นิยาย Action Comedy "ลุยแดนมนุษย์กินคน" ตอน 4

กระทู้สนทนา
ก่อนเดินทาง

โรสแมรี่ขยับตัวลุกขึ้นพร้อมกล่าวกับทุกคน

“เชิญคุยกันต่อนะคะ อีชั้นขอตัวไปจัดห้องพักให้คุณทั้งสามก่อน” หันพูดกับสามี “ตกลงใช้ห้องติดระเบียงด้านโน้นนะพี่วาฮู”

“เยส ห้องนั้นเหมาะที่สุด เพราะกว้างและมีเตียงขนาดนอนได้สี่ห้าคน ว่าแต่แมรี่สั่งให้เด็กยกกระเป๋าของพวกคุณๆ ขึ้นไปไว้ในห้องด้วยละกัน”

ปลาพะยูนเดินย้ายสะโพกไปจากวงสนทนา แต่ยังไม่ทันที่ใครจะพูดอะไรต่อ ลูกน้องคนหนึ่งของวาฮูตูก็พรวดพราดเข้ามา พร้อมกระดาษ ๒ แผ่นในมือ

“เฮ้ย - ไอ้หมีควายหัวหน้าคนป่านี่หว่า” สินาดพูดเสียงดัง “ชิชะ - ตอนนี้แต่งตัวซะหล่อเชียว นุ่งกางเกงยีนส์ด้วยนะ”

วาฮูตูยิ้มให้สินาด

“อ้ายนี่เป็นหัวหน้าคนงานครับ ชื่อเปทาลู ที่ผมให้ปลอมเป็นหัวหน้ามนุษย์กินคนนั่นแหละครับ”

ผู้จัดเหมืองลุกขึ้นเดินไปหาชายร่างยักษ์ ส่งภาษาพื้นเมืองกันเสียงขรมอยู่ครู่หนึ่ง เจ้าเปทาลูส่งกระดาษในมือให้เจ้านายของเขาแล้วกลับออกไป
สามหนุ่มสังเกตเห็นสีหน้าของนายผมหยิกเคร่งขรึม ความร่าเริงสนุกสนานเมื่อครู่นี้หายไปแล้ว

“มีอะไรหรือครับ” นิตย์ถามขณะวาฮูตูเดินมานั่งเก้าอี้พลางอ่านข้อความในกระดาษ

“คนของเหมืองวิทยุมาบอกว่า ให้ระงับการเดินทางไปเกาะตาปูเชไว้ก่อนครับ”

“ทำไมครับ” พัฒนะถามโดยเร็ว

นายผมหยิกวางเอกสารลงบนโต๊ะ

“สถานการณ์ไม่สู้ดีครับ” เขากล่าวเป็นงานเป็นการ “คนป่าเผ่า มูยอปายอน กับเผ่า บอตาเค กำลังจะสู้รบกัน”

“อ้าว - แล้วมันเกี่ยวกับเหมืองเราตรงไหนล่ะครับ” สินาดพูดพลางลุกขึ้นยืน

“เกี่ยวเต็มๆ เลยครับ เพราะเหมืองมาเทบูดูของเราอยู่กลางสมรภูมิพอดี”

นิตย์เอื้อมมือหยิบเอกสารขึ้นดู แต่แล้วก็วางลงเหมือนเดิมเพราะอ่านไม่ออก

“เรื่องมันเป็นยังไงครับ เผ่า หมูยอป้าย่น กับเผ่า บ่อตะเข้ ถึงต้องห้ำหั่นกัน”

วาฮูตูฝืนหัวเราะ

“คุณนิตย์เนี่ยหัวไวจริงๆ แปลงภาษาปาปัวฯ เป็นภาษาไทยได้ทุกครั้ง”

พัฒนะมองเพื่อนเกลอทั้งสอง

“แกสองคนอย่าเพิ่งพูดเล่นโว้ย กำลังซีเรียส”

นายผมหยิกเล่าว่าเรือยอชต์ขนาดเล็กลำหนึ่งชนหินโสโครก ห่างจากด้านหลังเกาะตาปูเชราว ๓ กิโลเมตร คนในเรือซึ่งเป็นชายสองหญิงสาม ยังไม่ทราบสัญชาติ ได้ว่ายน้ำเข้าหาฝั่งโดยสวมชูชีพ

แต่บริเวณที่ทุกคนขึ้นบกเป็นอาณาเขตของชนเผ่ามูยอปายอน ซึ่งมีความอำมหิตที่สุด ใครเหยียบย่างเข้ามาในถิ่นของชนเผ่านี้ จะต้องพบจุดจบอย่างโหดเหี้ยมทุกราย

