** ไม่สปอยล์เนื้อหาสำคัญ**
ตอนที่เห็นตัวอย่างเรื่องนี้รู้สึกเฉยๆไม่คิดจะไปดู กะว่าจะรอแผ่น คือรู้นะว่า Gary Oldman เป็นนักแสดงมากฝีมือ ผลงานก็เคยดูมาบ้างแต่ไม่ได้เป็นแฟนคลับอะไร แล้วกระแสส่วนใหญ่จะเน้นไปที่นักแสดงนำชายมากเสียจนคิดว่าตัวหนังคงไม่มีอะไร พอไปดูแล้วกลับผิดคาดมากๆ
เป็นหนังที่เกี่ยวกับสงครามแต่ตลอดทั้งเรื่องวนเวียนอยู่ในห้องแคบๆในบ้านหรือที่ทำการตามสไตล์บ้านของคนอังกฤษ แค่นั้นแหละแต่กลับสามารถดึงอารมณ์ผมให้เข้าร่วมลุ้นระทึกไปกับหนังได้มากกว่าหนังแอคชั่นบางเรื่องเสียอีก ขยับตัวเองหลายรอบเลยเพราะนั่งไม่ติดเก้าอี้ ไม่ใช่ลุ้นเพราะสงครามใกล้จะเข้ามาทำลายแล้วนะครับแต่มันเป็นเพราะการแสดงของ Gary Oldman และความสามารถของผู้กำกับ Joe Wright ที่ทำให้หนังทรงพลังทางความรู้สึกมากๆ
สำหรับ Gary Oldman ไม่ใช่แค่ฝ่าย make up ที่น่าทึ่งเท่านั้นแต่แกเก็บละเอียดทุกเม็ดเลย คือ ทำการบ้านมาดีมากๆไม่ว่าจะขยับหน้า ขยับหัว ขยับตัว เอียงคอหรือวิธีการพูด มันเนียนกริบ ทุ่มเทขนาดนั้นมันคงเป็นอะไรที่น่าเสียดายมากหากพลาดรางวัลเพราะโอกาสแบบนี้ไม่ใช่มาง่ายๆ
ภาพก็สวยมาก เพลงประกอบก็เข้าถึงอารมณ์ นักแสดงก็มากฝีมือ แต่ที่ชอบมากๆคือสไตล์การกำกับของ Joe Wright เขาเรียกว่าปรุงรสหรือเป็นลายเซ็นต์ก็ไม่รู้ ทุกอย่างเหมือนดูศิลปะ ฉากที่อยู่ในรถแล้วภาพถ่ายผู้คนสัญจรไปมาบนท้องถนนเป็น slow motion และมีแต่ความเงียบเหมือนเป็นภาพวาดที่สวยงามภาพหนึ่ง การเผชิญหน้าพูดคุยของตัวละครต่างๆนั้นเต็มไปด้วยอารมณ์ อัดอั้น จริงจัง บางครั้งเก้อเขิน ประดักประเดิด แค่มองหน้ากันก็ส่งพลังกันแบบถึงอารมณ์จริงๆ และมีหลายฉากที่ Gary ถูกถ่ายให้อยู่ในกรอบสี่เหลี่ยมของประตูหรือลิฟท์เหมือนภาพศิลป์ แสดงให้เห็นถึงชีวิตคนๆหนึ่งถูกบีบจากทุกด้านมากแค่ไหน
ยังไม่นับถึงสารที่ส่งมาว่าชีวิตคนเราต่างก็เจออุปสรรคไม่มากก็น้อย แต่สำหร้บชีวิตบางคนนั้นเวลาถูกบีบนี่มันแทบจะบีบตายคามือจริงๆ ในเวลานั้นเราจะมีชีวิตเดินต่อไปได้อย่างไร
เฮ้ย...นี่มันสูตรสำเร็จสำหรับชิงหนังยอดเยี่ยมชัดๆแต่ทำไมเหมือนไม่ค่อยได้ชิงหนังเยี่ยมหว่า ผมนั่งสงสัยเกาหัวแกรกๆอยู่ในโรง พอดูจบรีบกลับมาหาข้อมูลทำให้รู้ว่าหลายๆฉากเสริมแต่งเข้ามาใหม่อย่างฉากรถไฟฟ้าใต้ดิน เป็นต้น ขอหักครึ่งคะแนน ไม่ได้เขียนรีวิวนะครับแค่ยกตัวอย่าง แอบผิดหวังตรงนี้นิดหน่อย ส่วนตัวรู้สึกว่าหนังดราม่าความสมจริงเป็นสิ่งสำคัญ หากเป็นเรื่องแต่งให้สอบผ่านเลยครับแต่หากอิงจากเรื่องจริงผมจะรู้สึกตะหงิดๆหากความจริงถูกบิด เหมือนหนังพุ่มพวงผมชอบมากแต่มารู้ทีหลังว่าบิดจากความจริงเยอะเลย แอบเสียดายพอสมควร
หนังเรื่องนี้ไม่ได้เหมาะกับทุกคน หากคุณชอบแอคชั่นระเบิดภูเขาเผากระท่อมก็ข้ามๆไปก็ได้แต่หากคุณชอบหนังละเมียดหรือสายรางวัล Darkest Hour ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจเรื่องหนึ่งเลยครับ
