนแรก เขาทำกันเป็นปกติ แต่ถามว่าทำไมไม่ขึ้นรถแท็กซี่ พาลูกกระเตงมาคนเดียวแบบนี้ลำบากแย่ ทั้งแม่ทั้งลูก เธอตอบเบา ๆ ว่าไม่มีเงิน
ผมสะดุดใจกึกเพราะไม่ได้คิดถึงข้อนี้ พอดีรถจอดป้ายหน้าธนาคารที่เลยสี่แยก ซังฮี้ไปหน่อย เธอก็ลุกขึ้นจะลง ผมจึงถือถุงตามลงไปด้วย เธอจะต้องเดินย้อนกลับไปโรงพยาบาลซึ่งยังอยู่อีกไกลพอสมควร ผมอยากจะตามไปช่วยเหลือเธอ แต่ก็สองจิตสองใจ จึงส่งถุงคืนให้เธอรับไปด้วยปลายนิ้ว และกล่าวคำขอบคุณ ก่อนที่จะเดินไปตามทางของเธอ
ผมรีบหันเข้าหาตู้เอทีเอ็มที่ตั้งอยู่หน้าธนาคารนั้น กดเอาเงินออกมาสองร้อยบาท แล้วก็รีบเดินจ้ำตามแม่ลูกอ่อนนั้นไป คราวนี้เธอจะมีค่ารถแท็กซี่กลับบ้านละ ผมนึกในใจ แต่เธอข้ามถนนไปไกลแล้ว ผมยังต้องติดไฟแดงอยู่อีกนาน ตามธรรมเนียมของสี่แยกนี้ เพราะมีรถเลี้ยวขึ้นสะพานกรุงธนมากมายตลอดเวลา จนเธอเดินหายไปจากสายตา
เมื่อผมไปถึงโรงพยาบาลนั้น ก็เห็นแต่ผู้คนที่มาใช้บริการ คลาคล่ำไปหมด มีแต่คนเดินผ่านไปมาจนตาลาย ผมเดินไปมาตามหน้าห้องต่าง ๆ หลายตลบ ก็ไม่พบเธอผู้นั้นเลย เพราะผมไม่ได้ถามว่าเธอจะไปหาหมอที่ห้องไหน และข้อสำคัญคือผมก็ไม่แน่ใจว่าจะจำเธอได้ เพราะเมื่อนั่งอยู่บนรถเมล์ เธอไม่ได้หันหน้ามาทางผมเลย
ผมเดินกลับเข้าบ้านด้วยความเสียดาย ที่ไม่ได้ช่วยเหลือเธอตามความตั้งใจ แต่ก็ต้องปลงว่า คงไม่ใช่ความผิดของผมที่ไม่ช่วยเธอเสียตั้งแต่ทีแรก เพราะผมมีแต่เศษเหรียญในกระเป๋าเพียงไม่กี่อัน
ผมจึงได้แต่ส่งใจไปช่วยเธอ เท่านั้น.
#########
ผู้มี(แต่)น้ำใจ ๓๑ ม.ค.๖๑
ผู้มี(แต่)น้ำใจ
“ เพทาย “
ผมเป็นคนค่อนข้างจะโชคดี ที่ได้รับความเอื้อเฟื้อ จากผู้มีน้ำใจอันดีงาม อยู่บ่อย ครั้งในชีวิต อย่างเช่นการโดยสารรถประจำทางนั้น จะมีผู้ลุกให้นั่งอยู่เสมอ ตั้งแต่ยังเพิ่งจะเริ่มแก่ จนถึงแก่มากอย่างเดี๋ยวนี้ ผู้มีน้ำใจเหล่านั้น มีทั้งผู้ชายผู้หญิง เด็กชายและเด็กหญิง ถ้ายืนโหนราวอยู่ด้วยกัน และมีที่นั่งว่าง เธอเหล่านั้นจะพยักหน้า ให้ผมนั่งก่อนเป็นประจำ แรก ๆ ผมก็ปฏิเสธว่าไม่เป็นไรบ้าง เดี๋ยวจะลงบ้าง
แต่ระยะหลังก็ยินดีที่จะรับความเอื้อเฟื้อนั้น เพราะสังขารร่วงโรยลงเป็นอันดับสี่ ของผู้ที่ควรได้รับความเอื้อเฟื้อ ถัดจากเด็ก สตรี คนพิการ นั่นเอง