แต่บังเอิญหน่วยลาดตระเวนเผ่าบอตาเคเห็นเหตุการณ์นี้ จึงรีบไปพาผู้ประสบภัยทั้งห้าข้ามมายังอาณาเขตของตนเพื่อความปลอดภัย เพราะเผ่าบอตาเครู้ดีว่าถ้าปล่อยให้ฝ่ายมูยอปายอนจับตัวคนกลุ่มนี้ได้ ทุกคนจะต้องเผชิญชะตากรรมอันสยดสยอง

อย่างไรก็ตาม ยามระวังภัยของมูยอปายอนเห็นการกระทำของพวกบอตาเค จึงกลับไปรายงานหัวหน้าเผ่า วันรุ่งขึ้นเผ่ามูยอปายอนส่งคนนำสารมาแจ้งเผ่าบอตาเค ให้มอบเชลยทั้งห้าในทันที เพราะทุกคนขึ้นฝั่งในอาณาเขตพวกเขา ย่อมถือเป็นเชลยของมูยอปายอน

ถ้าเผ่าบอตาเคไม่ปฏิบัติตาม นักรบมูยอปายอนจะมาชิงเชลยกลับไป นั่นหมายถึงการนองเลือดครั้งใหญ่

วาฮูตูอธิบายว่าถิ่นอาศัยของคนป่าทั้งสองเผ่า อยู่คนละด้านของเกาะตาปูเช มูยอปายอนอยู่ค่อนไปทางทิศเหนือ บอตาเคอยู่ทิศใต้ โดยเหมืองมาเทบูดูอยู่ตรงกลาง สองเผ่านี้รบกันเมื่อใด เหมืองเพชรแห่งนี้ต้องได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

พอวาฮูตูอธิบายจบ นายโย่งโก๊ะโพล่งขึ้น

“คนป่าจะรบก็รบกันไป ส่วนพวกเรือแตกต้องถือว่าเป็นคราวเคราะห์ของแต่ละคน มันไม่ใช่เรื่องของเราสักอย่างนี่ครับคุณวาฮู”

นายหน้าหล่อดึงแขนสินาดให้นั่งลง

“ไม่ใช่เรื่องของเราได้ไงวะอ้ายนาด คุณวาฮูบอกเหมืองอยู่กลางพื้นที่สู้รบ ถ้าคนป่าสองเผ่าทำสงครามกัน อาจส่งผลให้เหมืองได้รับความเสียหาย เราก็ต้องป้องกันเหมืองของเราแม้จะไม่เข้าข้างฝ่ายใด อีกอย่าง...ใจคอแกจะปล่อยให้ทั้งห้าคนต้องตายเพราะน้ำมือคนป่าหรือไง ทั้งๆ ที่พวกเขาไม่รู้อีโหน่อีเหน่อะไรเลย”

“เรารับผิดชอบเหมืองของเราก็พอ เรื่องอื่นธุระไม่ใช่”

นิตย์จ้องหน้านายโย่งโก๊ะด้วยความหมั่นไส้

“ไปไกลๆ บาทากูเลยอ้ายนาด อยู่ใกล้เดี๋ยวเส้นกูกระตุกแล้วถีบเข้าให้ คนอหิวาต์อะไรวะไม่มีมนุษยธรรม กูว่านั่นแหละเหี้ยม ม ม้า หาย ยิ่งกว่าเผ่าหมูยอป้าย่นเป็นไหนๆ ”

สินาดเดินขบเขี้ยวเคี้ยวฟันไปยืนข้างราวระเบียง นายหน้าหล่อกล่าวกับผู้จัดการเหมืองด้วยเสียงหนักแน่น

“เรายกเลิกกำหนดการไปเหมืองไม่ได้หรอกครับ คุณพ่อพวกผมทำสัญญาว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญอัญมณีระดับโลก พร้อมช่างเจียระไนเพชรมือหนึ่งไว้แล้ว มีการจ่ายเงินค่าตัวไปแล้วห้าสิบเปอร์เซ็นต์ก็หลายล้านอยู่ ถ้าไม่ได้เพชรกลับไป พวกผมมีหวังงานเข้า โดนคุณพ่อตื้บม้ามทะเล็ดแน่ๆ ”

“งั้นพวกคุณรออยู่ที่นี่ก็ได้ ผมจะไปนำเพชรกลับมาให้เอง”

