เหตุใดวิชชาจึงไม่มีมาเสียตั้งแต่ต้น เพราะหากมีวิชชามาเสียตั้งแต่ต้นแล้ว
สังขาร วิญญาณ นามรูปก็ไม่ต้องเกิดขึ้นมาเสวยความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
เกิดกาลเวลาสังสารวัฏขึ้นมาในภายหลังกันอีกต่อไป..
จึงได้เหตุ-ผลว่า หากไม่มีนามรูปบังเกิดขึ้นมารับรู้ทุกข์ รับรู้เหตุของทุกข์ในตนเองเสียก่อนแล้ว
ปัญญาที่จะดับทุกข์ ปัญญาที่จะดับเหตุของทุกข์ย่อมบังเกิดขึ้นมาไม่ได้เลย..
เพราะมีนาม-รูป จึงมีวิชชา..เพราะมีจิต มีกาย มีอายตนะ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ความรู้อริยสัจทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรคนั้นจึงมี จึงบังเกิดขึ้น..
เพราะมีนามรูปแห่งพระโพธิสัตว์ทั้งหลายมาก่อน เพราะมีนาม-รูป(ทุกข์)
เพราะมีกิเลสตัณหาอุปาทาน(เหตุแห่งทุกข์) เพราะมีสิ่งที่เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตามาก่อน
พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย จึงเกิดมีวิชชาเป็นพระสัพพัญญูขึ้นมาในตนเองและนิพพานกันไปตามลำดับ..
สุดท้ายแล้วใครจะอาศัยนามรูปนั้นไปสู่ความสุขหรือความทุกข์..มากน้อยกันต่อไปตามลำดับ..
เหตุไฉนวิชชาจึงไม่มีมาเสียตั้งแต่ต้น..
สังขาร วิญญาณ นามรูปก็ไม่ต้องเกิดขึ้นมาเสวยความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
เกิดกาลเวลาสังสารวัฏขึ้นมาในภายหลังกันอีกต่อไป..
จึงได้เหตุ-ผลว่า หากไม่มีนามรูปบังเกิดขึ้นมารับรู้ทุกข์ รับรู้เหตุของทุกข์ในตนเองเสียก่อนแล้ว
ปัญญาที่จะดับทุกข์ ปัญญาที่จะดับเหตุของทุกข์ย่อมบังเกิดขึ้นมาไม่ได้เลย..
เพราะมีนาม-รูป จึงมีวิชชา..เพราะมีจิต มีกาย มีอายตนะ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ความรู้อริยสัจทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรคนั้นจึงมี จึงบังเกิดขึ้น..
เพราะมีนามรูปแห่งพระโพธิสัตว์ทั้งหลายมาก่อน เพราะมีนาม-รูป(ทุกข์)
เพราะมีกิเลสตัณหาอุปาทาน(เหตุแห่งทุกข์) เพราะมีสิ่งที่เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตามาก่อน
พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย จึงเกิดมีวิชชาเป็นพระสัพพัญญูขึ้นมาในตนเองและนิพพานกันไปตามลำดับ..
สุดท้ายแล้วใครจะอาศัยนามรูปนั้นไปสู่ความสุขหรือความทุกข์..มากน้อยกันต่อไปตามลำดับ..