สำหรับผมเองนั้น ก็ได้พยายามแสดงน้ำใจและเอื้อเฟื้อต่อผู้อื่น เท่าที่สามารถทำได้เสมอ เพื่อเป็นการตอบแทนน้ำใจที่ผมเคยได้รับ นอกจากการให้ทานแก่ผู้ที่ขอ ทุกประเภท โดยไม่มีข้อแม้ใด ๆ แม้จะเป็นจำนวนเล็กน้อยก็ตาม และให้ทุกครั้งที่พบเห็น นอกจากเศษเหรียญจะหมดกระเป๋าเสียก่อนแล้ว
วันหนึ่งผมไปเดินอยู่ที่ใต้สถานีรถไฟฟ้าสาทร ติดกับสะพานตากสิน ผ่านวนิพกสองราย คนหนึ่งเป่าแคนอีกคนหนึ่งถือไมโครโฟนแต่ยังไม่ได้ร้อง จึงไม่รู้ว่าจะเป็นเพลงอะไร แต่ทั้งสองตาบอดทั้งคู่ ผมก็ใส่กระบอกให้ไปคนละสองบาท
เมื่อเดินต่อมาอีกหน่อยก็พบหญิงชรา นั่งอยู่ข้างทางเท้าเหมือนกับนั่งพักเหนื่อย แต่พอผมเดินจะผ่านหน้า แกก็ยกมือขึ้นพนมพึมพำว่าอะไรไม่ทันได้ยิน ผมก็ล้วงลงไปในกระเป๋ากางเกง หยิบเหรียญออกมาทั้งหมด เป็นเหรียญบาทสามอัน ใส่ลงในฝ่ามือทั้งคู่นั้น แล้วก็เดินเลยไปโดยไม่รอฟังคำอวยชัยให้พรที่ตามมาข้างหลัง
ผมแวะที่ร้านก๋วยเตี๋ยวว่าจะรองท้องสักชาม เพราะเป็นเวลาบ่ายมากแล้ว เมื่อถามหาน้ำดื่มที่มีดีกรี เถ้าแก่บอกว่าไม่มีจึงเดินไปที่ทางเท้าฝั่งตรงข้าม ซึ่งมีรถเข็นเครื่องดื่มนานาชนิด จอดขายหลายคัน ผมส่งแบ๊งค์ร้อยขอซื้อเบียร์กระป๋องหนึ่งในราคายี่สิบสามบาท ให้เด็กสาวคนขาย ซึ่งในสายตาของผมเห็นว่าสวย ตามประสาคนชอบของขม
เมื่อรับถุงเบียร์และเงินทอนแล้วผมก็เดินกลับมายืนอยู่ริมทางเท้ารอถนนว่าง เอาเศษเหรียญใส่กระเป๋ากางเกง แล้วก็คลี่ธนบัตรในมือซึ่งเป็นใบละยี่สิบบาทสามใบ คิดทบทวนว่าเด็กคนขายทอนให้ครบหรือเปล่า ก็พอดีเธอผู้นั้นตามมาถามว่าเมื่อกี้ทอนขาดไปสิบบาทใช่ไหม ผมก็ยังไม่หายงงและตอบไม่ได้ เธอจึงส่งเหรียญสิบบาทใส่มือผม แล้วก็เดินกลับไปโดยไม่รอคำขอบคุณของผม
เมื่อผมกินก๋วยเตี๋ยวเสร็จแล้ว ล้วงหาเงินค่าน้ำแข็งเปล่า ผมจึงรู้ว่ามีเหรียญสิบบาทอยู่สองเหรียญ ผมรีบย้อนกลับมาหาเธอผู้ขาย แล้วคืนเหรียญสิบบาทนั้นให้เธอ และบอกว่าเธอทอนเกิน คราวนี้เธอกลับขอบคุณด้วยหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ทำให้ผมต้องซื้อเบียร์อีกหนึ่งกระป๋อง ตุนไว้ในย่าม เพื่อตอบแทนน้ำใจของเธอ