“ไม่เป็นไรครับคุณวาฮู” พัฒนะยิ้มเล็กน้อย “ ถึงยังไงพวกผมสามคนก็ต้องไปให้ถึงเหมืองอยู่ดี เพราะต้องทำรายงานความก้าวหน้าของงานในเหมือง ต้องถ่ายภาพเป็นหลักฐานให้คุณพ่อทราบว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลง หรือมีการพัฒนาแค่ไหนอย่างไร เรื่องแบบนี้ต้องไปดูให้เห็นกับตาครับ นั่งเทียนเขียนไม่ได้”

“แต่ขณะนี้สถานการณ์บนเกาะอันตรายมากนะครับ ความปลอดภัยเป็นศูนย์ ผมไม่อยากให้พวกคุณไปเสี่ยง ถ้าเกิดอะไรร้ายแรงขึ้นมา คุณพ่อพวกคุณไม่เอาผมไว้แน่”

สินาดเดินกลับมาที่วงสนทนาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

“เอาโว้ย เสี่ยงเป็นเสี่ยง ตายเป็นตายพวกเรา” พูดเสียงดังก่อนเปลี่ยนสายตาไปที่ผู้จัดการเหมือง “ตะกี๊ผมโดนอ้ายสองคนมันด่า ทำให้คิดขึ้นมาได้ว่านอกจากเราจะไปดูงานเหมือง และอาจถึงขั้นต้องปกป้องเหมืองของเราจากศึกมนุษย์กินคนแล้ว เราก็สมควรจะพาพวกเรือแตกกลับบ้านของเขาด้วย”

นิตย์ลุกขึ้นปราดเข้าไปยกมือตบบ่านายโย่งโก๊ะ

“คิดดี สังคมดี ต้องอย่างนี้โว้ยไอ้ลูกชาย”

“ทะลึ่ง แกเป็นพ่อข้าตั้งแต่เมื่อไหร่วะ”

จากนั้นสามหนุ่มกับวาฮูตูก็ปรึกษากันอย่างจริงจัง ขณะนี้เป็นเวลา ๑๔.๔๕ น. นายผมหยิกสั่งให้สาวใช้เก็บทุกอย่างและทำความสะอาดโต๊ะ ส่วนเขาเองเดินเข้าไปในห้องหนึ่งแล้วกลับมาพร้อมแผนที่ทางทะเล

“ท่าเรือของเราอยู่ตรงนี้” เขาใช้ปากกาจ่อลงไปบนแผนที่ซึ่งแผ่กางเต็มโต๊ะ “เราต้องใช้เส้นทางทะเลโครัล (Coral Sea) มุ่งหน้าไปทางทิศใต้ ส่วนอีกด้านคือทะเลโซโลมอน (Solomon Sea) แรกๆ จะมีแต่ทะเลยังไม่มีเกาะแก่งอะไร แต่พอเข้าชั่วโมงที่สองหรือสามจะเริ่มพบเกาะต่างๆ เรือเราต้องอ้อมเกาะเล็กเกาะน้อยเหล่านั้นซึ่งเสียเวลาพอสมควร จากนั้นแล่นต่อไปอีกราวสามชั่วโมงจึงจะถึงตาปูเช คือตรงนี้...” เขาจบคำพูดพร้อมจิ้มปลายปากกาที่เกาะเล็กๆ ในแผนที่นั้น

วาฮูตูอธิบายว่าเมื่อคนป่าสองเผ่าจะทำศึกกันนับว่าอันตรายมาก เพราะจะมีนักรบทั้งสองฝ่ายออกลาดตระเวนเพื่อสังเกตการณ์อีกฝ่ายหนึ่ง ถ้าเผ่าบอตาเคพบกองคารานวานที่มุ่งหน้าสู่เหมืองก็จะไม่ทำร้าย เนื่องจากเผ่านี้เป็นพันธมิตรกับเหมืองมาเทบูดู ชนเผ่ามักจะนำเนื้อสัตว์ที่ล่าได้มาแลกเปลี่ยนกับยาหรือเวชภัณฑ์ บางครั้งก็สิ่งของจำพวกเกลือ น้ำตาล ไม้ขีดไฟ ขนมคุกกี้ มันฝรั่ง ลูกอมรสต่างๆ

นอกจากนี้เผ่าบอตาเคยังคอยพิทักษ์ชาวเหมือง กรณีมีสัตว์ร้ายมาป้วนเปี้ยนทำร้ายคนงานจนบาดเจ็บหรือเสียชีวิต พวกเขาก็จะช่วยไล่ล่าสัตว์เหล่านั้น