Darkest Hour สมควรแก่เวลาของ Gary Oldman
ตอนที่เห็นตัวอย่างเรื่องนี้รู้สึกเฉยๆไม่คิดจะไปดู กะว่าจะรอแผ่น คือรู้นะว่า Gary Oldman เป็นนักแสดงมากฝีมือ ผลงานก็เคยดูมาบ้างแต่ไม่ได้เป็นแฟนคลับอะไร แล้วกระแสส่วนใหญ่จะเน้นไปที่นักแสดงนำชายมากเสียจนคิดว่าตัวหนังคงไม่มีอะไร พอไปดูแล้วกลับผิดคาดมากๆ
เป็นหนังที่เกี่ยวกับสงครามแต่ตลอดทั้งเรื่องวนเวียนอยู่ในห้องแคบๆในบ้านหรือที่ทำการตามสไตล์บ้านของคนอังกฤษ แค่นั้นแหละแต่กลับสามารถดึงอารมณ์ผมให้เข้าร่วมลุ้นระทึกไปกับหนังได้มากกว่าหนังแอคชั่นบางเรื่องเสียอีก ขยับตัวเองหลายรอบเลยเพราะนั่งไม่ติดเก้าอี้ ไม่ใช่ลุ้นเพราะสงครามใกล้จะเข้ามาทำลายแล้วนะครับแต่มันเป็นเพราะการแสดงของ Gary Oldman และความสามารถของผู้กำกับ Joe Wright ที่ทำให้หนังทรงพลังทางความรู้สึกมากๆ
สำหรับ Gary Oldman ไม่ใช่แค่ฝ่าย make up ที่น่าทึ่งเท่านั้นแต่แกเก็บละเอียดทุกเม็ดเลย คือ ทำการบ้านมาดีมากๆไม่ว่าจะขยับหน้า ขยับหัว ขยับตัว เอียงคอหรือวิธีการพูด มันเนียนกริบ ทุ่มเทขนาดนั้นมันคงเป็นอะไรที่น่าเสียดายมากหากพลาดรางวัลเพราะโอกาสแบบนี้ไม่ใช่มาง่ายๆ
ภาพก็สวยมาก เพลงประกอบก็เข้าถึงอารมณ์ นักแสดงก็มากฝีมือ แต่ที่ชอบมากๆคือสไตล์การกำกับของ Joe Wright เขาเรียกว่าปรุงรสหรือเป็นลายเซ็นต์ก็ไม่รู้ ทุกอย่างเหมือนดูศิลปะ ฉากที่อยู่ในรถแล้วภาพถ่ายผู้คนสัญจรไปมาบนท้องถนนเป็น slow motion และมีแต่ความเงียบเหมือนเป็นภาพวาดที่สวยงามภาพหนึ่ง การเผชิญหน้าพูดคุยของตัวละครต่างๆนั้นเต็มไปด้วยอารมณ์ อัดอั้น จริงจัง บางครั้งเก้อเขิน ประดักประเดิด แค่มองหน้ากันก็ส่งพลังกันแบบถึงอารมณ์จริงๆ และมีหลายฉากที่ Gary ถูกถ่ายให้อยู่ในกรอบสี่เหลี่ยมของประตูหรือลิฟท์เหมือนภาพศิลป์ แสดงให้เห็นถึงชีวิตคนๆหนึ่งถูกบีบจากทุกด้านมากแค่ไหน
ยังไม่นับถึงสารที่ส่งมาว่าชีวิตคนเราต่างก็เจออุปสรรคไม่มากก็น้อย แต่สำหร้บชีวิตบางคนนั้นเวลาถูกบีบนี่มันแทบจะบีบตายคามือจริงๆ ในเวลานั้นเราจะมีชีวิตเดินต่อไปได้อย่างไร
เฮ้ย...นี่มันสูตรสำเร็จสำหรับชิงหนังยอดเยี่ยมชัดๆแต่ทำไมเหมือนไม่ค่อยได้ชิงหนังเยี่ยมหว่า ผมนั่งสงสัยเกาหัวแกรกๆอยู่ในโรง พอดูจบรีบกลับมาหาข้อมูลทำให้รู้ว่าหลายๆฉากเสริมแต่งเข้ามาใหม่อย่างฉากรถไฟฟ้าใต้ดิน เป็นต้น ขอหักครึ่งคะแนน ไม่ได้เขียนรีวิวนะครับแค่ยกตัวอย่าง แอบผิดหวังตรงนี้นิดหน่อย ส่วนตัวรู้สึกว่าหนังดราม่าความสมจริงเป็นสิ่งสำคัญ หากเป็นเรื่องแต่งให้สอบผ่านเลยครับแต่หากอิงจากเรื่องจริงผมจะรู้สึกตะหงิดๆหากความจริงถูกบิด เหมือนหนังพุ่มพวงผมชอบมากแต่มารู้ทีหลังว่าบิดจากความจริงเยอะเลย แอบเสียดายพอสมควร
หนังเรื่องนี้ไม่ได้เหมาะกับทุกคน หากคุณชอบแอคชั่นระเบิดภูเขาเผากระท่อมก็ข้ามๆไปก็ได้แต่หากคุณชอบหนังละเมียดหรือสายรางวัล Darkest Hour ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจเรื่องหนึ่งเลยครับ