อีกวันหนึ่งที่วงเวียนใหญ่ฝั่งธนบุรี ผมพบชายร่างสูงคนหนึ่ง อายุคงจะไม่เกิน ๔๐ ปี แต่หน้าแก่เพราะหนวดเครายาวรกระเกะระกะ และผมฟูเป็นกระเซิงเหมือนไม่ได้เคยหวีมาตลอดชีวิต เขานุ่งกางเกงขาสั้นกระดำกระด่าง ดูมอมแมม เหมือนกับไปนอนอยู่ตามทางเท้ามา เพราะเสื้อก็มีความสกปรกพอกัน จนแทบจะไม่รู้ว่าเดิมเคยเป็นสีอะไร เขาถือถุงน้ำแข็งใส่น้ำชา เดินเข้ามาในร้านก๋วยเตี๋ยวใกล้สะพานลอย เมื่อนั่งลงที่โต๊ะแรกใกล้ประตูร้าน และหาที่แขวนถุงน้ำแข็งได้แล้ว ก็หันไปหาเด็กผู้บริการของร้าน ที่เข้ามายืนเมียงมองอยู่ใกล้ ๆ แล้วสั่งก๋วยเตี๋ยวน้ำด้วยเสียงเบาแทบไม่ได้ยิน เมื่อเห็นเด็กคนนั้นยังไม่ถอยออกไปจัดการตามสั่ง ก็ควักกระเป๋ากางเกงหยิบเงินซึ่งเป็นเหรียญทั้งหมดออกมาให้ เด็กจึงเดินไปสั่งก๋วยเตี๋ยว เมื่อได้ของตามที่ต้องการแล้ว เขาก็ลงมือกินอย่างละเมียดละไม ไม่ได้รีบร้อน
ผมมองเห็นเหตุการณ์นั้นตั้งแต่ต้น เมื่อเสร็จธุระในการกินก๋วยเตี๋ยวของผม และชำระเงินแล้ว ขณะที่จะเดินผ่านชายผู้นั้นก่อนออกจากร้าน ผมก็ก้มหน้าลงไปกระซิบว่า ผมขอออกเงินค่าก๋วยเตี๋ยวชามนี้จะได้ไหมครับ ชายขะมุกขะมอมผู้นั้นสั่นศรีษะ ผมจึงถามย้ำอีกว่าไม่ต้องหรือครับ คราวนี้เขาพยักหน้า ผมจึงเดินออกจากร้านไปด้วยความผิดหวัง เขาคงจะเลิกงานแล้ว
เรื่องของความอยากจะแสดงน้ำใจ แต่ไม่สำเร็จนี้ผมเคยเจอหลายครั้ง อย่างคราวหนึ่งผมจะนั่งเรือข้ามฟากแม่น้ำเจ้าพระยา จากท่าพระจันทร์ไปยังท่าวังหลัง แต่ผมลงไปที่ท่าไม่ทันเรือที่รออยู่ได้ออกไปอย่างหวุดหวิด ผมไม่กล้ากระโดดตามเพราะเจียมสังขาร คงยืนรออยู่บนโป๊ะซึ่งไหวโยกเยกนั้นอยู่ครู่หนึ่ง เรือลำใหม่ก็เข้ามาจอดอีก คราวนี้ผมคอยให้ผู้คนขึ้นจนหมดแล้วก็ลงไปนั่งรอในเรืออย่างสบาย สักพักหนึ่งพอเรือขยับจะเคลื่อนออกจากท่า ก็มีเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ สองคนวิ่งลงมาตามสะพานที่ทอดอยู่กับโป๊ะ คนโตอายุประมาสักหกเจ็ดขวบ โดดลงเรือซึ่งกำลังห่างออกจากท่าอย่างว่องไว ส่วนคนเล็กที่ตามหลังอายุคงประมาณสักห้าหกขวบ ต้องหยุดชะงักไม่กล้าโดดตาม คงยืนมองเรือที่แล่นห่างออกไปด้วยสายตาละห้อย เกือบจะร้องไห้ ผมก็พลอยโล่งอกไปด้วย เพราะไม่แน่ว่าถ้าผลีผลามโดดตามเรือ เธอจะปลอดภัยหรือหล่นลงไปในน้ำกันแน่
เมื่อเรือแล่นมาจอดที่ท่าวังหลัง ผมก็ก้าวจากเรือขึ้นบนท่า พร้อมกับผู้โดยสารทั้งหมด แล้วก็เดินไปตามสะพานที่ทอดขึ้นจากโป๊ะ บังเอิญเด็กหญิงคนโตเดินมาใกล้ผม ด้วยความเป็นห่วงเด็กหญิงคนเล็ก จึงถามเธอว่าหนูไม่ลงเรือกลับไปรับน้องที่ฝั่งโน้นหรือ เธอตอบโดยไม่หันมามองหน้าผมว่า เดี๋ยวมันก็มาได้เองหรอกลุ้ง ผมเลยเลิกห่วง