แต่หากเผ่ามูยอปายอนเป็นฝ่ายเจอกองคาราวาน แม้ฝ่ายคนเมืองมีอาวุธพร้อมก็ไม่มีทางสู้ได้ เนื่องจากคนป่าความชำนาญภูมิประเทศมากกว่า และมีจำนวนคนมากกว่า ภายในเวลาไม่กี่นาทีคนเมืองก็จะถูกล้อมไว้ทุกด้าน สุดท้ายคือโดนสังหารอย่างทารุณหรือโดนจับกุมเป็นเชลย แล้วฆ่าวันละคนเพื่อทำเป็นอาหาร

พัฒนะเงยหน้าจากแผนที่

“แล้วจะรู้ได้ยังไงครับ ว่าเผ่าไหนเป็นเผ่าไหน”

“เผ่าบอตาเคเวลาออกรบจะใช้ยางไม้สีแดงทาทั่วตัว หน้าทาสีเหลือง” นายผมหยิกตอบ “ส่วนเผ่ามูยอปายอนดูเหมือนจะทาตัวสีดำ เขียนลวดลายสีขาว”

“ดีครับ เราจะได้แยกออกว่าฝ่ายไหนเป็นฝ่ายเรา”

“อ้าว - เฮ้ย” สินาดร้องขึ้น “ตะกี๊แกบอกอยู่หยกๆ ว่าไม่เข้าข้างฝ่ายใด ตอนนี้เทคไซด์เลือกข้างซะแล้วหรือวะ ถึงพูดว่าฝ่ายไหนเป็นฝ่ายเรา”

“ไม่เลือกก็ต้องเลือกโว้ย ในเมื่อคุณวาฮูบอกว่าเผ่าบ่อตะเข้...เอ๊ย...เผ่าบอตาเคเป็นพันธมิตรกับเหมือง ก็ต้องถือว่าชนเผ่านี้คือพวกเรา หรือแกจะเข้าข้างอีกเผ่าหนึ่ง เผ่าอะไรนะ - ชื่อเรียกยากชิบ...”

นิตย์ว่า “แกสองคนจำแค่ เผ่าหมูยอป้าย่น คือฝ่ายผู้ร้าย กับ เผ่าบ่อตะเข้ ฝ่ายพระเอกก็พอ ภาษาปาปัวฯ ไม่ต้องไปจำหรอก ออกเสียงยากจะตายห่า”

ผู้จัดการเหมืองยกมือกอดอกเดินวนกลับไปกลับมา สักครู่จึงหันมาที่สามหนุ่ม

“การเดินทางไปเหมืองของเราไม่ค่อยราบรื่นเท่าที่ควร เพราะคนป่าสองเผ่าจะสู้รบกัน ผมรู้สึกเป็นห่วงพวกคุณจริงๆ ไม่อยากให้ไปเสี่ยงเลย”

นายนิตย์ขยับตัวลุกเดินเลียนแบบวาฮูตูบ้าง แต่สองมือล้วงกระเป๋ากางเกงไม่ได้กอดอก

“คุณวาฮูสบายใจเถอะครับ อันตรายแค่ไหนพวกผมก็ไม่เป็นอะไรแน่นอน เพราะเราสามคนคือพระเอกของเรื่องครับ มีนิยายเรื่องไหนบ้างที่พระเอกเท่งทึงตั้งแต่ต้นเรื่อง ฮ่ะฮ่ะฮ่า”

“ผมรู้ว่าพวกคุณมีอารมณ์ขัน แต่สถานการณ์นี้คือเรื่องจริงนะครับ เรียกว่าเล่นจริง เจ็บจริง ไม่ใช้สลิง ไม่ใช้ตัวแทน ไม่มีสตั๊นแมน ไม่มีแสตนอิน อะไรทั้งนั้น ดีไม่ดีอาจถึงขั้นบาดเจ็บหรือเสียชีวิตก็เป็นได้”

“ไม่ต้องวิตกครับ” พัฒนะมองหน้าวาฮูตู “ว็อทเอฟเวอร์ วิล บี วิล บี อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด พวกเราทำหน้าที่ให้บรรลุเป้าหมายก็พอ”

ผู้จัดการเหมืองเพชรเดินมาทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ตัวเดิม

“อีกเรื่องที่ผมอยากถาม... สมมุติถ้าเราหลีกเลี่ยงการปะทะกับคนป่าไม่ได้ พวกคุณพอจะใช้อาวุธปืนได้มั้ยครับ”