อีกคราวหนึ่งผมนั่งรถเมล์สายสามสิบแปด จากซอยอโศกจะมาที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ระหว่างทางผ่านสถาบันชั้นอุดมศึกษา มีนักศึกษาหญิงขึ้นมาหลายคน ทุกคนได้นั่งหมดแล้ว เหลืออยู่คนหนึ่ง เข้ามายืนอยู่ตรงหน้าผม ซึ่งนั่งด้านข้างของกระโปรงเครื่องยนต์ มือของเธอผู้นั้นเอื้อมจับราวอย่างหมิ่นเหม่ เพราะเสื้อที่เธอสวมใส่อยู่นั้นคงจะผิดเบอร์ จึงคับและสั้นเต็มที ผมขยับตัวให้มีที่ว่าง แต่ก็ยังแคบเกินไปกว่าที่เธอจะนั่งลง จึงต้องยืนอย่างไม่มั่นคงต่อมาอีกสองป้าย ผู้ที่นั่งติดสองข้างของผม เป็นชายหนุ่มกว่าผมมาก ก็เมินมองไปเสียทางอื่น
ผมทนดูภาพที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้ จึงตัดสินใจลงที่ป้ายถัดไป เพื่อให้เธอได้นั่ง แล้วผมก็รอขึ้นรถเบอร์เดียวกันอีก ซึ่งรออยู่ไม่นานนักก็มา คันนี้มีที่ว่างผมก็ได้นั่งอีก แต่พอผ่าน สี่แยกมักกะสัน มีเด็กนักเรียนมัธยมขึ้นมาเต็มคันรถ ทั้งหญิงและชาย ส่วนใหญ่ต้องยืน เลยไม่รู้จะทำยังไง ต้องทนมองเด็กยืนกันเต็มทั้งคันรถอยู่อีกนาน กว่าจะถึงที่หมาย
ผมลงจากรถเมล์ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ แล้วก็เดินขึ้นสะพานลอยที่ทอดยาวเหยียด มาลงบันไดที่หน้าโรงพยาบาลราชวิถี ซึ่งเป็นที่จอดรถประจำทางทุกสายที่จะผ่านไปทางบ้านผม ในไม่ช้าผมก็ได้ขึ้นรถสีค่อนข้างขาวสายหนึ่ง ซึ่งแล่นมาจากต้นทางแถวแยกรัชโยธินในถนนพหลโยธิน รถคันนี้มีผู้โดยสารเต็มที่นั่งและยืน แต่มีผู้ลุกขึ้นให้ผมได้นั่ง บนม้ายาวที่อยู่ด้านซ้ายของคนขับ ใกล้กับหญิงสาววัยเลยรุ่นคนหนึ่ง ที่อุ้มลูกน้อยอยู่ในวงแขน ทารกนั้นยังเล็กมากอายุคงไม่กี่เดือน ท่าทางที่อุ้มนั้นดูเก้งก้างไม่ทะมัดทะแมง คงจะเป็นคุณแม่หัดใหม่ ข้างกายของเธอมีถุงย่ามใบเล็กที่ใส่ของกระจุกกระจิก เกี่ยวกับเด็กอ่อน และมีขวดนมซุกอยู่ด้วย รถคันนี้แล่นไปค่อนข้างเร็ว ด้วยฝีมือและฝีเท้าอันเชี่ยวชาญของคนขับ จึงทำให้ผู้โดยสารหัวสั่นหัวคลอนมาตลอดระยะทาง
จนทารกน้อยตกใจตื่น และทำท่าจะร้องโยเยขึ้น ผู้เป็นแม่หันรีหันขวางแล้วก็ขยับตัวจะหยิบขวดนมในถุง ก็บังเอิญให้ถุงหล่นจากที่นั่งลงไปบนพื้น สิ่งของหลายชิ้นกลิ้งออกมากองบนพื้นรถ เธอเลยหมดปัญญาที่จะก้มลงไปจัดการได้ด้วยตนเอง เพราะลูกน้อยยังอยู่ในอ้อมแขน ผมจึงต้องก้มลงหยิบของเหล่านั้นใส่ถุง และส่งขวดนมให้เธอซึ่งพอดีกับหนูน้อยได้ส่งเสียงร้องขึ้น เธอรับไปใส่ปากให้ลูก และยิ้มขอบคุณ ผมจึงเอาถุงนั้นวางลงบนตักของผมเอง เพื่อป้องกันไม่ให้มันหล่นลงไปอีก
ผมมองดูสองแม่ลูกด้วยความรู้สึกสงสาร ในความลำบากนั้นอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ตัดสินใจถามว่าเธอจะไปไหน ก็ได้คำตอบว่าจะไปโรงพยาบาลวขิระ ถามต่อว่าลูกป่วยเป็นอะไร เธอบอกว่าพาไปฉีดยาป้องกันโรคของเด็ก ตามหมอสั่ง ผมไม่กล้าถามว่าทำไมพ่อของเด็กไม่มาด้วย เหมือนอย่างที่ผมเคยเห็นพ่อแม่หัดใหม่ ซึ่งกำลังเห่อลูกคนแรก เขาทำกันเป็นปกติ แต่ถามว่าทำไมไม่ขึ้นรถแท็กซี่ พาลูกกระเตงมาคนเดียวแบบนี้ลำบากแย่ ทั้งแม่ทั้งลูก เธอตอบเบา ๆ ว่าไม่มีเงิน
ผมสะดุดใจกึกเพราะไม่ได้คิดถึงข้อนี้ พอดีรถจอดป้ายหน้าธนาคารที่เลยสี่แยก ซังฮี้ไปหน่อย เธอก็ลุกขึ้นจะลง ผมจึงถือถุงตามลงไปด้วย เธอจะต้องเดินย้อนกลับไปโรงพยาบาลซึ่งยังอยู่อีกไกลพอสมควร ผมอยากจะตามไปช่วยเหลือเธอ แต่ก็สองจิตสองใจ จึงส่งถุงคืนให้เธอรับไปด้วยปลายนิ้ว และกล่าวคำขอบคุณ ก่อนที่จะเดินไปตามทางของเธอ
ผมรีบหันเข้าหาตู้เอทีเอ็มที่ตั้งอยู่หน้าธนาคารนั้น กดเอาเงินออกมาสองร้อยบาท แล้วก็รีบเดินจ้ำตามแม่ลูกอ่อนนั้นไป คราวนี้เธอจะมีค่ารถแท็กซี่กลับบ้านละ ผมนึกในใจ แต่เธอข้ามถนนไปไกลแล้ว ผมยังต้องติดไฟแดงอยู่อีกนาน ตามธรรมเนียมของสี่แยกนี้ เพราะมีรถเลี้ยวขึ้นสะพานกรุงธนมากมายตลอดเวลา จนเธอเดินหายไปจากสายตา
เมื่อผมไปถึงโรงพยาบาลนั้น ก็เห็นแต่ผู้คนที่มาใช้บริการ คลาคล่ำไปหมด มีแต่คนเดินผ่านไปมาจนตาลาย ผมเดินไปมาตามหน้าห้องต่าง ๆ หลายตลบ ก็ไม่พบเธอผู้นั้นเลย เพราะผมไม่ได้ถามว่าเธอจะไปหาหมอที่ห้องไหน และข้อสำคัญคือผมก็ไม่แน่ใจว่าจะจำเธอได้ เพราะเมื่อนั่งอยู่บนรถเมล์ เธอไม่ได้หันหน้ามาทางผมเลย
ผมเดินกลับเข้าบ้านด้วยความเสียดาย ที่ไม่ได้ช่วยเหลือเธอตามความตั้งใจ แต่ก็ต้องปลงว่า คงไม่ใช่ความผิดของผมที่ไม่ช่วยเธอเสียตั้งแต่ทีแรก เพราะผมมีแต่เศษเหรียญในกระเป๋าเพียงไม่กี่อัน
ผมจึงได้แต่ส่งใจไปช่วยเธอ เท่านั้น.
#########