นายโย่งโก๊ะยกมือตบโต๊ะเสียงดังปัง

“คุณวาฮูกรุณาเปลี่ยนคำถามใหม่ครับ ต้องถามว่าพวกผมยิงปืนแม่นแค่ไหน”

“หมายความว่า...” นายผมหยิกทำหน้างงๆ

สินาดพยายามเก๊กหน้าให้เหมือน จ่าฮอนโด้ ในภาพยนตร์เรื่อง The S.W.A.T. ทางเคเบิลทีวีช่อง Fox ไทย

“หมายความเรื่องปืนสำหรับพวกผม สอบอมอยอหอ สบายมากอย่าห่วง ไงครับ พวกเราเคยฝึกยิงปืนทุกชนิดมาแล้ว”

นายผมหยิกมองพัฒนะกับนิตย์เหมือนขอความเห็น เพราะไม่แน่ใจว่านายโย่งโก๊ะพูดเล่นหรือพูดจริง

“จริงครับ” หนุ่มหน้าหล่อกล่าวยิ้มๆ “พวกผมสามคนเคยเป็นเจ้าหน้าที่ “คณะผู้เชี่ยวชาญการอาวุธและวิทยาศาสตร์ของกองทัพไทย” ที่ตั้งขึ้นในสมัยคุณปู่ของพวกเรา ปัจจุบันหน่วยงานนี้ยุบเลิกไปนานแล้วเพราะสงครามเย็นไม่มีแล้ว แต่อาวุธยุทโธปกรณ์ที่คุณปู่พวกผมได้สร้างไว้ให้กับกองทัพ ก็ยังมีประจำการอยู่...”

นิตย์พูดเสริมขึ้น

“แบบว่ามีไว้ให้ประเทศเพื่อนบ้านเกรงใจอ่ะครับ ไม่ได้มีไว้รบกับใคร ยุคนี้เป็นยุคสงครามเศรษฐกิจ ไม่ใช่สงครามเต็มรูปแบบ ที่ยกพหลพลพยุหโยธามาเผชิญหน้าต่อสู้กันเช่นแต่ก่อน แค่ใช้วิธีทำลายเศรษฐกิจของประเทศคู่กรณีให้พินาศทั้งระบบ ก็ชนะขาดแล้วครับ”

“ผมขออนุญาตอธิบายเพิ่มเติมอีกนิด” สินาดว่า “ทุกวันนี้พวกเรายังได้รับสิทธิพิเศษในการผ่านเข้าออกได้ทุกหน่วยของกองทัพ ไม่เว้นแม้แต่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เราจึงไปฝึกยิงปืนทุก ๓ เดือนที่สนามของทัพบกบ้าง ทัพเรือบ้าง ทัพอากาศบ้าง รวมทั้งสนามยิงปืนของตำรวจด้วย”

ผู้จัดการเหมืองเพชรถอนหายใจเฮือก

“รู้อย่างนี้แล้วผมค่อยเบาใจครับ งั้นแสดงว่าคุณทุกคนต้องฝืมือเข้าขั้นแน่ๆ ”

“พูดแล้วจะว่าผมโม้...” นายโย่งโก๊ะพยักหน้าหงึกๆ “๑๑ มม. เป้านิ่งห่าง ๓๐ เมตร ผมยิงไม่เคยพลาด” พูดจบก็ยกแขนขวาขึ้นเหยียดในท่าเล็งยิงพร้อมหรี่ตาเหนี่ยวไก “พิ้วววววว...”

“ยิงกระป๋องเบียร์ หรือขวดน้ำอัดลม ?” วาฮูตูถาม

“ยิงกำแพงวัดครับ ฮ่ะฮ่ะฮ่า”

นายผมหยิกอมยิ้มพลางส่ายหน้าช้าๆ ขณะที่พัฒนะกับนิตย์ต่างหัวเราะลั่น

ความเงียบเกิดขึ้นชั่วขณะราวกับเทวดาเหาะผ่านวงสนทนา ผู้จัดการเหมืองพับแผนที่แล้วกล่าวกับสามหนุ่ม

“เดี๋ยวเชิญคุณทั้งสามไปพักผ่อนกันให้เต็มที่ดีกว่าครับ พรุ่งนี้เราออกเดินทางตามกำหนดเดิมคือเวลาห้านาฬิกา ท่าเรืออยู่ริมแม่น้ำถัดจากที่นี่ไปประมาณ ๕ กิโลเมตร อ้อ - อาหารเย็นเวลาสิบแปดนาฬิกาตรงนะครับ”...

To be continued
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่